หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 57 เจ้าเด็กอ้วนมาแล้ว (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 57 เจ้าเด็กอ้วนมาแล้ว (2)
ตอนที่ 57 เจ้าเด็กอ้วนมาแล้ว (2)
วั่งซูรีบร้อนออกไป ชุดที่ใส่อยู่จึงยังคงเป็นชุดนอนตัวน้อย แต่ยอดฝีมือข. กลัวว่า “เขา” จะหนาวจนตัวแข็ง เลยเอาเสื้อคลุมมาห่อตัวให้ “เขา”
เดิมทีก็อ้วนอยู่แล้ว พอยิ่งห่อเข้าไปอีกสามชั้นห้าชั้น มองเร็วๆ จึงเหมือนมีถังน้ำลอยเข้ามา
ก็ช่างบังเอิญ วันนั้นที่จิ่งอวิ๋นขึ้นลานประลองไปประชันกับแม่ชีน้อยทั้งสามนั้น ปรมาจารย์เวทคนใหม่กับแม่เฒ่าบังเอิญไม่อยู่พอดี ปรมาจารย์เวทคนใหม่จึงไม่ได้เห็นหน้าโหราจารย์น้อยตัวจริง
แม่เฒ่าเคยเห็นเขาทีหนึ่งในห้ององค์ชายสาม แต่ยังไม่ทันเห็นชัดก็ถูกเฉียวเวยบังไว้เสียแล้ว ดังนั้นเวลานี้ต่อให้แม่เฒ่ามาเห็น ก็บอกไม่ได้ว่านี่ใช่จิ่งอวิ๋นหรือไม่
แต่อีกฝ่ายมีใบหน้าที่ละม้ายเฉียวเวยถึงเจ็ดแปดส่วน แค่มองดูก็รู้ว่าคือบุตรของจั๋วหม่าน้อย
บุตรที่ถือกำเนิดมาจากจั๋วหม่าน้อย ย่อมก็ต้องเป็นบุตรโดยสายเลือดของจีหมิงซิวเช่นกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ ปรมาจารย์เวทจึงนึกมั่นใจในฐานะของอีกฝ่ายทันที
ส่วนในขณะที่ปรมาจารย์เวทมองประเมินวั่งซูอยู่นั้น วั่งซูเองก็กำลังมองประเมินเขาเช่นกัน
นางเคยรักษาท่านลุงมาคนหนึ่ง ท่านลุงผู้นั้นก็สวมใส่อาภรณ์เช่นนี้ ที่แท้ท่านลุงผู้นั้นหายดีแล้ว ทั้งยังดูเด็กลงอีกด้วย!
ปรมาจารย์เวทเพิ่งอายุสามสิบปีหมาดๆ ถือเป็นบุรุษหน้าตาดีคนหนึ่ง
วั่งซู “ท่านลุง ท่านยังจำข้าได้หรือไม่”
ปรมาจารย์เวทคนใหม่ “โหราจารย์น้อย เจ้าเคยรักษาผู้ใดมาก่อนหรือไม่”
วั่งซู “ข้าคือหมอเทวดาน้อยที่รักษาท่านเมื่อครั้งที่แล้วอย่างไร!” โ
ปรมาจารย์เวทคนใหม่ “เจ้าสำนักธาตุไฟเข้าแทรก จำเป็นต้องใช้พลังของโหราจารย์ถึงจะควบคุมเอาไว้ได้”
วั่งซู “ท่านดูหนุ่มขึ้นมากทีเดียว หน้าตาดีมากด้วย!”
