หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 49-1 ตัวน้อยทั้งสามประจำการ ขัดเกลาความสามารถ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 49-1 ตัวน้อยทั้งสามประจำการ ขัดเกลาความสามารถ
ตอนที่ 49-1 ตัวน้อยทั้งสามประจำการ ขัดเกลาความสามารถ
การกลับมาของเฮ่อหลันชิง คนที่ดีใจที่สุดแน่นอนว่าคือเฉียวเจิง
เฉียวเจิงพอเข้ามาในจวนอ๋องก็รีบเข้าห้องครัว พาให้ห้องครัวของฟางชุ่ยหยวนร้อนระอุขึ้นมาทันที เขาลงครัวด้วยตนเองเพราะอยากทำอาหารดีๆ ด้วยความรักโต๊ะใหญ่ให้กับเฮ่อหลันชิง
เฮ่อหลันชิงยืนพิงอยู่ตรงประตู อมยิ้มมองคนที่กำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตา สายตามีแววรักใคร่และอ่อนหวานเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจิงเหลือบมอง พอเห็นเฮ่อหลันชิงกำลังมองตนอยู่ด้วยท่าทางเช่นนั้น ใจก็พลันร้อนระอุจนเกือบทำอาหารมื้อนี้ต่อไม่ได้
เฮ่อหลันชิงก้าวขาเรียวยาวงดงามเข้ามาข้างใน ผลักสามีเบาๆ ไปติดตู้ใส่จาน
ตัวของเฉียวเจิงพลันชะงักค้าง เลือดในกายเดือดพล่านไม่หยุด เลือดลมใกล้จะพุ่งทะลุศีรษะเต็มที “ข้า…ข้ายังถือมีด…”
เฮ่อหลันชิงจับปลายคางของอีกฝ่ายไว้ มืออีกข้างดึงมีดในมือเขาไปโดยไม่ทันรู้ตัวแล้วเอาวางลงบนแท่นเตา ก่อนจะเรียกขานเขาด้วยน้ำเสียงหวานล้ำว่า “อาเจิง”
เสียงของนางฟังดูออดอ้อนไม่เหมือนสตรีนางอื่น เจือความแตกพร่าอยู่บางๆ ทั้งเรียบเย็นและเย้ายวน
เฉียวเจิงแค่ได้ยินเท่านี้ กระทั่งใจก็อ่อนยวบยาบไปหมด
…
ใต้เท้าเจ้าสำนักกับพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคยกินอาหารฝีมือเฉียวเจิงกันมาก่อน โดยเฉพาะใต้เท้าเจ้าสำนักที่ได้กินมาตลอดทางต้าเหลียงไปชนเผ่าลึกลับ เขาเรียกได้ว่าชื่นชมฝีมือการทำอาหารของเฉียวเจิงไม่ขาดปาก และด้วยเหตุนี้ พ่อครัวหลวงอย่างอาต๋าเอ่อร์จึงเป็นอันต้องลงจากตำแหน่ง
วันนี้พอได้ยินว่าเฉียวเจิงจะลงครัวเอง ทุกคนก็พากันวางมือลงแต่หัววัน ไปนั่งรอกันอยู่ที่โต๊ะอย่างเรียบร้อย
แต่รอแล้วรอเล่าเฉียวเจิงก็ไม่มาเสียที รอจนคนในห้องเสียงท้องร้องดังระงม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำลังจะไปเร่งที่ห้องครัว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าขาตนใช้การไม่ได้แล้ว จึงบอกให้ไห่สือซานไปแทน
ใครใช้ให้ขาของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยใช้การไม่ได้เพราะช่วยไห่สือซานเล่า ไห่สือซานยอมไปแต่โดยดี
ผู้ใดเลยจะรู้ พอเดินไปถึงหน้าประตูห้อง เฮ่อหลันชิงที่หน้าตาแช่มชื่นก็เดินเข้ามา สีหน้าสดใสมีเลือดฝาดอย่าบอกใคร
ไห่สือซานตะลึงค้างไปทันที ไม่รู้เหตุใดถึงพลอยหน้าแดงไปด้วย
เฮ่อหลันชิงเดินเข้าไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในมือถือซึ้งหมั่นโถวเย็นๆ เมื่อกลางวันทำเยอะเกินไปเลยยังกินไม่หมด เดินเข้าไปนั่งข้างเฉียวเวยแล้วพูดกับทุกคนว่า “อาเจิงเหนื่อยแล้ว เย็นนี้กินอะไรง่ายๆ กันไปก่อนแล้วกัน”
