หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 6-1 บุกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พบสหายเก่า
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 6-1 บุกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พบสหายเก่า
ตอนที่ 6-1 บุกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พบสหายเก่า
วันต่อมาจีหมิงซิวกับเฉียวเวยเริ่มวางแผนบุกลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีการคุ้มกันแน่นหนา หากไม่มีป้ายหยกก็เข้าไปไม่ได้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามีป้ายหยกก็จะผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ป้ายหยกเป็นของเฉพาะตัวของแต่ละคน ป้ายหยกแต่ละชิ้นจึงทำปลอมขึ้นมาไม่ได้และมีแต่ป้ายหยกที่เจ้าของถือไว้เองเท่านั้นจึงจะผ่านด่านได้อย่างราบรื่น
ทั้งสองคนต่างเป็นผู้ชำนาญในด้านนี้ พวกเขาคิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้พร้อมกัน นั่นก็คือปลอมตัวเป็นอูมู่ตัว
อูมู่ตัวก็คือนามของบิดาของปิงเอ๋อร์เวลาอยู่ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หลังจากทุกคนเข้าร่วมลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ พวกเขาจะละทิ้งตัวตนในอดีต น้อมรับนามที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ประทานให้ สื่อเป็นนัยว่าได้ถือกำเนิดใหม่อีกหนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์
เฉียวเวยคิดว่าฟู่เสวี่ยเยียนนามนี้ก็คงจะเป็นนามในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่ฮองเฮามอบให้นาง เพียงแต่ว่าตัวนางเองถูกปิดหูปิดตามาตลอดจึงคิดว่ามันเป็นเพียงนามปลอมที่ใช้เวลาทำงานข้างนอกเท่านั้น
การปลอมตัวเป็นอูมู่ตัวฟังดูเหมือนง่าย แต่เมื่อลงมือทำจริงๆ กลับพบอุปสรรคไม่น้อย ประการแรกดูจากรูปร่างแล้ว อูมู่ตัวเป็นคนรูปร่างเล็ก จีหมิงซิวกับน้องชายรวมไปถึงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยต่างมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ร่างกายของไห่สือซานพอจะใกล้เคียงกับเขาอยู่บ้าง ทว่าน่าเสียดายที่ไห่สือซานก็ยังกำยำเกินไปจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสม
“หากอี้เชียนอินอยู่ก็ดีสิ” ใต้เท้าเจ้าสำนักเท้าคางพูดขึ้นมา
อี้เชียนอินมีวิชาหดกระดูก อีกทั้งยังเลียนเสียงผู้ใดก็ได้ เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่เหมาะกับการปลอมตัวเป็นอูมู่ตัวจริงๆ แต่จนปัญญาที่หลังจากอี้เชียนอินเลิกเก็บตัวฝึกฝนเขาก็เงียบหายไร้ข่าวคราว ถึงเขาบอกว่าจะไปรวมตัวกับจีอู๋ซวง แต่ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเจ้าเด็กน้อยที่เห็นหญิงดีกว่าสหายคนนี้วิ่งไปตามหาร่องรอยของเฮ่อหลันชิงต่างหาก
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยขึ้นมาว่า “หรือว่าจะ…ให้สือชีไป”
ทุกคนหันขวับมามองสือชีผู้นั่งกินเนื้อเพื่อบำรุงร่างกายอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ไม่ทันสังเกตสองสามวัน เหตุไฉนดูเหมือนเขาจะสูงขึ้นอีกแล้ว…
ใช้สือชีไม่ได้อย่างแน่นอน ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาเรื่องความสูง แต่เขาเป็นนักรบมรณะ คนธรรมดาอาจจะมองไม่ออก แต่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มองปราดเดียวก็คงแยกตัวจริงตัวปลอมออกแล้ว
“ไม่อย่างนั้นข้าไปเองก็แล้วกัน!”
ทุกคนหันขวับมามองนาง!
เฉียวเวยอธิบายว่า “ข้าโครงร่างใกล้เคียงกับเขา ส่วนทรวดทรง สวมเสื้อผ้าเพิ่มสักสองชั้นก็ใช้ได้แล้ว!”
