หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 49-2 ตัวน้อยทั้งสามประจำการ ขัดเกลาความสามารถ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 49-2 ตัวน้อยทั้งสามประจำการ ขัดเกลาความสามารถ
ตอนที่ 49-2 ตัวน้อยทั้งสามประจำการ ขัดเกลาความสามารถ
เฉียวเวยรู้สึกตัวตื่นเพราะถูกคนดึงทึ้งศีรษะ พอตื่นมาก็เห็นแม่ชีน้อยทั้งสามกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง มองมาที่นางกันตาแป๋ว
หิวแล้ว
เวลานี้ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะ เฉียวเวยขยี้ศีรษะที่ยังคงมึนงง ลุกจากเตียงไปทำอาหารให้แม่ชีน้อยทั้งสามกิน
เฉียวเวยนับแป้ง ทำหมั่นโถวแป้งขาวสามสิบลูก กับซาลาเปาไส้หูหลัวปัวกับเนื้อแกะอีกสามสิบลูก
หมั่นโถวกับซาลาเปาไม่ได้เสร็จเร็วเพียงนั้น แม่ชีน้อยทั้งสามเลยหิวกันจนกลืนน้ำลายเอื้อกๆ เฉียวเวยเลยทำได้แค่ทำแป้งม้วนห่อเนื้อแพะให้แม่ชีน้อยทั้งสามกินรองท้องกันไปก่อน
แต่กลายเป็นว่าพอได้รองท้องก็หยุดไม่ได้อีกเลย นางทำอันหนึ่ง พวกนางก็กินอันหนึ่ง ในถาดไม่เคยมีอะไรเหลืออยู่เลย กว่าหมั่นโถวกับซาลาเปาจะนึ่งจนได้ที่ มือที่ถือทัพพีของเฉียวเวยก็อ่อนเปลี้ยไปหมดแล้ว
นางป้อนอาหารแม่ชีน้อยอยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงทำพวกนางอิ่มได้เสียที ฟ้าก็สว่างแล้ว
เฉียวเวยพาเอาตาคล้ำเดินกลับห้องไป
คนอื่นๆ ก็ทยอยตื่นกันแล้ว เมื่อวานเกิดเรื่องมากมายเกินไป พวกเขาวุ่นวายกันจนถึงดึกดื่น ได้นอนก็ยังรู้สึกไม่พอ แต่ละคนหน้าตาดำคล้ำ ใต้เท้าเจ้าสำนักไปเข้าห้องสุขาเสร็จกลับมา ยังเดินศีรษะชนเสาเสียด้วย
คนเดียวที่กระปรี้กระเปร่าเห็นจะเป็นเฮ่อหลันชิง นางก็ “วุ่น” จนถึงดึกดื่นเช่นกัน ดึกกว่าใครทั้งสิ้น แต่นางกลับดูสดใสจนทุกคนอิจฉา
อวิ๋นจูพาอินทรีทองไปออกตามหาจักรพรรดิอสูรมาทั้งคืน จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่กลับ
เฮ่อหลันชิงไม่ได้รอนาง พอกินมื้อเช้าเสร็จก็พาคณะของบุตรสาวขึ้นนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์
แม่ชีน้อยทั้งสามก็ขึ้นมานั่งอยู่ด้วย
พอพวกนางขึ้นมา แน่นอนว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็ต้องขึ้นมาด้วย โ
ขนเพียงพอนของเสี่ยวไป๋พลันฟูฟ่อง แล้วกระโจนขึ้นไปด้วยเช่นกัน!
มันโดนทิ้งอยู่เรื่อย วันนี้ในที่สุดก็ชิงเป็นที่หนึ่งได้สักที!
เสี่ยวไป๋ยืดหน้าอกด้วยความภาคภูมิใจ
ตัวที่สองที่กระโดขึ้นรถม้าคือต้าไป๋
ในความเป็นจริงคนแรกที่รู้ตัวว่าทุกคนจะออกไปกันหมดคือจูเอ๋อร์ ที่จูเอ๋อร์แย่งเป็นที่หนึ่งไม่ทันเป็นเพราะมันกำลังตามหาของบางอย่างในห้องของมู่เหยียนน้อยอย่างบ้าคลั่ง!