ทุกคนพากันทยอยหยิบก้อนอิฐ… เอ้ยไม่ใช้ ก้อนหมั่นโถว แล้วฝืนใจกัดลงไปอย่างน่าสงสาร
…
หลังจากกินหมั่วโถวเสร็จแล้ว เฮ่อหลันชิงก็ก้าวเร็วๆ กลับห้องไป แล้วจับสามีรูปงามของตนมารังแกทั้งนอกและในอีกหนึ่งรอบ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหกล้มขาหักไปหนึ่งข้าง เฉียวเวยจัดการต่อให้เขาแล้ว เอาไม้อันหนึ่งมาดามเป็นเฝือกไว้ง่าย แล้วบอกเขาว่าหลังจากนี้ให้นอนพักอยู่ในห้อง
คนฝึกวรยุทธ์ จะแขนขาหักเป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดาเหมือนการกินข้าว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแต่ที่เขาบาดเจ็บก็เพราะช่วยไห่สือซานไว้ พอได้เห็นไห่สือซานมายกชารินน้ำให้ด้วยความรู้สึกผิดราวกับภรรยาตัวน้อย อารมณ์เขาก็ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
คนที่อาการน่าเป็นห่วงที่สุดคือราชันอสูร เขาต้านทานจักรพรรดิอสูรเอาไว้ได้นานเพียงนั้นด้วยตัวคนเดียว กำลังภายในถูกจักรพรรดิอสูรทำลายไปพอสมควร ยังดีที่ได้ยาพิษจากตัวรานีอสูรมา ยาพิษเม็ดนี้ถึงแม้จะสู้ร่างหยินบริสุทธิ์ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ผสานเอากำลังภายในส่วนหนึ่งของรานีอสูรไป จึงเหมาะยิ่งนักกับการฟื้นฟูกำลังภายใน
ราชันอสูรรับยาพิษที่ดูน่าเอร็ดอร่อยไป แล้วจึงปลีกวิเวกรักษาตัวอย่างอารมณ์ดี
เวลานี้ก็เหลือเพียงจักรพรรดิอสูรแล้ว
ตัวเขาเองอยู่ในสภาวะที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาย่อมไม่อยากให้ใครตามหาเขาเจอ เขาหมั่วฮวงกว้างใหญ่เพียงนั้น กระทั่งพวกเสี่ยวไป๋ก็ยังไม่แน่ว่าจะตามกลิ่นเขาเจอ
อย่างไรก็ต้องใช้งานทหารรักษาพระองค์
เฉียวเวยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจไปพบท่านมู่อ๋องสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาตัวจักรพรรดิอสูรกลับมาให้ได้ก่อนที่พวกลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะหาตัวเขาเจอ
ท่านมู่อ๋องช่วงนี้ไม่ได้อยู่ที่จวน เขาไปเป็นแขกอยู่ที่บ้านเดิมของพระชายา เป็นเฉียวเวยที่ให้ผู้ดูแลปี้ไปส่งข่าว เขาถึงได้รีบกลับมาทันที
ในห้องหนังสือ เขาได้เจอกับเฉียวเวย
เขาถอดเสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ให้ผู้ดูแลปี้เอาไปจัดการ แล้วจึงชี้ไปทางเก้าอี้ด้านข้างเป็นการบอกให้เฉียวเวยนั่งลง ทั้งยังถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดถึงได้รีบร้อนอยากพบข้า”
เฉียวเวยเอ่ยตามมารยาทไปว่า “เป็นความจริงที่มีเรื่องสำคัญอยากจะรบกวนท่านอ๋อง ขอบอกตามตรง พวกเรารบกวนท่านอ๋องมานานเพียงนี้ พวกข้ารู้สึกเกรงใจมากแล้ว…”
