หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 44-2 ชัยชนะ (1)
ตอนที่ 44-2 ชัยชนะ (1)
เฉียวเวยเดินอ้อมไปอีกด้านของอัฒจันทร์ พอมองตามเสียงไปก็เห็นศิษย์พี่หญิงรองมือถือกระบี่ยาว ใส่เสื้อกันลมขนกระต่ายสีฟ้าน้ำแข็ง สีหน้าเรียบเย็นกำลังเดินเข้ามาจากปากทางเข้า
นี่เป็นครั้งแรกของเฉียวเวยที่ได้เห็นอีกฝ่ายตอนกลางวันแสกๆ ที่มีสติครบถ้วน อีกฝ่ายไม่ได้ต่างจากลักษณะที่นางจำได้นัก ถึงขั้นว่าไม่เห็นไอสีดำนั้นอีกด้วย สวินหลันเหมือนคนปกติมากแล้ว แต่นางดูแล้วเหมือนคนปกติกว่าสวินหลันอยู่อีกเล็กน้อย จุดเดียวที่ทำให้คนอื่นแยกออกว่านางเป็นมนุษย์พิษก็คือดวงตาที่แดงระเรื่อคู่นั้นของนาง
นางมีรูปลักษณ์ที่สะโอดสะองงดงาม ดวงตาเช่นนั้นไม่เพียงไม่อัปลักษณ์ แต่กลับยิ่งทำให้ท่าทางเยือกเย็นอันโดดเด่นของนางดูมีเสน่ห์มากขึ้นหลายส่วน
นางค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นบนแท่นประลอง
ทุกคนหันไปมองนางกันเป็นตาเดียว
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ย่อมดูออกว่านางก็คือร่างหยินบริสุทธิ์ที่หนีออกไปได้เป็นคนแรก คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานเพียงนี้แล้ว นางจะยังมีชีวิตอยู่ได้ ซ้ำยังคล้ายว่า… จะเกี่ยวพันอยู่กับพวกอวิ๋นจูเสียด้วย
ประมุขเย่ว์หวาย่อมเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แต่เขาพูดไม่ได้ ถึงอย่างไรหลังจากได้มนุษย์พิษมาแล้ว สิ่งที่เขาควรทำที่สุดก็คือส่งมอบให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เอามาใช้เป็นเบี้ยเพื่อลบล้างความแค้นส่วนตัวกับพวกอวิ๋นจู
ประมุขเย่ว์หวาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เฉียวเวยก็คร้านจะเปิดโปงเขา ความสนใจทั้งหมดของเฉียวเวยจึงไปอยู่ที่ตัวศิษย์พี่หญิงรอง
บอกตามตรงว่านางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นางไม่คิดว่าศิษย์พี่หญิงรองจะมาปรากฏตัว ศิษย์พี่หญิงรองกับนางไม่ได้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ต่อให้จะอยู่ในเรือนเดียวกันแต่ทั้งสองก็แทบไม่เคยเอ่ยทักทาย ศิษย์พี่หญิงรองอยู่เงียบๆ ในห้องของตน สองหูไม่เงี่ยฟังเรื่องนอกหน้าต่าง นางยังคิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้อะไรเลยเสียอีก…
เฉียวเวยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดนางถึงมา เป็นแม่ทัพน้อยมู่ที่ขอร้องนางหรือ หรือว่านางคิดจะมาเอง เพราะนางซาบซึ้งใจที่พวกตนช่วยนาง หรือโกรธแค้นที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เคยทำร้ายนางกันแน่
ในใจเฉียวเวยไม่มีคำตอบ
ศิษย์พี่หญิงรองหยุดยืนอยู่กลางแท่นประลอง
ในใจเฉียวเวยไม่มีคำตอบ
ศิษย์พี่หญิงรองหยุดยืนอยู่กลางแท่นประลอง
ลมหนาวพัดเส้นผมดกดำประหนึ่งหยกกับแขนเสื้อที่ดูดุจก้อนแมฆของนางให้ปลิวไสว
นางยกมือปลดเสื้อคลุมกันลมออก พอชูขึ้นเบาๆ เสื้อคลุมก็ถูกลมพัดลอยขึ้นฟ้า
นางชักกระบี่ล้ำค่าออกมา พอตัวขยับ ประกายดาบอันคมกริบก็เปล่งประกายอยู่บนแท่นประลอง
จังหวะต่อมานางเคลื่อนไปหยุดอยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั้น
บุรุษผู้นั้นเบิกตาโตที่แดงก่ำด้วยสีหน้าอึ้งงัน ลำคอมีรอยเลือดสีแดงไหลออกมา จากนั้นพอได้ยินเสียงดังตึ้ง ตัวเขาก็ล้มคว่ำลงกับพื้นไม้ที่ทั้งแข็งและหนาวเย็น