มันเปิดหีบทั้งหมดของมู่เหยียนน้อยดูแล้ว ชุดทุกชุดก็หยิบออกมาหมดแล้ว กระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แล้วในที่สุดหลังจากค้นในหีบที่สาม มันก็เจอสิ่งที่ถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อย ข้างนอกสีดำข้างในสีแดงอย่างเสื้อคลุมตัวน้อย!
มันเอาเสื้อคลุมตัวน้อยขึ้นมาสวม รัดเชือกให้แน่น ถูกระวานสีแดงฉ่ำ เป่าเล็บที่ทาสีลูกกระวานที่ยังไม่แห้ง เชิดหน้ายืดอกเดินยุรยาตรออกไปย่างองอาจและมีเสน่ห์!
ครั้งนี้เป็นเฮ่อหลันชิงที่พาพวกมันขึ้นเขา เฮ่อหลันชิงไม่ได้มีนิสัยทำอะไรอ่อนน้อม รถม้านางยังไม่ทันไปถึง องครักษ์เกราะทมิฬหลายร้อยชีวิตก็ไปล้อมประตูลัทธิศักดิ์สิทธิ์เอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว เสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงลั่นกลอง เสียงตะโกนอย่างน่ายำเกรงของเหล่าทหาร สะเทือนเลื่อนลั่นจนลัทธิศักดิ์สิทธิ์ยังต้องสั่นไหว
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าเหิมเกริมอย่างเปิดเผยในถิ่นฐานของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ แต่เมื่อคิดถึงตอนที่เฮ่อหลันชิงสังหารรานีอสูร นางจะทำเรื่องเช่นนี้ก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าไรนัก
ศิษย์ของลัทธิอสูรกับนักรบมรณะออกมารับศัตรู กู่ร้องพลางพุ่งตัวออกมา
พลธนูกับพลหอกยาวขององครักษ์เกราะทมิฬก้าวเข้าประจำตำแหน่ง ปลายหอกกับปลายธนูที่เย็นยะเยือกเล็งตรงไปยังศิษย์กับนักรบมรณะที่พุ่งออกมาจากประตูใหญ่
เรื่องวรยุทธ์แล้วใครแพ้ใครชนะยังไม่อาจบอกได้ แต่หากเรื่องความยิ่งใหญ่แล้วคงไม่มีผู้ใดเกินองครักษ์เกราะทมิฬของเฮ่อหลันชิงไปได้
ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หันมองหน้ากัน มือที่จับกระชับกระบี่อยู่สั่นเทาเล็กน้อย
เฮ่อหลันชิงขี่ม้าของตน พอด้ามหอกกระแทกพื้น เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬก็พร้อมใจกับก้าวไปข้างหน้า “ลุย!”
ศิษย์ลัทธิมรณะตกใจจนกระบวนทัพเกือบไม่เป็นกระบวนท่า!
ปากแดงฉ่ำของเฮ่อหลันชิงยกขึ้นเป็นองศาสบายๆ “ข้ามาเพื่อประลองตัดสิน ให้คนรับศึกออกมา มิเช่นนั้น วันนี้ข้าจะเหยียบลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าให้จมธรณี!”
“เหยียบให้จมธรณี!”
“เหยียบให้จมธรณี!”
“เหยียบให้จมธรณี!”
