หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 56-1 เจ้าเด็กอ้วนมาแล้ว (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 56-1 เจ้าเด็กอ้วนมาแล้ว (1)
ตอนที่ 56-1 เจ้าเด็กอ้วนมาแล้ว (1)
เรื่องที่อวิ๋นซู่กระอักเลือดกระจายไปในหมู่ชนชั้นสูงของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว ที่กระจายในหมู่ชนชั้นสูงก็เพราะวันนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ผู้สืบทอดของเจ้าสำนักคนเก่าจะมาท้าประลองกัน ในช่วงเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษา “ขวัญกำลังใจ” ทหารอีกแล้ว ดังนั้นสำหรับลูกศิษย์ระดับล่างแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับวันธรรมดาวันหนึ่ง
คนแรกที่มาถึงคือยิ่นอ๋อง ข่าวที่เขาได้รับไม่ใช่เรื่องที่อวิ๋นซู่กระอักเลือด แต่เป็นว่าอวิ๋นซู่กินอาหารเสาะท้องลงไป
หากเอ่ยเรื่องประสาบการณ์การกินอาหารเสาะท้อง ตัวเขานั้นผ่านมานักต่อนักแล้ว
สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวเขาคือ คงไม่ใช่ว่าบุตรทั้งสามของตนไปคว้าเอาดินเอาโคลนอะไรมาโยนใส่กระทะอีกแล้วกระมัง
ตอนอยู่จวนอ๋องจะเล่นสนุกก็แล้วไปเถิด แต่ด้วยนิสัยของอวิ๋นซู่เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางผ่อนปรนแน่ ยิ่นอ๋องไม่แม้กระทั่งจะทำธุระส่วนตัว ยกเท้าได้ก็รีบวิ่งมาทันที
เพราะรู้ว่าเขาจะมา หญิงรับใช้จึงเอาอาหารไปวางรอไว้ในห้องแม่ชีน้อยทั้งสามแล้ว ทั้งสามกำลังนั่งเตะขาอยู่บนเก้าอี้ งับน่องไก่กันอย่างเอร็ดอร่อย
ยิ่นอ๋องมองน่องไก่ที่ส่งควันฉุยก็คิดในใจว่านี่กี่โมงกี่ยามกันแล้ว คงไม่ใช่ว่าเพิ่งให้กินข้าวกันเวลานี้หรอกกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้ สายตาของยิ่นอ๋องก็พลันครึ้มลง
“อาปา”
แม่ชีน้อยทั้งสามพอเห็นก็กระโดดลงจากเก้าอี้ เอาน่องไก่ที่กัดจนดูเหวอะหวะยื่นมาให้เขากิน “อาปา”
ยิ่นอ๋องมองน่องไก่ที่ดูไม่น่ากินสักนิดแล้วกระตุกมุมปาก “อาปาไม่กิน”
แม่ชีน้อยทั้งสามวิ่งตุบตับกันกลับไปที่เก้าอี้แล้วตั้งใจกินกันต่อ
ยิ่งพวกนางกินกันเอร็ดอร่อยเท่าไร ยิ่นอ๋องก็ยิ่งคิดไปไกล พอดีว่าในเวลานั้นสาวใช้เด็กตักน้ำกาละมังหนึ่งไปที่ห้องอวิ๋นซู่แล้วเดินผ่านมาทางนี้พอดี ยิ่นอ๋องเลยเรียกตัวนางไว้
สาวใช้เด็กทำความเคารพ “เจ้าสำนักน้อย”
ยิ่นอ๋องใช้ภาษาเยี่ยหลัวที่คล่องแคล่วประมาณหนึ่งเอ่ยว่า “พวกนางเพิ่งกินอาหารกันเวลานี้หรือ”
สาวใช้เด็กก้มหน้างุด อยากจะโกหกบอกว่าไม่ใช่ แต่ให้ตายอย่างไรก็พูดไม่ออก
ยิ่นอ๋องเลยหน้าบูดบึ้งไปทันที
เจ้าเด็กสามคนนี่กินตรงเวลายังกินกันไม่รู้จักอิ่ม นี่ถึงขั้นให้พวกนางหิ้วท้องเลยหรือ!