มีมนุษย์พิษอีกคนหนึ่งพุ่งขึ้นมา นี่คือการลอบโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย
นัยน์ตาศิษย์พี่หญิงรองมีประกายดุดันวาบผ่าน วาดกระบี่ฟันออกไป ศีรษะอีกฝ่ายก็หล่นลงพื้นทันที
เสื้อคลุมที่ลอยอยู่กลางอากาศตกลงมาช้าๆ แล้วหล่นลงมาบนไหล่ศิษย์พี่หญิงรองอีกครั้ง ศิษย์พี่หญิงรองรัดสายเสื้อคลุมด้วยมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งถือกระบี่ เดินลงจากแท่นประลอง ออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้วหายไปท่ามกลางหิมะขาวที่โปรยปลิวโดยไม่แม้จะหันมามอง
…
ภาพเช่นนี้แทบจะเกินความคาดหมายของทุกคน จนกระทั่งร่างศิษย์พี่หญิงรองหายลับไปจากสายตาของทุกคนแล้ว ทุกคนถึงได้พากันเอามือกุมหน้าอก เลือดไหลย้อนกลับ
ไม่ว่าอย่างไรการมาของศิษย์พี่หญิงรองก็ทำให้สถานการณ์พลิกผันทันที
ชัยชนะในวันแรก พวกเขาคว้ามาได้แล้ว
“เฉียวซื่อ เจ้าอย่าได้ดีใจเร็วเกินไป” ก่อนจะแยกย้าย ยิ่นอ๋องเรียกเฉียวเวยไว้ “วันแรกก็แค่เล่นกันสนุกๆ เท่านั้น วันพรุ่งนี้คงไม่ง่ายเช่นนี้แล้ว”
“หากมั่นใจเพียงนั้นเหตุใดถึงต้องวิ่งโร่มายั่วโมโหข้าด้วยเล่า นั่งรอชัยชนะของเจ้าอยู่เงียบๆ ไปก็สิ้นเรื่อง มิใช่หรือ”
“ข้าแค่เพียงอยากเตือนเจ้า อย่าได้ดื้อดึงไป พวกเจ้าจะต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแน่ รีบมาอยู่ข้างกายข้าเสีย บางทีอาจจะรักษาชีวิตเจ้าไว้ได้!”
ปากก็บอกแต่ให้มาอยู่ข้างเขา คนผู้นี้คงไม่ได้สติฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง บัญชีระหว่างพวกเขาสองคน ต่อให้ผ่านไปแปดชาติก็ไม่มีวันหมด ยังจะให้นางไปอยู่ข้างเขาอีกหรือ
เฉียวเวยถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ความตั้งใจของเจ้าเก็บไว้ให้ตัวเจ้าเองจะดีกว่า!”
ยิ่นอ๋องพลันโกรธเกรี้ยว “เฉียวซื่อ เฉียวซื่อ! เฉียวซื่อ!”
เฉียวเวยขึ้นนั่งรถม้าไปแล้ว
ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น “เจ้าต้องเสียใจแน่!” การประลองในวันที่สองมาถึงอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ไม่มีฝ่ายใดกล้าเก็บงำความสามารถอีก ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ใช้งานรานีอสูรตั้งแต่ยกแรก
ตอนได้เห็นรานีอสูรครั้งแรกนั้น ประเมินว่าอีกฝ่ายความสามารถอยู่ที่ขั้นเจ็ด แต่หลังจากไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง นางได้ก้าวข้ามไปถึงขั้นแปดช่วงท้ายแล้ว ถ้าเทียบกับราชันอสูรเรียกได้ว่าสูงกว่าหนึ่งขั้นเต็มๆ เลยทีเดียว
การที่นางพัฒนาได้รวดเร็วเพียงนี้หาใช่เรื่องแปลกอะไร เดิมทีคนที่สามารถกลายเป็นราชันอสูรได้นั้นก็เป็นคนที่มีกระดูกแข็งเป็นเลิศอยู่แล้ว ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ยังมียาพิษตั้งมากเพียงนั้น นางกินยาพิษราวกับกินถั่วหวาน จะไม่ข้ามขั้นได้อย่างไร
พอคิดถึงตรงนี้เฉียวเวยก็เริ่มสงสารราชันอสูรของตน ตัดสินใจว่าไว้กลับไปจะทอดถั่วคลุกน้ำตาลให้เขาอีกสองถาด
จักรพรรดิอสูรทำท่าส่งหัวใจ
กระทั่งรานีอสูรยังออกโรงแล้ว รอบนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เอาจริงแล้ว ทางฝั่งพวกเขาก็ย่อมไม่ประมาท ราชันอสูรเดินลงจากอัฒจันทร์อย่างไร้ความกังวล
การต่อสู้ระหว่างราชันอสูรสองคนไม่ใช่เรื่องที่ “ชนธรรมดาสามัญ” อย่างพวกเขาจะทนรับได้อยู่แล้ว
