หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 60-2 อวิ๋นซู่สิ้นสภาพ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 60-2 อวิ๋นซู่สิ้นสภาพ
ตอนที่ 60-2 อวิ๋นซู่สิ้นสภาพ
อวิ๋นซู่ถูกหามกลับไปที่ตำหนักนอน วางตัวลงบนเตียงที่อ่อนนุ่มและกว้างใหญ่
ยิ่นอ๋องกับแม่เฒ่า ปรมาจารย์เวทคนใหม่รวมถึงเย่ว์หวา คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีอาจารย์ยาอยู่ไม่น้อย ทุกคนล้วนมาช่วยกันรักษาอวิ๋นซู่ ด้วยความร่วมมือระหว่างทุกคนกับแม่เฒ่า ในที่สุดก็สามารถรักษาชีวิตของอวิ๋นซู่เอาไว้ได้ แต่อาการที่เหลือ… ก็ไม่นับว่าสู้ดีนัก
แม่เฒ่าให้อาจารย์ยาทั้งหลายถอยออกไปก่อน นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อตรงหน้าผาก
ยิ่นอ๋องเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงว่า “ผู้พิทักษ์เหลียน เจ้าสำนักเป็นอย่างไรบ้าง”
แม่เฒ่าดูคล้ายชราลงไปสิบปีภายในชั่วพริบตา คิดจะใช้ไม้เท้าพยุงตัวขึ้น แต่ร่างกายกลับโงนเงน ล้มลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง
สายตายิ่นอ๋องสั่นไหว ยกมือขึ้นยกกาน้ำชา รินชาร้อนให้นางถ้วยหนึ่ง
แม่เฒ่าดันถ้วยชาออกเบาๆ “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณเจ้าสำนักน้อยมาก”
ยิ่นอ๋องวางถ้วยชาลง ถามแม่เฒ่าว่า “เจ้าสำนักไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง”
แม่เฒ่าถอนหายใจหนักๆ “ข้าพยายามเต็มที่แล้ว”
เย่ว์หวาสายตาสั่นระริก “ผู้พิทักษ์เหลียน เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าสำนักหมดหนทางช่วยเหลือแล้วหรือ”
แม่เฒ่าหลับตาด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าไปดูเองก็แล้วกัน”
เย่ว์หวาใช้มือขวาที่ปกติดีเข็นรถเข็นไปข้างหน้า เริ่มด้วยมองสำรวจร่างกายอวิ๋นซู่ที่ซูบผอมราวกับโครงต้นไม้ แล้วค่อยใช้มือแตะเบาๆ ที่จุดตันเถียนของเขา
ชั่วขณะที่แตะมือลงไปนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
ยิ่นอ๋องมองเห็นสีหน้าอีกฝ่ายชัดเจน จึงเอ่ยถามด้วยความฉงน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เย่ว์หวาเอ่ยด้วยสีหน้าตะลึงค้าง “จุดตันเถียนของเจ้าสำนักถูกทำลายแล้ว” โ
สำหรับคนฝึกวรยุทธ์ การที่จุดตันเถียนถูกทำลาย หลังจากนี้ก็เป็นเพียงคนสิ้นสภาพเท่านั้น
อวิ๋นซู่เคยทำลายจุดตันเถียนของคนอื่นมาแล้วนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นก็คือราชันอสูร แต่เขาคงไม่คิดกระทั่งฝันว่า คนสุดท้ายที่เขาทำลายจะเป็นจุดตันเถียนของตนเอง
ยิ่นอ๋องไม่รู้เรื่องเหล่านี้ของอวิ๋นซู่ หลังจากอวิ๋นซู่ถูกพิษ ถูกตอกตะปูสะกดวิญญาณ ซ้ำยังถูกจักรพรรดิอสูรดูดกลืนวรยุทธ์ไปทั้งหมด ยิ่นอ๋องพอเดาได้ว่าผลสุดท้ายของอวิ๋นซู่คงจะไม่ดีนัก แต่กลับไม่คิดว่าจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้
สองวันให้หลัง จะเป็นวันชี้เป็นชี้ตายกับพวกเฮ่อหลันชิงแล้ว แต่กระนั้นก็ดันมาเกิดเรื่องในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้…
จนถึงเวลานี้ยิ่นอ๋องก็ยังไม่เข้าใจว่าทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร
เขาคงไม่อาจเข้าใจได้เลยตลอดชั่วชีวิตนี้
แม่เฒ่าเอ่ยด้วยความรวดร้าวว่า “เดิมทีไม่ควรหมายใจในตัวจักรพรรดิอสูรเลย”
