หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 43 อุบายของจักรพรรดิอสูร (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 43 อุบายของจักรพรรดิอสูร (2)
ตอนที่ 43 อุบายของจักรพรรดิอสูร (2)
วันนี้เป็นวันนัดประลองแล้ว พวกเขาเก็บข้าวของครู่หนึ่งก็เตรียมตัวออกเดินทาง
คนที่ถูกเลือกให้เดินทางไปประลองหนนี้อย่างไม่ต้องพูดอะไรมากได้แก่ราชันอสูร จักรพรรดิอสูรและอวิ๋นจู นอกจากนี้พวกเขาก็ยังพาพวกสือชีกับอาต๋าเอ่อร์ไปด้วย ส่วนฝั่งนี้ให้ฟู่เสวี่ยเยียนคอยพิทักษ์เรือนฟางชุ่ยหยวน
เฉียวเจิงก็ติดตามไปกับขบวนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ไปต่อสู้เข่นฆ่ากัน มีหมอเทวดาฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งไปด้วยย่อมสำคัญอย่างยิ่ง
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู อินทรีทองกับพวกตัวจ้อยทั้งสามอยู่ที่เรือนฟางชุ่ยหยวน
เฉียวเวยไปร่วมวงชมเรื่องสนุก
ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักยอมอยู่ที่เรือนอย่างผิดจากที่ทุกคนคาดอย่างยิ่ง
เรื่องบางเรื่องฟู่เสวี่ยเยียนยากจะปริปากบอกผู้อื่น แต่นางกลับคุยกับเฉียวเวยได้ทุกเรื่อง ตัวอย่างเช่นเรื่องในคืนนั้นที่พบมู่ชิวหยาง ฟู่เสวี่ยเยียนเล่าให้เฉียวเวยฟังแล้ว
เฉียวเวยก่นด่าเจ้าสารเลวมู่ชิวหยางคนนั้นในใจจนเละแทะ แน่นอนว่าฟู่เสวี่ยเยียนมาบอกเรื่องเหล่านี้กับนางไม่ใช่เพราะต้องการให้นางด่ามู่ชิวหยาง แต่หวังว่าหลังจากนี้อย่าทิ้งใต้เท้าเจ้าสำนักไว้ที่บ้านอีก เพราะเขารู้สึกว่าความภาคภูมิใจน้อยๆ ของเขาถูกทำร้าย
ด้วยเหตุนี้หนนี้เฉียวเวยจึงแจ้งใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นคนแรกว่าให้เขาเดินทางไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน
แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับแค่นเสียงตอบว่า “ข้าไม่ไปหรอก อยากไปพวกเจ้าก็ไปกันเอง”
“เอ๋ เหตุไฉนเจ้าไม่ไปแล้วเล่า ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเจ้าเอาแต่โวยวายว่าอยากจะออกไปข้างนอกหรือ ไม่พาเจ้าไปเจ้าก็แอบออกไปเองอยู่ดี”
“ก่อนหน้านี้ก็คือก่อนหน้านี้ ตอนนี้…ตอนนี้ข้าเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว! ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนมู่เหยียนน้อย!” โ
มู่เหยียนน้อย มู่เหยียนน้อย เรียกเสียสนิทสนมจริงเชียว เจ้าเปลี่ยนผ้าอ้อมเป็นหรือ สวมเสื้อให้นางเป็นหรืออย่างไร
เฉียวเวยรู้สึกว่าในใจเจ้าหมอนี่มีแผนการบางอย่าง เดี๋ยวอย่าคิดจะแอบไปอวดฉลาดทำแผนล่มอีกล่ะ
พอคิดเช่นนี้ ระหว่างที่ทุกคนไปเตรียมรถม้า เฉียวเวยจึงแอบตามใต้เท้าเจ้าสำนักไปเงียบๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มมู่เหยียนน้อยไปหาฮองเฮาเยี่ยหลัวก่อน ฮองเฮาเยี่ยหลัวชอบเล่นกับแม่นางน้อยที่สุดแล้ว นางรีบหยิบกล่องเครื่องประดับศีรษะของตนเองออกมาแล้วยกมือขึ้นมัดเส้นผมละเอียดสีดำขลับของมู่เหยียนน้อยเป็นเปียเส้นเล็กๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับไปที่ห้องอย่างเงียบเชียบ
แต่เดิมเฉียวเวยคิดจะดูว่าเจ้าหมอนี่ทำตัวลับๆ ล่อๆ คิดจะทำอะไรอีก ผลปรากฏว่าเมื่อตามเข้าไปดูก็เห็นเจ้าหมอนี่ตัวติดหนึบอยู่บนร่างของฟู่เสวี่ยเยียน…
…
หิมะที่เมืองเยี่ยเหลียงมีปริมาณมากกว่าต้าเหลียงมาก เมื่อคืนวานตกลงมาครึ่งคืน ยังดีที่ครึ่งคืนหลังหิมะหยุดตกแล้ว วันนี้อากาศแจ่มใส สายลมเหนือพัดไม่แรงมาก แสงตะวันก็นับว่าดีเยี่ยม เป็นอากาศที่ดีสำหรับการประลอง
เฉียวเวยนั่งอยู่บนรถม้ามองดูสายลมแสงแดดระหว่างทาง ครั้นคิดว่าอีกไม่นานจะแย่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้แล้ว นางก็อารมณ์ดีอย่างยิ่ง!