มู่อ๋องนั่งลง เอ่ยขัดคำพูดของนาง “หมิงซิวเป็นบุตรชายของข้า เจ้าก็คือลูกสะใภ้ของข้า ไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจกัน เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าทำอะไร เชิญว่ามาได้เลย”
เฉียวเวยคิดในใจ ท่านมู่อ๋องผู้นี้ก็ช่างขัดแย้งในตัวเองเหลือเกิน ใจเขารักเจาหมิง แต่กลับรับบัญชาให้ไปสังหารเจาหมิง อย่าบอกว่าเขาไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ไม่อาจขัดคำสั่งราชาเยี่ยหลัว แต่เขาโกรธแค้นที่เจาหมิงแต่งงานกับจีซั่งชิงก็ไม่ใช่เรื่องโกหก เวลานี้พอได้รู้ว่าเจาหมิงให้กำเนิดบุตรของ “เขา” เขาก็อยากจะชดเชยสิ่งที่ติดค้างมาตลอดหลายปีให้อีก
ในใจเขาเกรงว่าคงไม่คิดว่าที่เจาหมิงแต่งงานกับจีซั่งชิงเพราะสถานการณ์บีบบังคับ เนื้อแท้ในใจจริงของเขา คนที่เขารักจริงๆ คงเป็นเขากระมัง
เฉียวเวยเย็นวาบกับการคาดเดาของตนเอง แต่ก็ยังอดที่จะถามถึงเรื่องเมื่อในอดีตไม่ได้ “ท่านอ๋อง ท่าน…มั่นใจได้อย่างไรว่าหมิงซิวเป็นบุตรของท่าน”
คำถามนี้ค้างคาอยู่ในใจนางมานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไปเท่านั้น วันนี้ท่านมู่อ๋องเป็นฝ่ายเอ่ยถึงฐานะของจีหมิงซิวขึ้นมาเอง นางถึงได้กล้าลองถามดูสักหน
ท่านมู่อ๋องดูจะไม่ได้คิดปิดบังเฉียวเวยในเรื่องนี้ เขาถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “เจาหมิงเคยกลับมาเยี่ยหลัวหลายครั้ง ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นนางข้าก็ถูกนางดึงดูดไปแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่เสด็จพี่ก็ลุ่มหลงในนางเช่นกัน ข้าไม่กล้าทำให้เสด็จพี่ไม่พอใจ จึงเก็บงำความในใจที่มีให้เจาหมิงมาตลอด จนกระทั่ง… วันนั้นที่ตำหนักราชครูจัดงานเลี้ยง ข้าดื่มไปหลายจอกจึงออกไปเดินรับลมให้สร่างที่ริมทะเลสาบ แต่กลายเป็นว่าได้เห็นเจาหมิงอยู่บนเรือเริงรมย์ ข้า…”
รายละเอียดบางอย่างหลังจากนั้นท่านมู่อ๋องข้ามผ่านไป ถึงอย่างไรเฉียวเวยก็เป็นสตรี การจะเอ่ยเรื่องเช่นนี้กับนางนับว่าเป็นการไม่ให้เกียรติจนเกินไป
ท่านมู่อ๋องพูดต่อว่า “คืนนั้นเสด็จพี่ก็ดื่มไปมากเช่นกัน เขาเองก็ได้เห็นเจาหมิง ข้ารู้ว่าเขาคิดมาตลอดว่าหมิงซิวเป็นบุตรชายของเขา แต่คืนนั้นเจาหมิงอยู่กับข้า คนที่อยู่เสด็จพี่เป็นอีกคนหนึ่ง”
หากกล่าวเช่นนี้ เฉียวเวยยังจะมีอะไรไม่เข้าใจอีก
ตลอดหลายปีที่เหยาจวิ้นควบคุมท่านน้า ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ต้องร่วมหลับนอน แค่เพียงใช้ยามอมเมาให้ราชาเยี่ยหลัวเกิดภาพหลอนขึ้นเท่านั้น
คืนนั้นเมื่อหลายปีก่อน คิดดูแล้วก็คงเป็นเช่นกัน ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคนที่ได้เห็น “เจาหมิง” อวิ๋นซู่เองก็ได้เห็นเช่นกัน
อวิ๋นซู่ไม่อาจทนให้ราชาเยี่ยหลัวกับมู่อ๋องแตะต้อง “เจาหมิง” ได้ ดังนั้นเขาจึงวางยามอมเมาใส่ทั้งสอง ให้ทั้งสองคิดไปว่าได้ร่วมเริงรมย์กับ “เจาหมิง” มาหนึ่งราตรี