ปรมาจารย์เวทคนใหม่ “ไม่ทราบว่าโหราจารย์น้อยคิดจะรักษาเจ้าสำนักเช่นไร”
ปรมาจารย์เวทคนใหม่เอ่ยเป็นภาษาเยี่ยหลัว เขาฟังภาษาจงหยวนไม่เข้าใจ
พวกเขาพูดกันคนละภาษาอยู่นานสองนาน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเช่นไร
สุดท้ายเป็นท้องของวั่งซูที่ร้องโครกครากๆ ปรมาจารย์ถึงเพิ่งนึกได้ว่าไปลากตัวคนเขามากลางดึกเช่นนี้ นางคงจะหิวแย่
ปรมาจารย์เวทเลยพูดให้ช้าลง พลางส่งภาษามือไปด้วย “โหราจารย์น้อยโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเตรียมอะไรมาให้เจ้ากิน อีกเดี๋ยวผู้พิทักษ์เหลียนก็จะมาด้วย จะได้หารืออีกนิด…ว่าจะ…รักษา…เจ้าสำนัก…อย่างไร”
เขาไม่เชื่อถือโหราจารย์น้อยผู้นี้เท่าไรนัก เพียงแต่แม่เฒ่ายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าโหราจารย์น้อยซ่อมแซมยันต์ค่ายกลได้แล้ว นางเชื่อว่าสายเลือดของโหราจารย์ตื่นรู้แล้ว แต่จะรักษาอย่างไรนั้น ยังต้องให้นางคอยช่วยเหลือถึงจะได้
“ดี…หรือไม่” ปรมรจารย์เวทเอ่ยถาม นี่เป็นภาษาจงหยวนเพียงสองคำที่เขาพูดเป็น
วั่งซูพยักหน้า “ดี…สิ!”
ปรมาจารย์เวทเดินออกไปด้วยความสบายใจ
วั่งซูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะไปทำอะไร
จากนั้น “โหราจารย์น้อย” ก็เริ่มรักษาให้กับคนป่วยคนเดียวที่เหลืออยู่
การจะยืนยันฐานะผู้ป่วยของอวิ๋นซู่นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะภายในห้องที่กว้างขวาง มีเขาเพียงคนเดียวที่นอนบิดด้วยความปวดร้าวอยู่ที่พื้น มือเท้าถูกรัดเอาไว้ด้วยโซ่เหล็ก ตรงหว่างคิ้วและฝ่ามือมีไอสีดำอวยขึ้นมา
นี่เป็นสัญญาณของการธาตุไฟเข้าแทรก
คนตอนอยู่ในช่วงธาตุไฟเข้าแทรกจะรู้สึกทรมาน หัวใจเต้นรุนแรงกว่ายามปกติ จิตใจกระสับกระส่ายอย่างหนัก ภายในร่างกายร้อนรุ่มคล้ายถูกไฟสุมเผาเส้นเอ็นในกายทุกเส้น ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงอาการรุนแรง ข้างในกระดูกยังรู้สึกคล้ายมีมดนับหมื่นตัวเดินกันให้ยั้วเยี้ย ทั้งปวดทั้งคันยุบยิบ ทำให้คนรู้สึกแทบอยากจะเป็นบ้า
วิธีเดียวที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้ก็คือต้องใช้กำลังภายในของตนไปเรื่อยๆ
ซึ่งก็เป็นเหตุที่ว่าเหตุใดหลังจากธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว มันจะเกิดอาการไล่สังหารทุกคนที่พบเห็น
แต่อวิ๋นซู่ไม่อาจไล่สังหารผู้คนได้ เพราะปริมาณยาพิษที่เขากินเข้าไปมากเกินไป จนทำให้จุดตันเถียนถูกทำลาย
อาการรวดร้าวอย่างรุนแรงภายในจุดตันเถียนที่มาเป็นระลอกๆ ไม่มีทางเบากว่าอาการธาตุไฟเข้าแทรก หากจะเดินกำลังภายในอีกมีแต่จะทำร่างกายทรมานหนักขึ้น
ถึงอย่างไรอวิ๋นซู่ก็มีความทนทานอันน่าตกใจ เขาทรมานถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่หมดสติไปอีก