องครักษ์เกราะทมิฬตะโกนเสียงลั่นไปถึงฟ้า
ไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์ทางนี้ไปส่งข่าว ยิ่นอ๋องก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทางด้านนอกแล้ว จึงเรียกระดมพลออกมาทันที
ตอนเขาได้เห็นเฮ่อหลันชิงที่นำทัพองครักษ์เกราะทมิฬนับร้อยคนมานั้น ในใจเขารู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างทุบหนักๆ ลงมา
หิมะขาวสุดสายตา ทิวเขาทอดยาวเป็นพันลี้ ในพื้นที่โล่งกว้างเช่นนี้ ตัวเฮ่อหลันชิงเล็กจนไม่รู้จะเล็กอย่างไร แต่กลับสามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งกลายเป็นเพียงฉากประกอบของนางได้
นางไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แค่เพียงนั่งนิ่งๆ อยู่บนหลังม้าก็สามารถส่องประกายไปได้เป็นหมื่นจั้งแล้ว
ส่วนนักรบเกราะทมิฬด้านหลังนางก็มีเพียงร้อยกว่านายเท่านั้น แต่กลับตะโกนก้องได้ราวกับมีทหารนับหมื่นนับพัน
หมัดของยิ่นอ๋องกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“พวกมันยังกล้ากลับมาอีก?” ลูกน้องข้างกายยิ่นอ๋องเอ่ยด้วยความตกใจ
ยิ่นอ๋องเองก็ตกใจยิ่งนัก เดิมทีคิดว่าเกิดเรื่องกับจักรพรรดิอสูร การประลองจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ไฉนเลยจะคิดว่าเฮ่อหลันชิงถึงขั้นไล่สังหารมาถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้
ความสามารถของเฮ่อหลันชิง เขาได้เห็นตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในวังหลวงแล้ว ชั่วขณะที่นางสังหารราชันอสูรตายนั้น เขาก็รู้แล้วว่าสตรีนางนี้แข็งแกร่งจนน่ากลัว เพียงแต่ก็ไม่คิดว่าจะน่าหวาดหวั่นเพียงนี้ กระทั่งจักรพรรดิอสูรก็ถูกนางเล่นงานได้
หากประลองกับนางขึ้นมาจริงๆ…
สายตาของยิ่นอ๋องหรี่ลงเล็กน้อย ประลองกันก็ไม่กลัวหรอก ต่อให้เฮ่อหลันชิงเก่งกาจเพียงใด ก็รักษาการประลองได้เพียงวันเดียวเท่านั้น สองวันหลังจากนี้พวกมันก็คงถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์จับห้อยแล้วโบยตีแล้ว!
ยิ่นอ๋องเก็บรอยยิ้มเยาะเอาไว้ในใจ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จั๋วหม่ารู้กฎการประลองหรือไม่ หากแพ้พวกเจ้าก็ต้องยินยอมให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จัดการ จั๋วหม่าหากต้องการเข้ามาข้องเกี่ยวจริง เช่นนั้นก็เอาชนเผ่าลึกลับมาเดิมพันด้วยเลยสิ”
เฉียวเวยเลิกผ้าม่านขึ้นทันที เจ้าชั่วนี่ ถึงขั้นคิดจะเอาชนเผ่าลึกลับเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเชียวหรือ
เฮ่อหลันชิงเป่าเล็บสีแดงฉ่ำ ระบายยิ้มหวาน “ได้สิ แต่หากข้าเพิ่มเดิมพัน พวกเจ้าก็ควรเพิ่มด้วยเช่นกันจริงหรือไม่ เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ มิสู้เอาเมืองเหนือยอดเมฆนี้มาเดิมพันให้ข้าก็แล้วกัน”
ทุกคนพากันหันไปมองยิ่นอ๋อง เมืองเหนือยอดเมฆเป็นหัวใจสำคัญของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เสียเลือดเสียเนื้อไปหลายร้อยปีกว่าจะได้มาซึ่งความรุ่งเรืองเช่นในวันนี้ จะเอามาเดิมพันเช่นนี้ไม่ได้…
ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ได้ ข้ารับปากเจ้า”
ทั้งสองฝ่ายต่างเพิ่มเดิมพันชิ้นใหญ่ การประลองจึงยิ่งตึงเครียดขึ้น เดิมทีเป็นแค่เพียงความแค้นระหว่างอวิ๋นจูกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เวลานี้กระทั่งชนเผ่าลึกลับก็ถูกลากลงน้ำมาด้วยแล้ว
เฉียวเวยมองมารดาของตนด้วยใจไม่ดี นางยังเป็นจั๋วหม่าน้อยไม่พอเลย อย่าได้แพ้เชียวนะ…
วั่งซูยื่นศีรษะกลมกลึงของนางออกมาจากรถม้า กวาดมองเมืองเหนือยอดเมฆที่เป็นปราสาทอันโอ่อ่า รวมถึงคนและรถม้าที่ผ่านไปมาอย่างคึกคัก นางอิจฉาจนร้องว้าวออกมา
“ชอบหรือไม่” เฮ่อหลันชิงระบายยิ้มถาม
วั่งซูพยักหน้า!
