หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 54 อานุภาพของถั่วเคลือบน้ำตาล
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 54 อานุภาพของถั่วเคลือบน้ำตาล
ตอนที่ 54 อานุภาพของถั่วเคลือบน้ำตาล
จักรพรรดิอสูรได้ยินเสียงกรอบกรุบกรับๆ ก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
บุรุษผู้นั้นตั้งสมาธิ สูดหายใจช้าๆ ทีหนึ่ง แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงมีเมตตาต่อไป “เจ้าขาดอีกเพียงก้าวเดียวแล้ว อีกไม่นานเจ้าก็จะได้…”
กรุบกรับ!
“ได้กลับบ้านแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้า…”
กรุบกรับ!
บุรุษผู้นั้นสูดหายใจลึกๆ อีกทีหนึ่ง ปัดความคิดอื่นในหัวออกไป “เจ้าก็จะได้อยู่กับถั่วเคลือบน้ำตาลของเจ้าแล้ว…”
พอพูดจบบุรุษผู้นั้นก็พลันตัวแข็ง นี่เขาพูดอะไรออกไป!
เสียงกรุบกรับจากเดิมที่ดังอยู่หน้าประตู ค่อยๆ กระเถิบมาอยู่ที่ข้างหู แม่ชีน้อยทั้งสามมาอยู่ข้างกายทั้งสองแล้ว ตามองพวกเขาพลางเคี้ยวกรุบกรับๆ ไปด้วย
โลกทั้งใบเหลือแค่เสียงกรุบกรับๆ แล้ว ในใจบุรุษผู้นั้นเกิดความรู้สึกหงุดหงิดคุกรุ่น มองแม่ชีน้อยทั้งสามด้วยความรำคาญ
แม่ชีน้อยมองเขาด้วยความงงงวย หลังจากอึ้งไปพักหนึ่งก็ใช้มือที่เต็มไปด้วยน้ำลายกับน้ำมันและเศษน้ำตาล หยิบถั่วเคลือบน้ำตาลเม็ดหนึ่งจากถุงผ้ามายื่นให้ที่ปากบุรุษผู้นั้น
บุรุษผู้นั้น “…”
แน่นอนว่าบุรุษผู้นั้นไม่ได้กิน จะพูดอะไรต่อก็พูดไม่ออก เขาลุกยืนขึ้นอย่างเยือกเย็น มองแม่ชีน้อยทั้งสามแล้วสะบัดแขนเสื้อก้าวขาเดินออกจากห้องไป
เขาเดินไปไม่กี่ก้าว ในห้องด้านหลังก็มีเสียงกรุบกรับๆ ดังระงม สีหน้าเขาพลันบึ้งตึง เร่งฝีเท้าเดินไปจากตรงนั้นทันที
…
หลังจากยิ่นอ๋องยื่นข้อตกลงขอพักการประลองชั่วคราวเสร็จ เขาก็ขึ้นรถม้ากลับเมืองเหนือยอดเมฆทันที
เมืองเหนือยอดเมฆในเวลานั้นเป็นช่วงพระอาทิตย์ตก ทุกอย่างดูสงบและเป็นระเบียบ ยิ่นอ๋องเลิกผ้าม่านขึ้น มองเมืองที่กำลังจะตกเป็นของตนแห่งนี้ ความขุ่นมัวที่ติดอยู่ในใจมาตลอดทั้งวันก็ค่อยๆ มลายหายไป
ตอนรถม้าไปถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แสงสุดท้ายตรงขอบฟ้ากำลังจะลับหายไปแล้ว พระจันทร์เสี้ยวลอยขึ้นมาได้ครึ่งทาง ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงคล้ายอยู่ใต้ผ้าโปร่งสีเงิน ยามที่เหยียบย่างไปบนทางเดินเล็กๆ จนแสนสงบ จึงคล้ายรับรู้ได้ถึงวันเวลาที่เดินผ่านไป
สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยพลังอำนาจแห่งนี้ ต่อไปจะตกเป็นของเขา โ
ยิ่นอ๋องปลอบใจตนเองเสร็จก็อารมณ์ปรอดโปร่งจนแทบจะบินได้
ยิ่นอ๋องกลับไปถึงที่พักของตน ยังไม่ทันเข้าประตูก็ได้ยินเสียงกรนดังกึกก้อง มุมปากยิ่นอ๋องถึงกับกระตุก ภาพฝันในใจที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาพลันพังทลายคล้ายสิ่งปลูกสร้างที่พังครืน