หากไม่หมายใจในจักรพรรดิอสูรก็คงไม่ต้องใช้ยาพิษ หากไม่ใช้ยาพิษก็คงไม่ถูกคนวางยาพิษในปริมาณที่มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว และถ้าไม่ได้รับพิษในปริมาณที่มากเกินไป ก็คงไม่ธาตุไฟเข้าแทรก หากธาตุไฟไม่เข้าแทรกก็คงไม่จำเป็นต้องไปเชิญโหราจารย์น้อย หากไม่เชิญโหราจารย์น้อย ก็คงไม่ต้องสะเทือนไปถึงเฮ่อหลันชิง หากไม่สะเทือนไปถึงเฮ่อหลันชิงก็คงไม่ถูกตะปูสะกดวิญญาณ หากไม่ถูกตะปูสะกดวิญญาณก็คงไม่ต้องคิดหาทางหลอกล่อจักรพรรดิอสูร ผลสุดท้ายกลับเป็นว่าถูกจักรพรรดิอสูรดูดกลืนกำลังภายในไปจนหมดสิ้น…
ก้าวผิดหนึ่งก้าว ก้าวต่อๆ ไปก็ผิดทุกก้าว หมากทั้งกระดานเป็นอันจบสิ้น
เย่ว์หวามีหรือจะเข้าใจถึงหลักการข้อนี้ แต่ต่อให้รู้ก็ทำอะไรไม่ได้ ในโลกนี้มียาเสียใจทีหลังให้กินด้วยหรือ
เย่ว์หวาหันไปมองนางด้วยสายตาเรียบเย็น “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นไปแล้ว เจ้ามาพูดเอาเวลานี้จะมีประโยชน์อะไร ตอนเจ้าสำนักหมายใจในจักรพรรดิอสูร เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด”
แม่เฒ่าเดือดดาลจนกระแทกไม้เท้าลุกยืนขึ้น ชี้ไปทางอวิ๋นซู่พลางเอ่ยทั้งขอบตาแดงก่ำว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้พูดหรือ หากเขายอมฟังคำข้าสักคำ เขาจะมาอยู่ในสภาพนี้หรือ”
เย่ว์หวาตกใจกับท่าทางที่ดุดันขึ้นมาของนาง เขารู้จักหญิงชรามานาน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางเดือดดาลเพียงนี้
แต่มาถูกหญิงชราตะคอกใส่เช่นนี้ เย่ว์หวาก็รู้สึกไม่สู้จะพอใจนัก
ในขณะที่เย่ว์หวาคิดหาทางจะตะคอกหญิงชรากลับนั้น ยิ่นอ๋องที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปากขึ้น “พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันเสียที! อยู่ต่อหน้าศัตรูตัวฉกาจยังจะทะเลาะกันเองเช่นนี้ พวกเจ้าอยากให้คนตระกูลจีหัวเราะเยาะเอาหรือ”
แม่เฒ่าสูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มโทสะกลับลงไปแล้วค่อยๆ นั่งลง
เย่ว์หวาเองก็เบือนหน้าหนี ไม่สนใจนางอีก
ยิ่นอ๋องนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “เจ้าสำนักบาดเจ็บถึงเพียงนี้ การประลองสองวันหลังจากนี้น่ากลัวว่าจะลงสนามไม่ได้แล้ว พวกเจ้ายังมีความคิดอะไรที่พอจะเอาชนะเฮ่อหลันชิงได้หรือไม่” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ทุกคนในห้องได้แต่เงียบงัน
ความบ้าคลั่งของเฮ่อหลันชิงพวกเขาได้เห็นกันหมดแล้ว หากให้บอกว่าในลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีใครพอจะเอาชนะนางได้ น่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
แต่ให้มีสิทธิ์ชนะเพียงน้อยนิด อวิ๋นซู่คงไม่คิดจะกลืนกินเม็ดพิษในตัวจักรพรรดิอสูรลงไปหรอก
ยิ่นอ๋องเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าน่าจะรู้ดี การประลองอีกสองวันต่อจากนี้ เกี่ยวพันโดยตรงกับเรื่องที่ว่าคนตระกูลจีจะสามารถชนะได้หรือไม่ พวกเขาชนะติดต่อกันไปแล้วสองตา หากชนะได้อีกตา ความพยายามตลอดหลายปีของเจ้าสำนักคงตกไปอยู่ในมือคนตระกูลจีแน่ พวกเจ้าอยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นหรือ”
ปรมาจารย์เวทคนใหม่กระแอมเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าสำนักน้อย เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกเราอยากเห็นหรือไม่ แต่อยู่ที่เฮ่อหลันชิงผู้นั้น… พวกเราเอาชนะนางไม่ได้”