เฮ่อหลันชิงลูบศีรษะหลานสาวด้วยความเอ็นดู “ยายจะชนะเอามาให้เจ้าเอง”
เรื่องการประลองจึงเป็นอันตกลงกันเช่นนี้ เมื่อคืนแท่นบวงสรวงได้รับการซ่อมแซมแล้ว วันนี้จึงยังคงไปที่นั่นเช่นเดิม ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
รถม้าหยุดอยู่ด้านนอกแท่นบวงสรวง เฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนเดินลงมา แม่ชีน้อยทั้งสามก็กระโดดตามกันลงมาเช่นกัน
ยิ่นอ๋องไม่คิดว่าพวกนางจะมาด้วย สีหน้าจึงดูดุดันขึ้นมาทันที
เฮ่อหลันชิงตบไหล่แม่ชีน้อยทั้งสาม ชี้ไปทางยิ่นอ๋องที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น “อาปาของพวกเจ้า”
แม่ชีน้อยทั้งสามพอได้เห็นอาปา ก็พาเอาขาสั้นๆ วิ่งฉิวเข้าไปหาทันที
ยิ่นอ๋องไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฮ่อหลันชิงถึงเกิดมีเมตตาขึ้นมา ปล่อยตัวบุตรสาวทั้งสามกลับมาให้เขา เขาย่อตัวลง มองฟันของบุตรสาว แล้วมองลิ้นกับเล็บมือของบุตรสาว เมื่อมั่นใจว่าเฮ่อหลันชิงไม่ได้วางยาพิษพวกนาง ถึงได้เดินนำทั้งสามขึ้นอัฒจันทร์ไป
ยกเมื่อวานนับว่าเป็นโมฆะ ไม่มีคนลงสนาม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผลแพ้ชนะ วันนี้เพิ่งเป็นยกที่สามของจริง
กฎการประลองยังคงเดิม ฝ่ายใดสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้สามคนก่อน ก็จะได้รับชัยชนะของวันนั้นไป
ส่วนเกณฑ์ในการวัดผลแพ้ชนะ มีเพียงแค่สองข้อ หนึ่งคืออีกฝ่ายถูกบีบจนตกแท่นบวงสรวงไป สองคือทำให้อีกฝ่ายล้มโดยที่นับสิบแล้วยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
เฮ่อหลันชิงในเมื่อมาแล้ว คิดว่าคงมาออกโรงแน่ หากนางลงสนาม คงไม่มีใครเอาชนะนางได้ ยิ่นอ๋องไม่อยากเสียกำลังสำคัญไปกับนางมากเกินไป จึงส่งองครักษ์ดาบยาวคนหนึ่งลงสนาม
เฉียวเวยหรี่ตา “ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก รู้ว่าเอาชนะแม่ข้าไม่ได้ก็หาใครสักคนมาแพ้ในยกนี้”
มุมปากเฮ่อหลันชิงปรากฏรอยยิ้มเยาะ ยิ่นอ๋องถูกรอยยิ้มของนางเล่นเอาหัวใจเต้นสะดุด ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น
“ดูแล้ว ใครออกมาทำศึกก็ได้ทั้งนั้นหรือ” เฮ่อหลันชิงถาม
ยิ่นอ๋องบอกว่า “ขอเพียงเป็นคนที่ยังไม่เคยประลองมาก่อนก็ได้ทั้งสิ้น”
เฮ่อหลันชิงรองอ้อคำหนึ่งแล้วตบไหล่จิ่งอวิ๋น “เจ้าไป”
จิ่งอวิ๋น “?!”