หน้าเขาพลันบูดบึ้ง ลอบกัดฟันกรอด ไม่กลับไปยังห้องของตนแต่หมุนตัวเดินไปทางห้องหนังสือแทน
เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือพักหนึ่ง พอไม่ได้ยินเสียงแม่ชีน้อยทั้งสามจึงเรียกลูกศิษย์ให้เข้ามาแล้วถามว่าบุตรสาวทั้งสามของตนอยู่ที่ใด
ลูกศิษย์เองก็ไม่รู้ เดิมทีทั้งสองกระโดดโลดเต้นกันอยู่ตรงบันได แต่พอไม่ทันดูเพียงแวบเดียวก็หายตัวหันไปหมด แน่นอนว่าพวกเขาส่งคนออกไปตามหาแล้ว คิดว่าพวกนางเป็นเด็ก อย่างไรก็คงไปไหนกันไม่ไกลนัก
ไปไหนกันไม่ไกลนัก?
เจ้าเด็กพวกนั้นตอนอยู่ที่จวนยิ่นอ๋องยังหายกันไปได้เป็นวันๆ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ใหญ่กว่าจวนอ๋องไม่รู้ตั้งเท่าไร เช่นนี้จะไม่หายกันไปหลายวันเลยหรือ
ยิ่นอ๋องพลันรู้สึกว่าชีวิตจะเล่นตลกกับตนอีกแล้ว เขากุมศีรษะที่พองโตของตน เรียกลูกศิษย์ข้างกายทุกคนมาช่วยกันตามหาเจ้าเด็กพวกนั้น ตัวเขาเองก็นั่งไม่ติด ไปออกตามหาด้วยเช่นกัน
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเป็นคนหาเจอจริงๆ เสียด้วย
เขาไปเจอบุตรสาวทั้งสามที่หน้าห้องศิลาเล็กๆ ที่ถูกทิ้งร้าง ฟ้ามืดมากแล้ว ศีรษะกลมกิ๊กทั้งสามอันคล้ายไข่มุกราตรีที่ส่องประกายได้ จะมองไม่เห็นก็ยังยาก
ยิ่นอ๋องก้าวยาวๆ เข้าไปหา จึงเห็นว่าแม่ชีน้อยทั้งสามถูกยอดฝีมือลัทธิศักดิ์สิทธิ์หลายคน “คุ้มกัน” กลับมาส่งด้วยกันจับขังไว้ในกรงบนรถเข็น
พอเห็นเช่นนั้นยิ่นอ๋องก็พลันเดือดดาล ก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าดุดัน ซัดยอดฝีมือที่เข็นรถอยู่คนหนึ่งจนกระเด็นออกไปทันที
“อาปา”
“อาปา”
“อาปา”
แม่ชีน้อยทั้งสามมือจับลูกกรงแล้วร้องเรียกอาปาๆ กันขึ้นมา
ยิ่นอ๋องมองสำรวจทั้งสาม ก่อนจะหันไปถามศิษย์สามคนด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “ใครกันช่างบังอาจให้พวกเจ้าจับบุตรสาวของข้ามาไว้เช่นนี้”
ศิษย์ทั้งสามหันมองหน้ากัน ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าทำความเคารพแล้วเอ่ยอย่างมีมารยาทว่า “เรียนเจ้าสำนักน้อย ศิษย์เองก็ได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักให้พาตัวคุณหนูทั้งสามไปใคร่ครวญความผิดที่ผาสำนักผิดขอรับ”
ยิ่นอ๋องได้ยินว่าผาสำนักผิดก็พลันแผ่ไอดุดันออกมาทั่วตัวทันที
ผาสำนึกผิดหาใช่หน้าผาตามชื่อจริงๆ แต่เป็นห้องมืดเล็กๆ ที่สร้างอยู่กลางเขา ที่นั่นตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ตามปกติต้องเป็นลูกศิษย์ที่กระทำผิดใหญ่หลวงเท่านั้นถึงจะถูกตรงไปใคร่ครวญความผิดของตนที่นั่น แต่ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่หยิ่งผยองหรือใจกล้าเพียงใด เมื่อถูกขังอยู่ที่นั้นสามวันห้าวันแล้ว กลับออกมาเป็นต้องเชื่อฟังนอบน้อม ไม่กล้ากระทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง
แต่นี่ทั้งๆ ที่เป็นเพียงเด็กน้อยสามคนเท่านั้น จะส่งไปอยู่ยังสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร!