แต่นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี เพราะถึงอย่างไรหากหมดสติไปก็ยังไม่รับรู้ถึงความทรมานอีก การที่อยากหมดสติแต่ก็ไม่หมดสติสักทีเช่นนี้ต่างหากที่ทรมานมากที่สุด
ในช่วงที่อวิ๋นซู่ทรมานจนแทบจะสิ้นใจนั้น เขาเห็นรางๆ ว่ามีเด็กอ้วนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาตน
เด็กอ้วนผู้นี้หน้าตาบรรจงสร้างราวกับหยกสลัก แก้มอมชมพูอวบแน่น ปากแดงเป็นกระจับ ตาวาวใสเป็นประกาย คิ้วโก่งเป็นใบหลิว ลักษณะท่าทางดูไม่มีพิษไม่มีภัย
นางย่อตัวลงมา กะพริบตาวาวใสของตนแล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “ท่านลุง ท่านไม่สบายหรือ ท่านไม่สบายที่ตรงใด บอกข้าได้หรือไม่ ข้าเป็นหมอเทวดาน้อยที่จะมาช่วยรักษาท่าน”
สติของอวิ๋นซู่ค่อนข้างพร่าเลือน เขาสงสัยอย่างรุนแรงว่าตนเกิดภาพหลอนไปหรือไม่
หมอเทวดาน้อย?
เด็กคนหนึ่งนี่หรือ?
วั่งซูวางกระเป๋าแพทย์ของตนลงบนพื้น ยื่นมือน้อยๆ เนื้ออวบอ้วนไปจับหน้าผากที่ร้อนผ่าวของอวิ๋นซู่
ความรู้สึกเย็นวาบตกลงมาที่ตัว
อยู่ๆ อวิ๋นซู่ก็ไม่ได้รู้สึกทรมานเพียงนั้นอีก
วั่งซูดึงมือกลับไป เขาก็เริ่มทรมานอีกครั้ง ท่ามกลางความทรมานนั้นเขาเห็นอีกฝ่ายผายมือเอ่ยว่า “หน้าผากเจ้าร้อนมากเลย ต้องป่วยหนักเป็นแน่ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นหมอเทวดาน้อยที่มีประสบการณ์มาก ข้า ข้าเคยรักษาโรคให้คนมามาก ก็อย่าง อย่างท่านลุงคนเมื่อครู่นี้ก็เป็นข้าที่รักษาเขาจนหาย เขายังดูหนุ่มขึ้นเสียด้วย เส้นผมเขายังไม่ขาวแล้วเลย” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อวิ๋นซู่ฟังภาษาจงหยวนเข้าใจ คำพวกนี้เวลาอยู่แยกกันเขาฟังเข้าใจทั้งหมด แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันเหตุใดถึงฟังไม่เข้าใจเสียได้
น่ากลัวว่านี่คงไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน
วั่งซูเปิดหีบสมบัติ “เอาล่ะ ข้าจะเริ่มรักษาเจ้าแล้วนะ ข้าจะฝังเข็มให้เจ้าก่อน!”
อวิ๋นซู่มองเด็กไม่รู้ประสาที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนด้วยสายตาอ่อนล้า ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเอาตะปูสะกดวิญญาณออกมาจากหีบทองคำสีเหลืองอร่ามที่ส่องประกายหรูหรา
ขมับของอวิ๋นซู่พลันเต้นตุบๆ!
เจ้าเด็กบ้านี่ไปเอาตะปูสะกดวิญญาณมาจากที่ใด!
ที่บอกกันว่าไม่คุ้นเคยอาจเกิดข้อผิดพลาดได้นั้น ครั้งก่อนนางจิ้มลงบนตัวปรมาจารย์เวทซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่เวลานี้เมื่อได้เอาออกมาใช้อีกที ถือได้ว่าเข้าไม้เข้ามือมากแล้ว
วั่งซูใช้มือหนึ่งถือตะปูสะกดวิญญาณ อีกมือหนึ่งกดหัวไหล่คนป่วยไว้
อวิ๋นซู่ดิ้นสู้!