“ท่านยิ่นอ๋อง เชิญทางนี้” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ตรงหน้าห้องของอวิ๋นซู่ มีเสียงหญิงรับใช้ดังมา
สาวใช้รีบยกน้ำอุ่นเข้าไปในห้องอวิ๋นซู่
ยิ่นอ๋องตั้งสติ เก็บสีหน้าบูดบึ้งแล้วเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อาการของอวิ๋นซู่ไม่สู้ดีนัก พูดให้ชัดก็คือ ไม่ดีเอามากๆ จุดตันเถียนของเขาถูกทำลายอย่างหนัก ปวดไปทั้งตัวจนตัวบิดตัวงอ ฝ่ามือและตรงหว่างคิ้วมีไอสีดำลอยขึ้นมาเป็นวง
ยิ่นอ๋องไม่เคยเจอคนมีอาการเช่นนี้มาก่อน มองไม่ออกว่าไอสีดำนั้นคืออะไร แต่อาจารย์ยาที่ปรุงยาให้จักรพรรดิอสูรมองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือสัญญาณของธาตุไฟเข้าแทรก
คนฝึกวรยุทธ์ สิ่งที่ฝึกคือการเดินลมปราณ แต่เมื่อใดที่ธาตุไฟเข้าแทรก ลมปราณร้ายเข้าร่างแล้ว ลมปราณดีก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ายไอปีศาจ
และนี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย!
หญิงรับใช้กับสาวใช้ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง
อาจารย์ยาตรวจชีพจรให้อวิ๋นซู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ เหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาไม่หยุดจนหลังเปียกชุ่มไปหมด
ไม่เท่าไร แม่เฒ่า ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเย่ว์หวาที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็มาถึงด้วยหน้าตาที่ดูร้อนใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” คนที่เอ่ยถามคือเย่ว์หวา
ถึงเขาจะแขนขาดขาขาดไปแล้ว ซ้ำยังแช่อยู่ในน้ำแข็งไปรอบหนึ่งจนบาดเจ็บไปถึงแกนร่างกาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นท่านประมุขของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พอเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นเขาไม่มีทางไม่รีบมา
เขาได้รับข่าวเดียวกับยิ่นอ๋อง บอกว่าอวิ๋นซู่กินอะไรเสาะท้องเข้าไป เพียงแตยิ่นอ๋องเพิ่งมาใหม่ ยังไม่รู้ธรรมเนียมของที่นี่ ส่วนเย่ว์หวาเห็นอวิ๋นซู่มาตั้งแต่เล็ก จะไม่รู้เชียวหรือว่า “กินของเสาะท้อง” นั้นหมายความเช่นไร
หากแค่ท้องไม่ดีจริงๆ ไม่มีทางไปเรียกตัวเขามาทั้งดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้
อาจารย์ยาถึงกับปาดเหงื่อ ไม่รู้ว่าควรตอบคำถามของประมุขเย่ว์หวาอย่างไร
แม่เฒ่าถือไม้เท้าเดินเข้ามา ถึงนางจะเป็นเพียงผู้พิทักษ์ แต่นางกับเย่ว์หวาอาวุโสเท่ากัน ทั้งยังคอยคุ้มกันเกาะอิ๋นหู ฐานะของนางจึงไม่ด้อยไปกว่าท่านประมุข
พอนางมาถึง หญิงรับใช้กับสาวใช้ก็หลีกทางให้แต่โดยดี
แม่เฒ่าพอจับชีพจรให้อวิ๋นซู่ สีหน้าก็พลันดูหนักอึ้งขึ้นมาทันที “ในตัวเจ้าสำนักเหตุใดถึงมีพิษอยู่มากมายเพียงนี้”