ในหมู่สตรีร่างกายของเฉียวเวยนับว่าค่อนข้างสูง ส่วนร่างกายของอูมู่ตัวเมื่อเทียบกับในหมู่ชายฉกรรจ์แล้วค่อนข้างเตี้ย ช่างบังเอิญนักที่ความสูงของทั้งสองคนใกล้เคียงกันจริงๆ
อูมู่ตัวอาจไม่ผอมบางเท่าเฉียวเวย แต่ก็จริงอย่างที่เฉียวเวยว่าเอาเสื้อผ้ามาสวมเพิ่มก็ใช้ได้แล้ว
หากเป็นเช่นนี้ เฉียวเวยก็เหมาะสมจริงๆ
“นี่จะอันตรายเกินไปหรือไม่” ฟู่เสวี่ยเยียนมุ่นคิ้วน้อยๆ
เฉียวเวยจึงตอบว่า “มีอะไรอันตรายกันเล่า ไม่ใช่ว่ายังมีราชันอสูรอยู่หรือ ข้าจะพาเขาไปด้วย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว “จะถูกคนจับได้หรือเปล่า”
เฉียวเวยไม่เห็นด้วย “ถูกจับได้แล้วเป็นอะไร ราชันอสูรเป็นนักรบมรณะ อูมู่ตัวพานักรบมรณะมาด้วยคนหนึ่งแปลกนักหรือ”
ดูจากราชครูกับฮองเฮาแล้ว คนที่มีตำแหน่งในลัทธิศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีสิทธิสร้างนักรบมรณะของตนเอง อูมู่ตัวดีเลวก็ครองตำแหน่งผู้ดูแล การจะมีนักรบมรณะของตนเองสักสองสามคนคงไม่ใช่เรื่องแปลก
ยากก็ยากอยู่ที่ราชันอสูรคือราชันอสูร ไม่ใช่นักรบมรณะธรรมดา เรื่องนี้คงถูกมองออกง่ายดายอย่างยิ่ง
จีหมิงซิวเคาะนิ้วกับผิวโต๊ะเบาๆ แล้วหันไปมองน้องชายที่อยู่ด้านข้าง “เจ้ามีวิธีลดกำลังภายในของราชันอสูรให้ลงมาเหลือระดับเดียวกับนักรบมรณะดาบยาวหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปากแค่นเสียงดังเหอะ “ข้าจะลองดูก็แล้วกัน”
ภายนอกกลอกตาใส่ ทว่าในใจสาแก่ใจยิ่งนัก จีหมิงซิวก็มีวันที่ต้องมาขอร้องเขาเหมือนกัน ฮ่าๆ ฮ่าๆ…
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินกลับห้องอย่างสุขุม (ลิงโลด) อย่างยิ่ง เขาหยิบแมลงกู่ตัวน้อยของตนเองออกมา หลังจากใช้กู่สลายปราณที่ดุร้ายที่สุด ร้ายกาจที่สุดสิบกว่าตัวกับราชันอสูร สุดท้ายก็ลดกำลังภายในของราชันอสูรให้มาอยู่ระดับสูงสุดของนักรบมรณะดาบยาวได้
สภาวะที่แตะนิดแตะหน่อยก็จะเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูรเช่นนี้ เรียกได้ว่าอันตรายอย่างยิ่ง
เฉียวเวยเหล่มองเขา “ทำอยู่ตั้งนานมีความสามารถเพียงเท่านี้หรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสะอึก เขาเท้าเอวยืดอกน้อยๆ เถียง “เจ้า เจ้า เจ้า….เจ้าเก่งนักก็มาทำเองสิ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ไม่ได้เรื่อง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหนื่อยแทบตายแล้ว “อย่าให้เขาใช้กำลังภายในง่ายๆ เล่า”
เฉียวเวยกำลังคิดจะถามว่าบาดเจ็บได้หรือไม่ ก็ได้ยินใต้เท้าเจ้าสำนักพูดต่อว่า “ลำบากนักกว่าจะทำให้พลังมั่นคงได้ หากเขาใช้กำลังภายในเมื่อใด แมลงกู่พวกนั้นจะตายหมด ถึงตอนนั้นย่อมกดกำลังภายในของเขาไว้ไม่อยู่แล้ว!”