คนป่วยล้วนไม่เชื่อฟังทั้งสิ้น นางเคยชินเสียแล้ว
วั่งซูมองอวิ๋นซู่ด้วยความเข้าใจ แล้วจับตัวอวิ๋นซู่กดลงกับพื้น!
ต่อให้จุดตันเถียนของอวิ๋นซู่ถูกทำลายจนไม่อาจเดินกำลังภายในได้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนจะสู้แรงเด็กบ้าคนหนึ่งไม่ได้ แต่เจ้าเด็กนี้พอได้ออกแรง เขารู้สึกเพียงกระดูกของเขาแทบจะป่นปี้เสียให้ได้
เวลานี้ไหนเลยอวิ๋นซู่จะมีแก่ใจมาสนใจจุดตันเถียนอีก เขาคิดจะกระตุ้นกำลังภายในออกมาซัดเจ้าเด็กนี้ให้ตาย
ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันได้ลงมือ วั่งซูก็จิ้ม “เข็มเงิน” เข็มแรกเข้าที่ตัวเขาด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาดเสียแล้ว
อวิ๋นซู่เจ็บปวดจนหมดสติไปทันที!
ตะปูสะกดวิญญาณเป็นของที่กระทั่งจักรพรรดิอสูรยังไม่กล้าทดลองพร่ำเพรื่อ วรยุทธ์ของอวิ๋นซู่ยังฝึกไปไม่เท่าจักรพรรดิอสูร หนำซ้ำเวลานี้ยังบาดเจ็บ เมื่อตะปูสะกดวิญญาณนี้ถูกปักลงมา ชีวิตเขาจึงแทบจะหายไปครึ่งหนึ่งทันที
ในขณะที่วั่งซูกำลังจะปัก “เข็ม” เล่มที่สามนั้น อวิ๋นซู่ก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้งเพราะความเจ็บปวด
พอฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วได้รู้ว่าที่แท้ยังมี “เข็ม” อีกสิบห้าเข็ม เขาก็พลันตาลอยคว้าง สิ้นสติไปอีกครั้งทันที
เขาเดี๋ยวสลบเดี๋ยวฟื้นอยู่อย่างนี้ไม่รู้นานเท่าไร ในที่สุดเข็มทั้งชุดก็ถูกปักจนครบเสียที
อวิ๋นซู่ถูกทรมานจนกระทั่งแรงจะกรอกตาก็ยังไม่มี
วั่งซูยกมือปาดเหงื่อตรงหน้าผากที่ไม่มีอยู่จริง หอบหายใจพลางเอ่ยว่า “แฮ่กๆ เหนื่อยจังๆ!”
อวิ๋นซู่แค่เพียงเหล่ตามองนาง เวลานี้ทั่วทั้งตัวเหลือเพียงลูกตาที่สามารถขยับได้
ไม่เท่าไรวั่งซูก็ได้รู้ว่าท่านลุงผู้นี้ดูเหมือนจะอาการไม่ดีขึ้น นางจึงรีบเปิดกล่องยา หยิบเอารายการอาหารที่เฉียวเวยเขียนด้วยมือตนเองออกมา
วั่งซูไม่รู้จักตัวอักษรที่ซับซ้อนเหล่านี้ แต่นางรู้ว่าสิ่งนี้ท่านแม่เป็นคนเขียนด้วยตนเอง ท่านแม่นางเป็นหมอเทวดา หนังสือที่หมอเทวดาเขียนก็ย่อมต้องเป็นตำราแพทย์อย่างไม่ต้องสงสัย
เมินเฉยความจริงที่ว่านี่เป็นเพียงรายการอาหารที่คนท้องเฉียวอยากกินแต่กลับไม่อาจกินได้จึงวาดเป็นภาพออกมาให้หายอยาก
ในรายการอาหารมีทั้งภาพและตัวอักษรปนกัน
ภาพจากปลายพู่กันของเฉียวเวย ตัวอักษรจากปลายพู่กันของเฉียวเวย คะแนนการอ่านออก: ติดลบ