อาจารย์ยาถึงกับขาอ่อน บอกตามตรง เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เขาใส่ลงไปเพียงหนึ่งในสิบส่วนของช้อน ปริมาณนี้อย่างไรก็ปลอดภัย…
“อาจารย์ยา” แม่เฒ่าหันมามองเขานิ่งๆ
อาจารย์ยาปาดเหงื่อเย็นๆ ตรงหน้าผากแล้วเอ่ยกับแม่เฒ่าว่า “เรียนผู้พิทักษ์เหลียน ปริมาณยาที่ข้าใส่ให้เจ้าสำนักเท่ากับครั้งก่อนหน้า เดิมข้าคิดว่าเม็ดยาพิษในตัวจักรพรรดิอสูรน่าจะมีฤทธิ์รุนแรงกว่าเม็ดยาพิษในตัวราชันอสูร แต่ข้าก็กลัวว่าร่างกายของเจ้าสำนักจะรับไม่ไหว ดังนั้นถึงได้ใช้ปริมาณเท่ากับครั้งที่แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักเป็นอะไร จู่ๆ ถึงได้…”
ถึงได้ทนพิษเพียงเท่านี้ไม่ไหว
คำพูดเช่นนี้แฝงความนัยว่าเจ้าสำนักไร้ความสามารถอยู่ด้วย อาจารย์ยาไม่กล้าพูดออกไปจริงๆ
ยิ่นอ๋องเหลือบมองอวิ๋นซู่ที่อยู่ในอาการรวดร้าว นี่เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเขา แต่กลับไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกเช่นที่ตนคิดไว้
“เจ้าสำนักน้อย” แม่เฒ่าหันไปมองยิ่นอ๋อง “เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นเช่นไรหรือไม่”
หากอวิ๋นซู่ยังได้สติ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องฟังคำพูดเขา แต่ในเมื่ออวิ๋นซู่ล้มป่วย เช่นนั้นความรับผิดชอบในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องตกไปอยู่ที่ตัวบุตรชายคนโตอย่างหลี่ยิ่น หรือจะให้พาองค์ชายสามที่วันๆ เอาแต่กินๆ นอนๆ มารับมือสถานการณ์ใหญ่เช่นนี้?
ยิ่นอ๋องทำหน้าจริงจัง ถามอย่างเคร่งขรึมว่า “แท้จริงแล้วปัญหาอยู่ที่ปริมาณยาหรืออยู่ที่ร่างกายของเจ้าสำนักกันแน่ หวังว่าผู้พิทักษ์เหลียนกับประมุขเย่ว์หวาจะสืบให้รู้แต่ชัด”
เย่ว์หวาให้ลูกศิษย์เข็นรถเข็นไปตรงหน้าเตียง
คนฝีกวรยุทธ์ไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่พอมีฝีมือการแพทย์ ล้วนมีการรับรู้ต่อลมปราณที่แม่นยำยิ่งนัก
หลังจากเย่ว์หวาสำรวจจุดตันเถียนของอวิ๋นซู่แล้วเขาก็คิดอย่างแม่เฒ่า มั่นใจมากว่าอวิ๋นซู่ได้รับปริมาณยาพิษมากเกินไป
อาจารย์ยารีบปฏิเสธด้วยความหวาดกลัวว่า “เจ้าสำนักน้อยโปรดไตร่ตรองด้วย! ข้าไม่ได้ใส่มากเกินไปเลย! ไม่เลยจริงๆ! ข้าไม่มีทางวางยาพิษทำร้ายเจ้าสำนักแน่! ข้าจงรักภักดีต่อเจ้าสำนักเป็นที่สุด! เจ้าสำนักน้อยต้องเชื่อข้านะขอรับ…”
ยิ่นอ๋องฟังจนแก้วหูแทบแตก เขาโบกมือบอกว่า “ลากออกไป โบยสักร้อยไม้ก่อน ดูสิว่าจะสารภาพหรือไม่”
หนึ่งร้อยไม้? อาจารย์ยาหาใช่นับรบมรณะ เขา “เนื้อหนังอ่อนนุ่ม” กระทั่งวรยุทธ์ก็ยังไม่มี อย่าว่าแต่หนึ่งร้อยไม้เลย ยี่สิบไม้ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้แล้ว
เขาคร่ำครวญขอร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย “เจ้าสำนักน้อยไว้ชีวิตด้วย… เจ้าสำนักน้อยไว้ชีวิตด้วย…”
“เจ้าสำนักน้อยท่านจะโบยให้ข้าสารภาพไม่ได้นะ….”