เฉียวเวย “…”
เฉียวเวยหันมองเจ้าเด็กอ้วน แล้วนึกสงสัยอย่างรุนแรงว่าท่านแม่ของนางตบไหล่คนผิดแล้ว
แต่จังหวะต่อมา เฮ่อหลันชิงก็ใช้วิชาตัวเบาส่งจิ่งอวิ๋นขึ้นแท่นประลองไป
จิ่งอวิ๋นงงงวยอย่างหนัก!
คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อึ้งงันกันไป จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆๆๆๆ ออกมา
ส่งเด็กออกมาประลอง? นี่กำลังเล่นขายของหรือ
แต่ไม่นาน พวกเขาก็หัวเราะไม่ออก
เพราะจังหวะที่จิ่งอวิ๋น “กระโดด” ลงไปนั้น แม่ชีน้อยทั้งสามก็กระโดดตุบตับๆ กันลงมาตาม
พวกนางไม่รู้เลยว่าอยู่สูงขนาดนี้จะกระโดดลงไปไม่ได้ กว่ายิ่นอ๋องจะรู้ตัว เด็กน้อยทั้งสามก็ตามกันตกลงไปกระแทกพื้นแท่นบวงสรวงกันหมด
พื้นถูกกระแทกจนเป็นหลุมสามหลุม…
แม่ชีน้อยทั้งสามปีนขึ้นมาจากหลุม แล้วกรูกันเข้าไปหาจิ่งอวิ๋นจนล้มลง!
เหงื่อเย็นๆ ของยิ่นอ๋องแตกพลั่ก พอได้เห็นภาพนั้นถึงได้รู้ว่าตนตกใจไปเอง จึงถอนหายใจยาวออกมา
เขาหันไปมองเฉียวเวยกับเฮ่อหลันชิง เอ่ยด้วยความอหังกาและได้ใจว่า “นี่พวกเจ้ารนหาที่กันเองนะ เวลานี้พวกเจ้าอย่าไม่ยอม…”
คำว่า “รับ” ของเขายังไม่ทันพูดออก ก็ได้ยินจิ่งอวิ๋นที่ถูกทับจนหายใจไม่ออก ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพูดออกมาทั้งหน้าแดงก่ำว่า “พวกเจ้า… พวกเจ้านอนลง ข้าจะหอมแก้มทีละคน!”
แม่ชีน้อยทั้งสามลงนอนกันฟึ่บฟั่บทันที!
ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งรีบเข้าไปดึงพวกนาง แต่จะดึงขึ้นได้หรือ ใช้จอบมาขุดยังไม่ขึ้นเลย!
ยิ่นอ๋องโกรธแทบเป็นแทบตาย
เฉียวเวยกระตุกมุมปาก เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเห็นขันว่า “หนึ่งคนสู้สามคน ยิ่นอ๋อง วันนี้พวกเราชนะแล้ว”
เสียงลั่นกลองดังขึ้น การประลองสิ้นสุดลง จิ่งอวิ๋นเดินลงจากแท่นบวงสรวง
แม่ชีน้อยทั้งสามตามเขาลงมาด้วย ยืนเรียงแถวกันด้านนอกแท่นบวงสรวง รอให้เขาเข้ามาหอมแก้ม
ยิ่นอ๋องอยากจะกระอักเลือด
ล้วนบอกกันว่าบุตรสาวเมื่อโตรั้งตัวไว้ได้ยาก แต่พวกนางยังตัวเพียงเท่านี้ เหตุใดถึงรั้งตัวไว้ไม่ได้แล้วเล่า!
