หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 61-1 การประลองครั้งสุดท้าย (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 61-1 การประลองครั้งสุดท้าย (1)
ตอนที่ 61-1 การประลองครั้งสุดท้าย (1)
ในทิวเขาที่เงียบสงบเพิ่งมีหิมะตกหนักไป ทั่วทั้งพื้นดินเป็นสีขาวเงินปกคลุมไปทั่ว
คนล่าสัตว์กลับมาจากป่าลึก มีคนล่ากระต่ายป่าได้ตัวหนึ่ง ขนของมันออกสีเทา แต่ดีที่มีไหวพริบ รูปร่างอ้วนท้วน เป็นก้อนกลมกิ๊กดูน่ารักยิ่งนัก
ถึงมันจะเป็นสัตว์ป่า แต่ดูเหมือนจะไม่กัดคน ระหว่างทางมานี่ก็น่ารักว่าง่ายราวกับเกิดมาเป็นสัตว์เลี้ยง
คนที่ล่ากระต่ายป่าได้มาถึงหน้ากระท่อมไม้หลังหนึ่ง จึงเคาะประตูเบาๆ
ประตูถูกเปิดออก
คนที่เปิดประตูเป็นสาวใช้เด็กอายุประมาณแปดเก้าขวบ
สาวใช้เด็กถามว่า “มีอะไรหรือ”
เขาเอากระต่ายในมือส่งให้สาวใช้เด็ก
สาวใช้เด็กมองกระต่ายตัวนั้นด้วยท่าทีลังเล ไม่ได้ยื่นมือไปรับ ตอนนั้นในห้องมีแม่นางน้อยที่ขาวผ่องราวกับหยกสลักโผล่มาจากในห้อง
แม่นางน้อยอายุประมาณห้าขวบ ผิวพรรณขาวผ่อง เครื่องหน้าทั้งห้างดงาม ดวงตาคู่สวยราวกับตามังกร สองข้างแก้มแดงระเรื่อ ราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่มีชีวิต
แม่นางน้อยใส่เสื้อบุนวมตัวสั้นสีชมพูดสดใส หน้าตาดูองอาจห้าวหาญ
แม่นางน้อยเห็นกระต่ายในมืออีกฝ่าย ตากลมโตกะพริบปริบๆ
คนผู้นั้นยื่นกระต่ายให้นางด้วยความดีใจ
นางรับกระต่ายไป ยิ้มร่าพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก!”
คนผู้นั้นทำความเคารพแล้วอมยิ้มจากไป
แม่นางน้อยลูบกระต่ายน้อยตัวนั้นอย่างไม่อยากวาง “พี่เหลียน กระต่ายกินหูหลัวปัวใช่หรือไม่ เจ้าไปเอามาสักสองสามต้นที”
สาวใช้เด็กเอ่ยด้วยความลังเล “คุณหนู เจ้านี่กัดคนนะเจ้าคะ”
แม่นางน้อยไม่คิดเช่นนั้น “ข้ากลัวมันกัดหรือ ถ้ากัดข้าได้ นับว่ามันเก่ง!”
พอสิ้นเสียง กระต่ายตัวนั้นท่าทางประหนึ่งฟังภาษามนุษย์เข้าใจ อ้าปากที่มีมันซี่น้อยของมันแล้วกัดเข้าที่หัวไหล่แม่นางน้อยให้ทีหนึ่ง
“โอ้ย” สาวใช้ตกใจจนหน้าถอดสี ปัดกระต่ายตกลงกับพื้น
กระต่ายพอได้รับอิสระก็ยกเท้าวิ่งไปหนีไปตามทางที่มา
แม่นางน้อยรีบตามไป
สาวใช้เด็กตกใจจนร้องลั่น “คุณหนู! คุณหนูท่านจะไปไหน กลับมาก่อนเจ้าค่ะ!”