ทั้งสองห้ำหั่นกันบนแท่นประลองอย่างเอาเป็นเอาตาย พลังสังหารกระแทกใส่กันไปมาราวกับจะให้ฟ้าพลิกแผ่นดินทลาย เล่นเอาสัตว์ในรัศมีสิบลี้ถึงกับร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว
จักรพรรดิอสูรใช้พลังของตนปกป้องอัฒจันทร์ทางเหนือไว้
อีกด้านหนึ่งถึงแม้อวิ๋นจูจะยังมาไม่ถึง แต่เฉียวเวยรับรู้ได้ว่า เขากำลังให้พลังของตนปกป้องอัฒจันทร์ทางใต้ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อยู่
การต่อสู้ระหว่างราชันอสูรกับรานีอสูรเข้าช่วงที่อันตรายเหลือแสน ถึงอย่างไรรานีอสูรก็ล้ำหน้าราชันอสูรอยู่ถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ บางครั้งความต่างกันขั้นหนึ่งนั้นก็ราวกับความต่างระหว่างฟ้ากับเหว กำลังภายในของรานีอสูรล้ำลึกคล้ายแม่น้ำที่ทอดยาวไม่มีจุดสิ้นสุด รุกไล่กดดันเข้าใส่ราชันอสูรไม่รู้จักจบจักสิ้น
ราชันอสูรถูกตรึงเอาไว้ได้ เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ เหงื่อก็ไหลทะลัก เขาบังคับขาให้มั่นคง ยืนนิ่งอยู่บนแท่นประลองไม่ยอมให้ตกลงมา
รานีอสูรตัวโค้งลงมามากขึ้น ใช้กำลังภายในมากขึ้นอีกหนึ่งส่วน
พอได้ยินเสียงปักๆ สองครั้ง พื้นของแท่นประลองใต้ขาราชันอสูรก็ผลุบลงไปสองรูใหญ่
รานีอสูรยังคงกดดันต่อไป รูใต้เท้าราชันอสูรขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่เท่าไรเขาก็ถูกกดดันจนตัวจมลงไปถึงหัวเข่า
มุมปากที่เป็นสีแดงคล้ำของรานีอสูรปรากฏรอยยิ้มเยาะ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยด้วยความกังวลว่า “ขั้นฝีมือของรานีอสูรไม่ได้เพียงแค่คุยโวเฉยๆ หรือนี่…”
ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไป ความต่างระหว่างลำดับขั้นก็ยิ่งเหมือนฟ้ากับเหว ตัวอย่างเช่นราชันอสูรขั้นหนึ่งกับราชันอสูรขั้นสองแทบไม่ต่างอะไรกัน แต่ขั้นเจ็ดกับขั้นแปดนั้น คนเดียวก็สามารถเอาชนะราชันอสูรสองคนได้แล้ว
รานีอสูรกดดันใส่ราชันอสูรไม่หยุด นางค่อยๆ กดตัวราชันอสูรให้จมหายลงไปได้ทีละน้อย
บนอัฒจันทร์ทางใต้ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เย่ว์หวาที่นิ่งเงียบมาสองวันเอ่ยปากขึ้นว่า “รานีอสูร สังหารเขาเสีย!”
คนผู้นี้ที่หักหลังเหยาจี ทำให้เหยาจีต้องตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของอวิ๋นจู ครั้งนี้ก็ให้เขาได้ลิ้มรสการถูกคนสังหารบ้างก็แล้วกัน!
รานีอสูรได้รับคำสั่ง ดวงตาหรี่ลง สองแขนสั่นไหว ใช้กำลังภายในมากขึ้นโดยพลัน ราชันอสูรถูกกดจนเสียงดังเปรี๊ยะๆ ให้สองที คล้ายว่ากระดูกก็หักเปราะไปแล้ว
ใจของเฉียวเวยกระดอนขึ้นมาตรงลำคอ
ราชันอสูรถูกพลังอีกเท่าตัวรานีอสูรปล่อยออกมากดจนจมดิน!
รานีอสูรทะยานตัวขึ้น เงื้อกำปั้นทุบใส่ศีรษะราชันอสูรอย่างรุนแรง
เฉียวเวยไม่กล้าดูต่อ
เกิดเสียงดังสนั่น การประลองสิ้นสุดลง
เฉียวเวยหลับตาแน่นไม่กล้ามอง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตบไหล่นาง สองให้นางลืมตาขึ้นมาดู
เฉียวเวยสูดหายใจลึกๆ หันมองไปทางแท่นประลอง จึงเห็นราชันอสูรที่เดิมทีควรถูกทุบศีรษะจนเละไม่เหลือชิ้นดี กลับขึ้นมายืนอยู่บนแท่นประลองพร้อมรัศมีดุดันตั้งแต่เมื่อไร ส่วนรานีอสูรที่โจมตีใส่เขานั้นกลับถูกเขาใช้กำลังภายในซัดจนกระเด็นออกไปแล้ว
ไม่มีใครรู้เลยว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร!
กว่าพวกเขาจะเรียกสติกลับมาได้ รานีอสูรก็กระเด็นไปล้มกระแทกอยู่นอกแท่นประลอง ตามด้วยกระอักเลือดสดๆ ออกมาแล้ว