แต่คนที่ได้เริงรมย์หนึ่งราตรีกับ “เจาหมิง” จริงๆ นั้นคืออวิ๋นซู่
เพียงแต่อวิ๋นซู่ก็คำนวณผิด นั่นหาใช่เจาหมิงตัวจริงไม่ แต่เป็นน้องสาวที่ชื่ออวิ๋นซิน
หลังจากวันนั้นอวิ๋นซู่ย่อมได้รู้ความจริง แต่เรื่องนี้จะโทษที่ตัวสตรีไม่ได้ เพราะตัวสตรีหาได้ยั่วยวนอันใดเขาไม่ เป็นเขาเองที่เหิมเกริมใช้กำลังเข้าข่ม
จะฆ่าอวิ๋นซิน อวิ๋นซินก็ท้องเสียแล้ว
จะไม่ฆ่าอวิ๋นซิน อวิ๋นซู่ก็หาได้ชอบพอนางจริงๆ ไม่
ดังนั้นจึงเกิดเรื่องส่งตัวบุตรของอวิ๋นซินไปเป็นฮ่องเต้ที่ต้าเหลียงขึ้น
หลังจากได้ลิ้มรสความหอมหวานจากการที่ยิ่นอ๋องได้ขึ้นเป็นรัชทายาทแล้ว อวิ๋นซู่ก็มีองค์ชายสามกับอวิ๋นซินอีกคน และใช้วิธีการเดิมเปลี่ยนองค์ชายสามให้กลายมาเป็นองค์ชายของเยี่ยหลัว
ด้วยเหตุนี้ พอบุตรชายทั้งสองของเขาได้สืบทอดต้าเหลียงและเยี่ยหลัว ใต้หล้านี้ยังจะไม่ใช่ของเขาอีกหรือ
จึ๊ ความมักใหญ่ใฝ่สูงนี้ วิธีการเช่นนี้ ความไร้ยางอายขั้นนี้ ต่อให้มีสวินหลันกับเหยาจวิ้นสักสิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของเฉียวเวย ซึ่งคงมีส่วนที่ต่างกับความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่มากนัก เพราะถึงอย่างไรการจะมีบุตรชายกับราชาเยี่ยหลัวสองคน ซ้ำยังเปลี่ยนฮองเฮาเยี่ยหลัวให้กลายเป็นหุ่นเชิด ก็จำต้องได้รับการพยักหน้าจากอวิ๋นซู่ มิเช่นนั้นเหยาจวิ้นจะกล้าเล่นงานสตรีของเขาได้อย่างไร
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” มู่อ๋องเอ่ยขัดความคิดของเฉียวเวย
เฉียวเวยสติพลันกลับเข้าร่าง ระบายยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่า จะเอ่ยกับท่านอ๋องเช่นไรดี”
มู่อ๋องเอ่ยอย่างมีเมตตา “ข้าเคยบอกแล้ว ระหว่างเจ้ากับข้าหาได้จำเป็นต้องเห็นเป็นคนอื่นไม่”
เฉียวเวยลังเลว่าจะเอาเรื่องที่ในฟางชุ่ยหยวนมีท่านยายพักอยู่หลายคนมาบอกแก่มู่อ๋องดีหรือไม่ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งนางก็ตัดสินใจเก็บเอาไว้ก่อน เปลี่ยนเป็นเลียบๆ เคียงๆ ถามว่า “ท่านอ๋อง พวกเราเคยไปที่เขาหมั่งฮวงกันมาหลายครั้ง และได้เจอคนประหลาดจำนวนหนึ่ง”
“เจ้าหมายถึงมนุษย์พิษเหล่านั้น?” มู่อ๋องเคยได้ยินผู้ดูแลปี้เอ่ยถึง ทหารราชองครักษ์หลายคนเคยถูกมนุษย์พิษเหล่านั้นโจมตี “ข้าได้มีคำสั่งให้สืบโดยละเอียดแล้ว ดูสิว่าผู้ใดกันที่เล่นศาสตร์มืดทำของสกปรกพวกนี้ขึ้นมา”
มนุษย์พิษสองคนที่สกปรกที่สุดอยู่ที่เรือนด้านหลังจวนท่านนี้เอง… เฉียวเวยเม้มปาก ตัดสินใจที่จะปิดต่อไป “ที่ข้าเอ่ยถึงไม่ใช่มนุษย์พิษ แต่เป็น… ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
“ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์?” มู่อ๋องดูอึ้งไป ก่อนจะตามด้วยระบายยิ้ม “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายไปหลายปีแล้ว ไม่เหลือศิษย์อยู่แล้ว”