แม่ชีน้อยที่ได้รับการหอมแก้มดีใจกันยิ่งนัก กลับไปอยู่ข้างกายอาปา แล้วยังหอมแก้มอาปาอีกด้วย
ยิ่นอ๋อง “…”
ในที่สุดยิ่นอ๋องก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดเฮ่อหลันชิงถึงได้ส่งตัวบุตรสาวมาให้ตนอย่างง่ายดายเช่นนี้ ยังคิดว่านางเป็นคนดึกดำบรรพ์ที่คิดอะไรไม่ซับซ้อนและมีแขนขาที่พัฒนาเต็มที่แล้วเสียอีก ตนประเมินนางต่ำเกินไปแล้วจริงๆ!
แต่ตนมาเข้าใจเอาเวลานี้จะมีประโยชน์อะไร เขาถูกขุดหลุมดักจนไปไม่เป็นแล้ว
ยิ่นอ๋องไม่อยากยอมแพ้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากเพียงนี้ คิดจะไม่ยอมแพ้คงเป็นไปไม่ได้ แต่จะให้ยอมแพ้แต่โดยดีจิตใจก็ไม่นึกยอม
เฮ่อหลันชิงกระซิบบางอย่างที่ข้างหูบุตรสาว เฉียวเวยพยักหน้า ระบายยิ้มเล็กน้อย เดินลงจากอัฒจันทร์ เดินขึ้นบนแท่นบวงสรวง มองยิ่นอ๋องที่อยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งใต้แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอม เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้โอกาสแก้ตัวครั้งหนึ่ง เจ้ากล้าพอที่จะสู้กับพวกเราตัวต่อตัวสักยกหรือไม่ หากเจ้าชนะ การประลองในวันนี้จะถือว่าพวกเจ้าได้ไป แต่หากเจ้าแพ้ ผลการประลองเมื่อครู่ก็ต้องยอมรับไปแต่โดยดี”
ยิ่นอ๋องถามว่า “สู้ตัวต่อตัว? กับแม่ของเจ้า?”
เฉียวเวยเชิดคางขึ้น “วันนี้แม่ข้าจะไม่ลงสนาม”
ยิ่นอ๋องเคยสู้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตามกฎแล้วเขาไม่อาจร่วมการประลองได้อีก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ว่าอะไร เช่นนั้นยิ่นอ๋องก็ไม่มีอะไรให้ต้องบ่ายเบี่ยง เขากวาดตามองฝั่งตรงข้ามทีละคน นอกจากเฮ่อหลันชิงแล้วไม่มีใครที่ทำให้เขาหวั่นเกรงได้อีก
ยิ่นอ๋องเดินขึ้นแท่นบวงสรวงช้าๆ “เฉียวซื่อ เจ้ามาสู้กับข้า หากแพ้อย่ามาร้องขอความเห็นใจ ต่อให้ข้ารักชอบเจ้าเพียงใด แต่เมื่ออยู่บนสนามประลอง ก็จะไม่มีอ่อนข้อให้เจ้าเด็ดขาด”
เฉียวเวยมองเขาด้วยความขบขัน “ใครบอกว่าเจ้าจะสู้กับข้ากันเล่า”
ยิ่นอ๋องตะลึงค้าง
เฉียวเวยเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ไม่ไกลก็มีเสียงอึกทึกดังตึง ตึง ตึง ตึงลอยมา
ทุกครั้งที่เกิดเสียง แผ่นดินเป็นต้องสั่นไหวตาม
เสียงตึงๆๆๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนสั่นสะเทือนจนล้มหงายระเนระนาดกันไปหมด!
“พ่อ… ของ… ลูก… จ๋า… ข้า… มา… แล้ว…”
แก้วหูของศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์สั่นสะเทือนจนจะแตกอยู่แล้ว พอมองตามเสียงไป ก็เห็นสตรีผู้องอาจร่างกายกำยำ หลังหนาเอวใหญ่ สวมใส่อาภรณ์ขนสัตว์ สวมรองเท้าหนักสัตว์ ไว้ผมยาวสยายก้าวมาทางแท่นบวงสรวงด้วยฝีเท้าที่หนักแน่น ก่อนจะโผเข้าหาเจ้าสำนักน้อยของพวกเขาจนหงายหลังไป!