ยิ่นอ๋องย่อมไม่อาจเกรี้ยวกราดต่อคำสั่งของเจ้าสำนักได้ เขาหันไปเอ่ยกับศิษย์เหล่านั้นว่า “พวกเจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ พวกนางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเจ้าสำนัก เจ้าสำนักจะสั่งลงโทษพวกนางเช่นนั้นได้อย่างไร”
ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าระบายยิ้ม เอ่ยด้วยสีหน้ายินดีว่า “เพราะเจ้าสำนักเห็นแก่พวกนาง จะกระทำตนไร้กฎเกณฑ์ไม่ได้ คุณหนูทั้งหลายถึงวัยที่จะต้องเรียนรู้เรื่องกฎระเบียบได้แล้ว กฎระเบียบเหล่านี้เรียนถ้ามิสู้เรียนเร็ว หากเรียนรู้ไว้แต่เนิ่นๆ วันหน้าจะได้ไม่หลงผิดอีก” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงดุ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าสำนักจะให้ทำเช่นนี้ ต้องเป็นพวกเจ้าที่ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ คิดอยากเล่นงานข้าเป็นแน่!”
ศิษย์คนที่เป็นหัวหน้าค้อมกายเอ่ยว่า “เจ้าสำนักน้อยโปรดไตร่ตรองด้วย!”
ยิ่นอ๋องไม่สนใจพวกเขา ยื่นมือออกไปเรียบๆ “เอากุญแจมา”
ศิษย์ที่เป็นหัวหน้า “ข้าน้อยมิอาจ”
สายตายิ่นอ๋องพลันเยือกเย็น ยกขาถีบศิษย์ผู้นั้นจนหงายหลังลงกับพื้น ซ้ำยังเหยียบหน้าอกเขา กดสายตาลงเอ่ยว่า “ข้าพูดอะไรเจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วใช่หรือไม่ ข้าสั่งให้เจ้าเอากุญแจมาให้ข้า!”
ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าข่มความเจ็บปวด เอ่ยอย่างยากลำบากว่า “ต่อให้นายน้อยสังหารข้า ข้าก็มิอาจให้ท่านได้”
“เช่นนั้นหรือ” ยิ่นอ๋องชักกระบี่จากศิษย์อีกคนหนึ่งมาจ่อที่คอศิษย์ผู้นั้นทันที “จะให้หรือไม่ให้”
ศิษย์ที่เป็นหัวหน้ากัดฟัน “…ไม่ให้”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไม่กลัวจริงๆ หรือ ข้าเป็นบุตรชายในอุทรของเจ้าสำนัก จะสังหารศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังสักคน คิดดูแล้วเจ้าสำนักคงไม่ถือสา เจ้าไตร่ตรองให้ดีว่าจะเชื่อฟังข้าหรือไม่”
ศิษย์ที่เป็นหัวหน้ามองยิ่นอ๋องด้วยความดื้อดึง
ยิ่นอ๋องเงื้อกระบี่ขึ้น หมุนตัวสับแม่กุญแจของกรงจนหัก
แม่ชีน้อยทั้งสามผลักประตูกรงออก แล้วมุดออกมาทีละคน
บุตรคนกลางปีนขึ้นไปอยู่บนตัวยิ่นอ๋อง ส่วนคนโตกับคนเล็กเกาะอยู่ที่ขา
ยิ่นอ๋องมองข้อมือทั้งสาม จึงเห็นว่าตรงข้อมือพวกนางถูกศิษย์เหล่านี้จับจนแดงไปหมด เขาอารมณ์เดือดพล่าน หันกลับไปจัดการซ้อมศิษย์เหล่านั้นจนอ่วม จากนั้นก็จูงมือคนโตกับคนเล็กเดินกลับเรือนไป