เฉียวเวย “…”
เพียงแต่ว่ากดกำลังภายในไว้ยังไม่พอ ต้องให้เขาสะพายดาบยาวเล่มหนึ่งด้วย
แต่จะให้ราชันอสูรสะพายดาบยาวหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร
ราชันอสูรปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่สูงสิบเมตรราวกับมือเป็นหนวดปลาหมึก แล้วสะบัดก้นใส่เฉียวเวยอย่างเย็นชาอย่างยิ่ง!
ถั่วเขียวต้ม ขนม ถั่วเคลือบน้ำตาล สารพัดลูกไม้ที่เฉียวเวยงัดออกมาใช้ล้วนล่อให้ราชันอสูรลงมาไม่ได้
สุดท้ายเฉียวเวยจึงต้องปีนขึ้นไปเอง นางนั่งบนกิ่งไม้ หยิบดาบยาวที่ฉกมาจากตำหนักของฮองเฮาผูกไว้บนร่างของราชันอสูรโ
ราชันอสูรโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปส่องกระจก ฟู่เสวี่ยเยียนรีบสั่งให้บ่าวรับใช้เก็บกระจกทั่วทั้งเรือนฟางชุ่ยหยวนไปซ่อนให้หมด!
แน่นอนว่าหากจะลักลอบเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จ เพียงเท่านี้ยังไม่พอ จีหมิงซิวให้เฉียวเวยพาสือชีไปด้วย เพื่อป้องกันกรณีที่ราชันอสูรสู้ติดพันอยู่กับยอดฝีมือผู้เก่งกาจ สือชีจะได้ใช้วิชาตัวเบาพาเฉียวเวยหนีออกมาได้
จีหมิงซิวหยิบยืมกองทหารรักษาพระองค์ของมู่อ๋องไปปิดทั้งเมืองเยี่ยเหลียงเอาไว้จนแม้แต่แมลงวันสักตัวก็ไม่ปล่อยออกไป เช่นนี้จึงจะรับประกันได้ว่าอูมู่ตัวตัวจริงจะไม่โผล่ออกไปก่อกวนสถานการณ์ของเฉียวเวย
อูมู่ตัวพานักรบมรณะมาได้ แต่พา ‘ศิษย์’ ที่รับเข้าใหม่มาด้วยไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจีหมิงซิวหรือ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยต่างตามเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วยไม่ได้ทั้งสิ้น
ก่อนจะขึ้นรถม้า จีหมิงซิวกำชับเฉียวเวยว่า “จำไว้ เจ้าไปสืบข่าว ไม่ใช่ไปกวาดล้างลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หากถูกพบตัวเข้า ไม่ต้องสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ให้ราชันอสูรกับสือชีพาเจ้าออกมา”
เฉียวเวยตบหน้าอกเล็กๆ ของตนเองแล้วบอกว่า “เข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถิด ข้ารู้จักสมควร!”
จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ “หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดคือเจ้าถูกจับตัวไป เจ้าจงบอกพวกเขาว่าฮองเฮาอยู่ในมือข้า”
“อืม” เฉียวเวยพยักหน้า พวกเขากล้าทำเช่นนี้อย่างไม่กลัวเกรง เพราะราชันอสูรมีพลังล้ำเลิศน่าอัศจรรย์ อีกทั้งในมือพวกเขายังมีไพ่ตายที่พอจะรักษาชีวิตเฉียวเวยได้อีกใบหนึ่ง
ความจริงไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดจะปลอมตัวเป็นฮองเฮา ไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็เป็นสตรี ปลอมตัวเป็นนางย่อมง่ายดายกว่าอยู่บ้าง แต่บังเอิญว่าตอนที่เฉียวเวยค้นตัวฮองเฮาหลังจากรักษานาง เฉียวเวยไม่พบแม้แต่เหรียญทองแดงสักเหรียญ ถึงตอนนั้นนางจะไม่รู้ว่าป้ายหยกคือสิ่งใด เพียงอยากรู้ว่าบนร่างของนางปีศาจเฒ่าคนนั้นมีความลับอันใดซุกซ่อนอยู่หรือไม่เท่านั้นก็ตาม
ไม่มีป้ายหยกย่อมปลอมตัวไม่ได้
“เจ้าพกสิ่งนี้ไว้” จีหมิงซิวยัดสมุดน้อยขนาดเท่าฝ่ามือที่เขานั่งเรียบเรียงตลอดทั้งคืนใส่มือของเฉียวเวย
“สิ่งนี้คืออะไร” เฉียวเวยเปิดอ่าน “พจนานุกรมหรือ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มีตัวอักษร มีคำ แล้วก็มีประโยคที่สมบูรณ์ด้วย ทั้งหมดมีตัวอักษรภาษาฮั่นที่ออกเสียงตรงกันกำกับบอกเสียงอยู่ทั้งหมด นี่มันตำรา ‘คลังศัพท์ภาษาเยี่ยหลัว’ กับ ‘ภาษาสนทนา 100 ประโยค’ ฉบับโบราณชัดๆ!