ทว่าเฉียวเจิงที่อยู่ข้างกายนางกลับสีหน้าไม่ดีเท่าไรนัก
เฉียวเวยถามว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป กังวลว่าพวกเราจะไม่ชนะหรือ ท่านวางใจเถิด คนที่ร้ายกาจที่สุดของลัทธิศักดิ์สิทธิ์คืออวิ๋นซู่ แต่พวกเรามีจักรพรรดิอสูรอยู่ หนก่อนท่านยายบอกข้าว่าอวิ๋นซู่ยากจะต่อกรกับจักรพรรดิอสูรได้ จักรพรรดิอสูรจะต้องชนะเขาได้แน่”
เฉียวเจิงไม่พูดอันใด
เฉียวเวยงุนงง นางกระตุกแขนเสื้อเขาเบาๆ “ท่านพ่อ”
เฉียวเจิงบอกอย่างเศร้าๆ “ข้าคิดถึงมารดาของเจ้า”
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ นางก็คิดถึงเหมือนกัน ผ่านไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว แม้แต่ยิ่นอ๋องก็หาพบแล้ว แต่เหตุไฉนมารดาของนางจึงยังไม่มีข่าวคราวอันใดเลยเล่า…
หนนี้พวกเขาเดินทางไปทางน้ำเช่นเดิม เพราะออกเดินทางเช้า เมื่อไปถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงเพิ่งเที่ยงวันพอดี ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้แล้ว บอกว่าต้องต้อนรับพวกเขาให้ดี แต่สิ่งที่คนพวกนั้นทำ พวกเขาจะกล้ากินเสียที่ไหน พวกเขากินอาหารบนรถม้ากันมาก่อนแล้ว
แท่นบวงสรวงของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่บนที่ราบทางตะวันออกของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แท่นบวงสรวงสร้างสูงขึ้นมาจากพื้นราวหนึ่งจั้ง รอบด้านมีบันไดหินอ่อนสีขาวหลายชั้น แท่นบวงสรวงรูปวงกลมบนยอดสร้างจากหินอ่อนสีขาวเส้นผ่านศูนย์กลางราวสามจั้งกว่า
รอบด้านแท่นบวงสรวงมีอัฒจันทร์สูงหลายอัฒจันทร์ อัฒจันทร์ด้านใต้ถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์จับจองแล้ว ส่วนอีกสามด้านที่เหลือให้พวกเฉียวเวยเลือกได้อย่างอิสระ
การมองเห็นสีหน้ายามคู่ต่อสู้พ่ายแพ้แต่ละครั้งเป็นเรื่องที่น่าเพลิดเพลินที่สุดแล้ว ทุกคนจึงเลือกอัฒจันทร์ทิศเหนืออย่างพร้อมเพรียงกัน
เฉียวเวยเป็นคนสุดท้ายที่เดินขึ้นไปบนอัฒจันทร์ ก่อนจะเดินขึ้นไป ยิ่นอ๋องก็เดินไพล่มือเข้ามาหาอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วพูดกับเฉียวเวยอย่างลำพองใจ “กล้ามาจริงๆ สินะ คิดไว้แล้วหรือยังเล่าว่ายามพ่ายแพ้จะขอร้องอ้อนวอนเช่นไรดี”
เฉียวเวยมองเขาอย่างขบขัน “คำพูดนี้ น่าจะเป็นข้าพูดกับเจ้าถึงจะถูก อย่าคิดว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีคนมากมายแล้วจะเอาชนะพวกเราได้ง่ายๆ การประลองไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวน แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพ เจ้าน่ะ รอยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเสียเถิด”
หากเป็นก่อนหน้านี้ยิ่นอ๋องคงจะถูกยั่วโมโหจนแทบแย่แล้ว แต่ตอนนี้ยิ่นอ๋องไม่เพียงไม่โมโหแต่กลับหัวเราะอย่างใจกว้างอย่างยิ่ง เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ขยับเข้าไปใกล้เฉียวเวยแล้วกระซิบเบาๆ ริมหูของนาง “เฉียวซื่อหนอเฉียวซื่อ เจ้าไม่เห็นปรโลกไม่ยอมตัดใจจริงๆ สินะ เห็นแก่ที่รู้จักกันมาก่อน อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้าเล่า หากตอนนี้มาอยู่ข้างกายข้า บางทีหลังจากพวกเจ้าพ่ายแพ้ข้าอาจจะเมตตาละเว้นเจ้า”