คนกลางห้อยต่องแต่งอยู่บนตัวบิดาไม่ยอมเดินเอง ไม่เท่าไรคนโตกับคนเล็กก็ไม่ยอมเดินบ้าง ปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนตัวบิดาไม่ยอมลงมา
เขาดึงคนหนึ่งลง อีกคนก็ขึ้นมาเกาะ สุดท้ายพอจับตัวบุตรทั้งสามลงมาได้ ทั้งสามก็ยกเท้าวิ่งหนีกันไปเล่นที่อื่นทันที
คนหนึ่งไปที่สวนดอกไม้ คนหนึ่งไปที่ทะเลสาบ ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เล่นกลิ้งอยู่ตรงบันได
นั่นเป็นบันไดสูงหลายสิบฉื่อเชียวนะ กลิ้งลงไปยังจะรอดอยู่หรือ!
ยิ่นอ๋องรีบไปคว้าตัวบุตรคนนั้นไว้ แต่อีกสองคนก็วิ่งหายกันไปไกลอีกแล้ว
ยิ่นอ๋องทำได้เพียงตามไปจับตัวกลับมา ไล่จับจนเหงื่อแตกเหงื่อแตนไปหมด กว่าจะจับแม่ชีน้อยทั้งสามและพาตัวกลับเรือนไปได้ พอกลับไปยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูเรือน ก็ถูกหญิงรับใช้หน้าตางดงามคนหนึ่งเข้ามาขวางเอาไว้
หญิงรับใช้ผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็คือคนที่มาบอกให้เขาไปพบอวิ๋นซู่นั่นเอง นางถือว่าเป็นคนสนิทคนหนึ่งของอวิ๋นซู่ เพียงแต่นางไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับธุระภายในลัทธิ รับผิดชอบเพียงเรื่องอาหารการกินอยู่ของอวิ๋นซู่
ยิ่นอ๋องพอเห็นนาง ในใจก็พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะอมยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าสำนักน้อยหลายวันนี้มีธุระปะปังมาก เกรงว่าจะไม่มีเวลาดูแลคุณหนูทั้งหลาย ให้ข้าเป็นผู้ดูแลพวกนางสักสองสามวันก็แล้วกัน เจ้าสำนักน้อยกับฮูหยินน้อยหากคิดถึงพวกนาง สามารถมาเยี่ยมพวกนางได้ตลอดเวลา ข้าจะจัดหาอาจารย์ที่ดีที่สุดมาแนะแนวการเรียนให้กับพวกนางเอง”
แม่ชีน้อยทั้งสามที่วิ่งเล่นกันจนเหงื่อเต็มตัวเงยหน้าขึ้นมามองอาปาของตนกันตาแป๋ว
สีหน้ายิ่นอ๋องมีแววซับซ้อน “พวกนางซุกซนกันเกินไป ข้าเกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเจ้าสำนักเอาได้”
หญิงรับใช้ยิ้มน้อยๆ “ข้าจะดูแลพวกนางอย่างดีเอง”
พูดจบนางก็ย่อตัวลง หยิบลูกกวาดส่องประกายแวววาวออกมาจากห่อผ้า
แม่ชีน้อยทั้งสามเดินน้ำลายไหลกันเข้าไปหา
หญิงรับใช้ลูบศีรษะเด็กทั้งสามแล้วจัดการแบ่งให้ทุกคน จากนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้ยิ่นอ๋องทีหนึ่ง แล้วพาแม่ชีน้อยทั้งสามไปกับตน
ยิ่นอ๋องมองพวกนางที่ค่อยๆ เดินหายไปท่ามกลางความมืดมิดแล้วได้แต่กำมือแน่น