หน้าที่หนึ่ง ยำกุ้งเมา
วั่งซูเพ่งมองอยู่นานก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นตัวกุ้ง แต่วิธีการนั้น นางพอเข้าใจสักเจ็ดแปดส่วน
ขั้นตอนที่หนึ่ง: ตัดหนวด
วั่งซูหยิบกรรไกรอันเล็กเล่มหนึ่งมาตัดฉับๆ ที่เส้นผมของอวิ๋นซู่
ขั้นตอนที่สอง: เอาใส่ในกะละมัง
วั่งซูคว้าตัวอวิ๋นซู่ขึ้นมาแล้ววิ่งตุบตับๆ ไปหากะละมังใบเล็ก
นางหากะละมังใบเล็กไม่เจอ แต่นางกลับไปเจอกระทะใบใหญ่ที่หน้าห้องครัว
วั่งซูเปิดฝากระทะแล้วโยนตัวอวิ๋นซู่โยนลงไป
ขั้นตอนที่สาม: ใส่เหล้า
เดิมทีครัวแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับทำอาหารให้จักรพรรดิอสูรโดยเฉพาะ เมื่อจักรพรรดิอสูรหายตัวไป ห้องครัวจึงถูกทิ้งร้าง แต่ก็เพิ่งถูกทิ้งร้างอยู่ไม่นานเท่าไรนัก จึงมีของที่จำเป็นอยู่อย่างครบครัน
ไม่นานวั่งซูก็เจอไหสุราที่ตามหา นางจัดการเทลงหม้อไป
เดิมทีอวิ๋นซู่ถูกกระแทกจนสลบไปตั้งแต่ระหว่างที่ถูกลากมาที่นี่แล้ว แต่ก็ถูกอาการแสบคล้ายถูกเกลือทาปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พอตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าตนมานอนอยู่ในกระทะใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้ารุนแรง!
เจ้าเด็กบ้านี่จะทำอะไร ใช้สุราต้มเขาหรือ!
อวิ๋นซู่ใช้พลังทั้งหมดที่มียกศีรษะขึ้นมาได้เล็กน้อย เขาหันมองไปทางรายการอาหารในมือวั่งซู ตัวอักษรรกรุงรังเหล่านั้นช่างเรียกสติได้ดีเหลือเกิน
ยำกุ้งเมา?
เจ้าเด็กบ้านี่กำลังทำกุ้งเมา?
แท้จริงแล้วนางเห็นเขาเป็นกุ้ง หรือคิดว่ารายการอาหารเป็นตำราแพทย์กันแน่!
อวิ๋นซู่เผยอปาก คิดอยากพูดบางอย่างแต่กลับพบว่าลำคอแหบแห้งไปหมด เปล่งเสียงไม่ออกเลยสักนิด
วั่งซูขมวดคิ้วด้วยความฉงน นางพลิกไปหน้าที่สอง: ปูนึ่ง
ขมับของอวิ๋นซู่เต้นตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ่อ” วั่งซูถอนหายใจอย่างแก่แดด “ข้าติดไฟไม่เป็น”
อวิ๋นซู่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
แต่เขายังถอนหายใจไม่ทันสุด วั่งซูก็พลิกไปยังหน้าที่สาม
ตอนอวิ๋นซู่อ่านตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ในหนังสือได้ว่า “หัวปลาราดพริก ขั้นตอนที่หนึ่ง ตัดหัวปลา” นั้น เขาก็ตกใจจนสองตาลอยคว้าง สองขาจิกแน่น ที่ปากมีน้ำลายสีขาวฟูฟ่อง ตัวเกร็งไปทั้งตัว เส้นเลือดในสมองแตกไปตรงนั้น…