เฉียวเวยขบขันจนต้องหัวเราะ นางผลักศีรษะของเขาที่ขยับเข้ามาใกล้ออกไปเบาๆ แล้วเอ่ยโต้อย่างไม่ร้อนใจว่า “เจตนาดีของท่านอ๋องข้ารับรู้แล้ว ท่านอ๋องเป็นห่วงตนเองเสียดีกว่า ความจริงข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้มาตลอด ท่านยายของท่านเป็นเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้องชอบธรรมแท้ๆ ท่านช่วยนางแย่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์กลับมาไม่ดีหรือไร ไยต้องไปช่วยบิดาชั่วช้าที่ไม่เคยเลี้ยงดูท่านสักวันคนนั้นกระทำเรื่องชั่วด้วย”
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงหยัน “ท่านยายของข้า มีจีหมิงซิวอยู่ ของดีๆ อันใดจะตกมาถึงข้าหรือ แล้วอีกอย่าง…”
เขาชะงัก
“แล้วอีกอย่างเจ้าก็ยังไม่มีลูกชาย” เฉียวเวยยกยิ้ม ประโยคนี้ดูเหมือนจะแทงใจดำยิ่นอ๋องเข้าอย่างจัง ยิ่นอ๋องสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา เฉียวเวยเอ่ยต่ออย่างอารมณ์ดีอย่างยิ่ง “ที่แท้ท่านอ๋องก็คิดว่าชาตินี้ตนเองจะมีลูกชายไม่ได้แล้วนี่เอง”
ยิ่นอ๋องโกรธจัด “เฉียวซื่อ!”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขาอีก นางก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนอัฒจันทร์
ยิ่นอ๋องมองแผ่นหลังของนาง แล้วกำหมัดดังกรอด “เฉียวซื่อ! ข้าไม่ได้มีความอดทนตลอดเวลาหรอกนะ! ทางที่ดีเจ้ารีบมาอยู่ข้างกายข้าเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้น…”
เฉียวเวยโบกมือโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับไปมอง ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ยิ่นอ๋องสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโกรธเกรี้ยว!
…
อัฒจันทร์ค่อนข้างกว้างขวาง รั้วกั้นค่อนข้างสูง นอกจากจักรพรรดิอสูรกับราชันอสูรผู้มีรูปร่างสูงใหญ่เกินมนุษย์ทั่วไป คนธรรมดาเวลานั่งลงไปแล้วระดับสายตาจะถูกบดบังอยู่พอสมควร
จักรพรรดิอสูรนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ เขาเก็บงำลมปราณบนร่างอยู่ อีกทั้งหน้าตาก็ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ดังนั้นนอกจากกงซุนฉางหลีกับยิ่นอ๋อง คนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงยังไม่มีใครเดาออกว่าเขาคือจักรพรรดิอสูร
ราชันอสูรแผ่ลมปราณออกมาทำให้คนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ตกใจเล็กน้อย เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังเป็นเพียงราชันอสูรขั้นหกอยู่เลย ทว่าตอนนี้เขากลับเลื่อนขั้นไปถึงระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดแล้ว แถมยังมีวี่แววว่าจะทะลุปราการของขั้นแปดได้อีกด้วย
ความเร็วระดับนี้น่าเหลือเชื่อเล็กน้อย
คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เริ่มกระซิบกระซาบสงสัยว่าราชันอสูรใช้ยาพิษที่ได้มาจากร่างหยินบริสุทธิ์ไปแล้ว
เฉียวเวยกำรั้วกั้นด้านหน้าไว้แล้วถามอวิ๋นจูว่า “ท่านยาย แท่นบวงสรวงแห่งนี้มีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วหรือ”
อวิ๋นจูตอบว่า “มีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่สภาพไม่ได้เป็นเช่นนี้ นี่คงจะบูรณะขึ้นมาใหม่”
เฉียวเวยพยักหน้าแล้วมองไปทางอัฒจันทร์ทิศใต้ นางอยากรู้ว่าคนที่มาประลองวันนี้กับคนที่มาชมการประลองมีผู้ใดบ้าง