เฉียวเวยนึกอยากจับตัวเขาขึ้นไปดูที่เมืองเหนือยอดเมฆขึ้นมาติดหมัด
มู่อ๋องเอ่ยเสียงเข้มว่า “น่ากลัวคงจะมีผู้ประสงค์ไม่ดี ปลอมตัวเป็นศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปปั่นหัวผู้คนกระมัง”
ท่านอ๋อง ท่านคิดมากไปแล้ว
มู่อ๋องพูดต่อว่า “ใช่สิ จั๋วหม่าน้อย เจ้าว่า… ในเมื่อหมิงซิวกับชิวหยางเป็นพี่น้องกัน เมื่อไรถึงจะ…ให้หมิงซิวปล่อยตัวน้องชายเขาเสียทีหรือ”
หากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เฉียวเวยยังคิดว่ามู่อ๋องจะลืมไปแล้วเสียอีก แต่เวลานี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่านางจะปล่อยตัวหรือไม่ แต่มู่ชิวหยางทรยศจวนอ๋องมาตั้งนาน และได้กลายเป็นเขี้ยวเล็บให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว
สายตาเฉียวเวยมีประกายวาบผ่าน หัวไวขึ้นมาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานว่า “อันที่จริงวันนี้ที่ข้ามาก็เพราะเหตุนี้ ก่อนที่หมิงซิวจะไปครองสันโดษ ได้บอกให้คนไปรับตัวซื่อจื่อกลับมาแล้ว”
“จริงหรือ” มู่อ๋องพลันตาเป็นประกาย
เฉียวเวยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิม “แน่นอนว่าคือเรื่องจริง ซื่อจื่อเป็นน้องชายของหมิงซิว ต่อให้หมิงซิวเด็ดขาดอย่างไรก็ไม่มีวันทำร้ายพี่น้องตนเอง”
มู่อ๋องยิ้มด้วยความสบายใจ “ไม่เสียแรงที่ข้าเอ็นดูเขา”
“เพียงแต่ว่า…” เฉียวเวยน้ำเสียงพลันเปลี่ยน “คนที่ไปรับตัวเขาเกิดถูกลอบโจมตีจากยอดฝีมือกลุ่มหนึ่ง จึงหายตัวไปพร้อมกับซื่อจื่อ!”
“อะไรนะ” มู่อ๋องลุกขึ้นยืนทันที!
เฉียวเวยบรรยายลักษณะของจักรพรรดิอสูรให้อีกฝ่ายฟัง “… คนผู้นี้ที่ไปรับตัวซื่อจื่อ เขาเพิ่งออกไปเมื่อเช้า แต่กลายเป็นว่าระหว่างทางกลับเกิดหายตัวไป ขอเพียงพวกเราตามหาคนผู้นี้เจอ ก็จะหาซื่อจื่อเจอด้วย!”
มู่อ๋องกำหมดแน่น “หายตัวไปที่ใด!”
เฉียวเวย “ทิวเขาหมั่วฮวง”
ตกดึก ทหารราชองครักษ์ออกปฏิบัติการกันทันที
ก่อนออกไปเฉียวเวยเตือนพวกเขาว่า คนผู้นี้วรยุทธ์สูงส่งล้ำเลิศ แต่ขี้ระแวง คนทั่วไปเข้าไม่ถึงตัวเขา หากพบเห็นร่องรอยของเขา ให้กลับมาบอกพวกนาง พวกนางจะไปรับตัวเอง
พอทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ เฉียวเวยก็กลับฟางชุ่ยหยวนไป
จักรพรรดิอสูรหายตัวไปแล้ว ราชันอสูรก็ปลีกวิเวกไปครองสันโดษแล้ว ภายในเรือนไม่มีเสียงกรุบกรับๆ ช่างสงบสลายเหลือเกิน
ยามกลางคืน แม่ชีน้อยทั้งสามพักอยู่ในห้องของอวิ๋นจูกับฮองเฮาเยี่ยหลัว เตียงมีขนาดใหญ่พอ พวกนางเข้าไปนอนย่อมไม่มีปัญหาอะไร
เพียงแต่เด็กน้อยทั้งสามไม่อยากจะนอนกับพวกนางนี่ จึงวิ่งเท้าเปล่าตัวปลิวออกไปข้างนอก เปิดประตูห้องเฉียวเวย แล้วซุกเข้าไปในผ้าหุ่มของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูทีละคน
จิ่งอวิ๋นที่ถูกเบียดจนแทบกลายเป็นเนื้อบด “…”
วั่งซูที่ถูกเบียดจนกระเด็นตกลงพื้นดังพลั่ก “…”
…