“เจ้าสำนักน้อยท่านทำแบบนี้…อึก…” โ
อาจารย์ยาถูกอุดปากเสียแล้ว ก่อนจะมีศิษย์ที่ร่างกายกำยำแข็งแรงมาลากตัวออกไป
ภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง
หญิงรับใช้กับสาวใช้หันมองหน้ากันก่อนจะถอยออกไปอย่างรู้งาน
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้กับเจ้าสำนัก คนเป็นบ่าวอย่างพวกนางจึงช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีก
ยิ่นอ๋องสงบนิ่งเกินความคาดหมาย
ทั้งสองคิดเพียงว่าเขาเสียใจเกินไปจึงไม่ได้พูดอะไร
เย่ว์หวาถูกจักรพรรดิอสูรกับเฮ่อหลันชิงเล่นงานจนร่างกายใช้การไม่ได้ไปครึ่งร่าง เขาเป็นคนที่ใจร้อนอยากคิดบัญชีกับพวกนั้นมากที่สุด และเป็นคนที่หวังให้อวิ๋นซู่กลับมาแข็งแรงโดยไวเช่นกัน
เขาเหลือบมองแม่เฒ่าทีหนึ่ง ปัดความไม่ลงรอยระหว่างกันออกไปชั่วคราว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ผู้พิทักษ์เหลียน เจ้าเองก็ถ่องแท้ในเรื่องการแพทย์ เจ้าพอจะมีทางรักษาเจ้าสำนักให้หายหรือไม่”
“เรื่องนี้…” แม่เฒ่านิ่งขรึมไป
“ไม่มีหรือ” เย่ว์หวาซักต่อ
แม่เฒ่ายังคงนิ่งเงียบ
เย่ว์หวาหันไปมองปรมาจารย์เวทที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ปรมาจารย์เวทผู้นี้ปราบราชันอสูรลงได้ในการประลอง จึงนับว่าเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ “ปรมาจารย์เวทพอจะมีทางหรือไม่”
ปรมาจารย์เวทคนใหม่ถอนหายใจทีหนึ่ง “ข้าก็ไม่รู้ว่าวิธีการนี้จะใช้ได้หรือไม่”
เย่ว์หวาถามต่อทันที “วิธีการอะไร เชิญว่ามาก่อน”
ปรมาจารย์เวทคนใหม่หันไปมองแม่เฒ่า “ผู้พิทักษ์เหลียนก็คิดวิธีนี้อยู่เหมือนกันใช่หรือไม่”
แม่เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร จึงถอนหายใจแล้วพยักหน้า “เจ้าสำนักธาตุไฟเข้าแทรกรุนแรงเกินไป และจะย่ำแย่ลงทุกขณะ หากไม่คิดหาทางข่มไอปีศาจในตัวเอาไว้ หากเขาไม่ถูกพิษเล่นงานตาย ก็คงร่างระเบิดตายอยู่ดี ต้องใช้เลือดเพียงพอนวิเศษมาช่วยต้านไว้ก่อน จากนั้น…จากนั้นค่อยเชิญโหราจารย์มา มีเพียงโหราจารย์เท่านั้นที่จะขจัดไอปีศาจในตัวเขาออกไปจนหมดได้”
ยิ่นอ๋องเอ่ยกระแนะกระแหนว่า “จีหมิงซิวกำลังปลีกวิเวกครองสันโดษอยู่ ตัวเขาเองก็ร่อแร่เต็มทน จะช่วยคนอื่นได้อย่างไร”
เย่ว์หวาเอ่ยสำทับว่า “ถูกต้อง เขากำลังฝึกฝ่ามือเก้าสุริยันอยู่ หากพวกเราไปบังคับจับตัวเขามาในช่วงสำคัญของการฝึก มีแต่จะทำให้เขาวิชาสะท้อนกลับจนร่างกายต้องบาดเจ็บหนัก”
จีหมิงซิวจะบาดเจ็บหรือไม่เย่ว์หวาไม่ได้สนใจ แต่หากร่างกายบอบช้ำ ไปเอาตัวเขามาก็คงช่วยอะไรเจ้าสำนักไม่ได้ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่เสียเวลาเปล่าหรือ
แม่เฒ่าบอกว่า “พูดเสียอย่างกับว่าพวกเจ้าคิดจะจับก็จับจีหมิงซิวมาได้อย่างนั้นแหละ!”
พวกเขาพลันนึกถึงเฮ่อหลันชิงที่เล่นงานจักรพรรดิอสูรจนสวนกลับไม่ได้ขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วพากันเงียบเสียงไป
“แต่ว่า… ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นเขาเท่านั้น” อยู่ๆ แม่เฒ่าก็เอ่ยขึ้น
พวกเขาหันไปมองนางด้วยความงุนงง