ยิ่นอ๋องกับกงซุนฉางหลีย่อมไม่ต้องพูดถึง แม่เฒ่าแห่งเกาะอิ๋นหูก็มาด้วย แม่เฒ่าเห็นอวิ๋นจูกับจักรพรรดิอสูรผู้กินถั่วเคลือบน้ำตาลอย่างสบายใจอยู่หลังอวิ๋นจูแล้ว
นางย่อมทราบว่านั่นคือจักรพรรดิอสูร วันนั้นนางเห็นกับตาตนเองว่าเขาจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งเดินออกไป
สีหน้าของแม่เฒ่าตื่นเต้นยินดีอยู่เล็กน้อย
อีกฝั่งหนึ่งของแม่เฒ่าเฉียวเวยเห็นคนที่คาดคิดในสภาพที่ไม่คาดคิด ที่บอกว่าคาดคิดก็คือคาดว่าเขาจะมาปรากฏตัว แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวในสภาพเช่นนี้
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือ…เย่ว์หวา ประมุขแห่งเขาเชียนหลวนผู้หายตัวไปเจ็ดวันเต็ม จนกระทั่งเมื่อคืนวานเพิ่งถูกลูกศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ตามหาตัวพบนั่นเอง
ขาของเย่ว์หวาหัก ทั้งตัวพันผ้าพันแผลไว้ราวกับเป็นครึ่งคนครึ่งมัมมี่ เขานั่งอยู่บนรถเข็นประดับอัญมณีสีแดงอันหรูหราและดูโอ้อวดอย่างยิ่ง ขณะที่สายตาจับจ้องมาทางพวกเฉียวเวยอย่างโหดเหี้ยม
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ แล้วโบกมือให้เขา
เย่ว์หวาโกรธจนควันแทบออกจมูก
การประลองรอบแรกใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว
กฎของการประลองเรียบง่ายอย่างยิ่ง ใครที่ถูกเล่นงานจนล้มแล้วลุกขึ้นมายืนไม่ไหว หรือว่าถูกซัดตกจากเวทีประลองก็นับว่าแพ้ ดาบกระบี่ไร้ตา เป็นตายรับผิดชอบตนเอง
การประลองรอบแรกของวันแรกมักจะใช้เป็นการโยนหินถามทาง ฝั่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ส่งนักรบมรณะดาบยาวผู้มีฝีมือร้ายกาจออกมาคนหนึ่ง นักรบระดับนี้อยู่ในระดับสูงสุดของนักรบมรณะดาบยาวแล้ว ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูร
ดูจากปราณสีดำที่ผลุบโผล่อยู่บนใบหน้าของเขา เขาคงกำลังกินยาพิษเพื่อเป็นตัวเลือกราชันอสูรคนต่อไปอยู่แน่
พลังของคนผู้นี้เหนือกว่าสือชี แต่อยู่ต่ำกว่าราชันอสูร หากวันแรกคนที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ส่งมาล้วนเป็นนักรบมรณะที่ระดับต่ำกว่าราชันอสูร ถ้าเช่นนั้นพวกเขาฝั่งนี้จะใช้ราชันอสูรให้เสียเปล่าย่อมไม่ใช่การกระทำที่คุ้มค่านัก
คู่ต่อสู้ของราชันอสูรคือรานีอสูร ก่อนรานีอสูรออกโรง ราชันอสูรจะออกหน้าไม่ได้
“สือชี” อวิ๋นจูเอ่ยเรียก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอึ้งไปวูบหนึ่ง “พลังของเจ้าคนนั้นสูงกว่าสือชีนะ!”
สือชีก็มีพลังในระดับจุดสูงสุดของนักรบมรณะดาบยาวแล้วเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้กินยาพิษ ดังนั้นเขาจึงอยู่ห่างจากเส้นทางการเป็นราชันอสูรอยู่อีกไม่รู้กี่ก้าว ทว่าเจ้าหมอนั่นที่ยืนอยู่บนเวทีแทบจะนับได้ว่ากลายเป็นราชันอสูรไปครึ่งตัวแล้ว
เฉียวเวยถอนหายใจเงียบๆ นางไม่โทษยิ่นอ๋องที่จะมั่นใจในตนเองปานนั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแดนแห่งพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อน มียอดฝีมือดุจหมู่เมฆจริงๆ แล้วย้อนกลับมาดูพวกเขา พวกเขามียอดฝีมือให้ใช้งานน้อยเหลือเกิน แต่ละคนต้องเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ดังนั้นการเลือกของอวิ๋นจูจึงไม่ผิด รอบนี้จำเป็นต้องเป็นสือชี ยิ่งไปกว่านั้นสือชียังต้องชนะอีกด้วย!