พูดกันตามตรงหากเขาไม่มอบสิ่งนี้ให้นาง นางก็ลืมไปแล้วว่าคนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดภาษาฮั่น
ลองจินตนาการภาพตนเองลักลอบเข้าไปสืบข่าวในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างลำบากยากเย็น แต่ผลปรากฏว่าฟังไม่เข้าใจสักคำเดียวดูสิ…
เฉียวเวยหอมแก้มสามีของตนเองหนึ่งฟอด!
ระหว่างที่เดินทางไปเทือกเขาหมั่งฮวง นางก็อ่านตำราน้อยเล่มนี้อยู่ตลอด ลายมือของจีหมิงซิวเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้อยคำที่เขียนก็กระชับได้ใจความ อ่านเข้าใจง่ายอย่างยิ่ง ทว่าไม่ทันไรนางก็หลับเสียแล้ว
นี่ล่ะหนอความทุกข์ของนักเรียนสายวิทย์ที่ต้องเรียนภาษาต่างประเทศ
หลังลงจากรถม้า ทั้งสามคนก็ก้าวขึ้นบันไดสวรรค์ เมื่อมีฐานะของอูมู่ตัว ทั้งสามคนจึงเข้ามาในเมืองได้อย่างราบรื่น
เข้าเมืองมาเรียบร้อย เฉียวเวยก็มุ่งหน้าไปรวมตัวกับบิดาของตนที่โรงหมอก่อนเป็นอย่างแรก ท่านหมอเฒ่าแห่งโรงหมอขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรยังไม่กลับมา ภายในโรงหมอจึงมีเพียงเฉียวเจิง เยี่ยนเฟยเจวี๋ย ไห่สือซานกับฮองเฮาและนักรบมรณะดาบยาวของนาง นักรบมรณะดาบยาวทั้งหมดถูกวางยา นอนนิ่งอยู่ในห้องเก็บฟืนด้านหลังเรือน
เฉียวเวยเล่าแผนการลอบเข้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ให้บิดาของตนเองฟังเสร็จ เฉียวเจิงก็ด่าแสกหน้านางทันที บอกว่าเป็นแม่นางคนหนึ่งไม่อยู่บ้านดีๆ วิ่งโร่จะไปบุกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่คนนอกบุกเข้าไปได้หรือ หากถูกคนจับได้ขึ้นมา นางไม่เอาชีวิตแล้วใช่หรือไม่
“ท่านคิดว่าข้าอยากไปหรือ” เฉียวเวยแสร้งทำท่าเศร้าสร้อย “นี่ข้าเป็นห่วงว่าท่านแม่อาจถูกคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปไม่ใช่หรือไร แต่ละคืนข้านอนไม่เคยหลับจึงตัดสินใจว่าจะไปสืบข่าวของมาร…”
คำว่า ‘ดา’ ยังไม่ทันเอ่ยจบ เฉียวเจิงก็ส่งยาเปลี่ยนเสียงให้ แววตาเป็นประกายระยิบระยับ “จะออกเดินทางเมื่อใด”
เฉียวเวย “…”
…