ยิ่นอ๋องเอ่ยต่อว่า “จักรพรรดิอสูรไปแล้ว เขาไม่มีทางกลับไปอยู่ข้างกายบ้านตระกูลจีในเร็วๆ นี้ แค่เพียงเฮ่อหลันชิงคนเดียวเท่านั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะรับมือไม่ได้เชียวหรือ”
เย่ว์หวาส่ายหน้า
ปรมาจารย์เวทคนใหม่ก้มหน้าลง
ยิ่นอ๋องหันไปมองแม่เฒ่าที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าของนางดูเยือกเย็นกว่าอีกสองคนมากนัก “ผู้พิทักษ์เหลียน ใช่ว่าเจ้ามีวิธีรับมือเฮ่อหลันชิงหรือไม่”
ขนตาแม่เฒ่าสั่นไหว “ไม่มี”
ยิ่นอ๋องนิ่งมองนางพักหนึ่ง “ผู้พิทักษ์เหลียน เจ้าสำนักอยู่ในช่วงความเป็นความตายแล้ว หากเจ้ามีวิธี อย่าได้เก็บงำเอาไว้ไม่พูดออกมาเลย”
แม่เฒ่ากำไม้เท้าแน่น ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “ข้าน้อย…ไร้ซึ่งหนทางจริงๆ”
เย่ว์หวาถอนหายใจ เฮ่อหลันชิงผู้นี้ไม่มีการใช้ไม้อ่อน ตอนเล่นงานอวิ๋นจู บางทีอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้สึกที่อวิ๋นจูมีต่อยิ่นอ๋องได้ แต่เฮ่อหลันชิงเล่า เขาสามารถแปลงโฉมคนอื่นเป็นเฉียวเวยหรือว่าเฉียวเจิงได้ แต่ไม่ว่าจะแปลงโฉมอย่างไร ด้วยความสามารถของเฮ่อหลันชิง แค่ขยับปลายนิ้วก็คลี่คลายได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากถูกจักรพรรดิอสูรอ่านลูกไม้ออก เย่ว์หวาก็ไม่มั่นใจกับวิชาแปลงโฉมของตนเท่าเมื่อก่อนอีก
ยิ่นอ๋องกำมือแน่น มองบุรุษบนเตียงด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน แล้วหันไปมองห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้งหนึ่ง แม่ชีน้อยทั้งสามนอนหลับไปแล้ว…
ยิ่นอ๋องพบว่าตนไม่ได้เศร้าโศกเท่าที่คิดเอาไว้ และไม่ได้สนใจนักว่าบุรุษผู้นี้จะกลับมาแข็งแรงได้หรือไม่ แต่หากสิ่งที่ต้องแลกมากับการที่เขาไม่สามารถกลับมาแข็งแรงได้คือการเสียลัทธิศักดิ์สิทธิ์ให้กับจีหมิงซิว เขาก็รู้สึกว่าให้เขากลับมาแข็งแรงเสียยังดีกว่า…
แม่เฒ่าทอดถอนใจเอ่ยว่า “กลับกันไปเถิด ให้เจ้าสำนักได้พักผ่อนสักหน่อย”
พวกเขาทยอยกันออกไป แม่เฒ่าก็เตรียมจะออกไปด้วย แต่ชั่วขณะที่นางหมุนตัวไปนั้น อยู่ๆ อวิ๋นซู่ก็จับแขนเสื้อนางเอาไว้
แม่เฒ่ามองมือที่ดึงแขนเสื้อตนไว้ มือนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หากบอกว่าดึง สู้บอกว่าแตะจะดีกว่า ซ้ำยังแตะแค่เพียงเบาๆ แล้วตกลงไป
แม่เฒ่าหันมองอวิ๋นซู่ที่อยู่บนเตียงด้วยความตกใจ อวิ๋นซู่อ่อนล้าจนกระทั่งจะลืมตาก็ยังไม่ขึ้น มีเพียงริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงสองที
“ท่านพูดว่าอะไรหรือ” แม่เฒ่านั่งลงบนเตียงแล้วเอ่ยถาม
อวิ๋นซู่อ่อนล้าเกินไป ขยับได้เพียงริมฝีปาก แต่ยังคงไม่มีเสียงส่งออกมา
แม่เฒ่าเอาไม้เท้าวางลงข้างๆ โน้มตัวลง ยื่นหูไปให้ “ท่านอยากพูดอะไร”
ริมฝีปากที่แห้งแตกของอวิ๋นซู่แทบจะไม่ขยับ
แม่เฒ่าฟังเข้าใจแล้ว สีหน้านางพลันเปลี่ยน ลุกขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง “ไม่ได้นะ! ของสิ่งนั้นจะเอาออกมาไม่ได้! ท่านลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นมันเกือบเอาอวิ๋นจูถึงชีวิตน่ะ จักรพรรดิอสูรทุ่มเทไปเท่าไรกว่าจะสะกดมันไว้ได้ หากท่านปล่อยมันออกมาในเวลานี้ จะไม่ยิ่งเป็นการบอกกับทุกคนว่าคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เมื่อตอนนั้นไม่ได้ถูกจักรพรรดิอสูรสังหาร แต่ถูกมันสังหารหรอกหรือ!”