แม่นางน้อยยิ่งวิ่งยิ่งไปไกล
สาวใช้เด็กลูบแขนที่สั่นสะท้านของตน กลับห้องไปหาเสื้อคลุมกันลมให้แม่นางน้อย แล้ววิ่งตามทางที่กระต่ายวิ่งหนีไปบ้าง
กระต่ายวิ่งเร็วยิ่งนัก โชคดีที่แม่นางน้อยก็ไม่ใช่คนวิ่งช้า วิ่งจี๋ตามไปทันที
แม่นางน้อยกระโดดโผเข้าหามันทั้งตัว! โ
อีกนิดเดียวจะถึงตัวกระต่ายน้อยแล้ว แต่เจ้ากระต่ายกลับกลิ้งตัวเบี่ยงหลบไปได้อย่างเจ้าเล่ห์
แม่นางน้อยถลึงตาโตด้วยความไม่พอใจ วิ่งไล่มันต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าตนได้ไล่ตามจนเข้ามาในป่าลึกแล้ว
ตอนแรกนางยังพอได้ยินเสียงร้องเรียกของพี่เหลียน แต่พอนานเข้านางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
ข้างหูเหลือเพียงเสียงลมพัดดังหวีดหวิว
“กา… กา….”
เหนือศีรษะมีเสียงร้องของอีกาหลายตัวดังขึ้น
แม่นางน้อยเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ นางยังไม่ถึงวัยที่รู้ถึงอันตราย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากได้ยินเสียงอีการ้อง นางก็ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง
เจ้ากระต่ายตัวนั้นไม่รู้หายไปถึงไหนแล้ว
แม่นางน้อยหลงทางเสียแล้ว
นางเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
บนท้องฟ้าเริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมา
นางมองเห็นถ้ำแห่งหนึ่ง
นางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีหิมะปลิวว่อน สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินไปทางปากถ้ำแห่งนั้น
ถ้ำนั้นใหญ่มาก มืดสนิท มองเข้าไปไม่เห็นปลายถ้ำ
นางเพิ่งเดินไปถึงปากถ้ำ ก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่น่าสะอิดสะเอียน
แม่นางน้อยรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที นางหยุดเดิน มองเข้าไปในถ้ำด้วยความหวาดกลัว แล้วจึงหมุนตัวจะเดินออกไป
แต่ทันใดนั้น ร่างในชุดดำที่เลือดท่วมตัวก็กระโจนเข้าใส่นางจนนางล้มลงกับพื้น!
“กรี๊ด…”
อวิ๋นจูทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่ง!
ความเคลื่อนไหวที่รุนแรง ทำให้ฮองเฮาเยี่ยหลัวที่ฟ้าผ่ายังไม่ตื่น ก็ยังต้องสะดุ้งตื่น
ฮองเฮาเยี่ยหลัวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยกมือลูบแขนอวิ๋นจูแล้วเอ่ยถามเสียงแตกพร่าว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านแม่”
อวิ๋นจูหอบหายใจ ยังคงตกใจไม่หาย “ไม่มีอะไร แค่ฝันร้ายน่ะ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเอามือปิดปากหาว “เจ้าฝันว่าอะไรหรือ”
เวลานี้อวิ๋นจูอารมณ์สงบนิ่งขึ้นแล้ว จับแขนคนข้างกายกลับเข้าผ้าห่มแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าก็จำไม่ได้แล้ว เจ้านอนเถิด”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพึมพำสองประโยค ก่อนจะหลับตาแล้วหลับสนิทไปอีกครั้ง
อวิ๋นจูกลับไม่อาจข่มตาหลับได้อีก
ความทรงจำในช่วงเวลานั้นจะว่าไปก็นานแสนนานจนแทบจะไม่อาจย้อนนึกถึงได้แล้ว มีเพียงในฝันเท่านั้นที่พอจะเรียกความจำของเหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับมาได้ แต่พอรู้สึกตัวตื่น สิ่งที่จำได้แม่นยำที่สุดกลับไม่ใช่เหตุการณ์ในฝันร้าย แต่เป็นความรู้สึกหวาดผวาที่ยังหลงเหลืออยู่ในความรู้สึก
นางลืมไปนานแล้วว่าตอนนั้นเหตุการณ์เป็นเช่นไร แต่กลับยังนึกหวาดกลัวทุกครั้งที่นึกถึง
อวิ๋นจูเดินออกมาใต้ชายคา ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้า นางสงบนิ่งขึ้นมาแล้ว
“ตายจริง ดึกดื่นค่อนคืนไม่หลับไม่นอนหรือ”
ข้างกายมีเสียงหยอกเย้าของเฮ่อหลันชิงดังมา
ต่อให้นางใช้น้ำเสียงหยอกเย้า แต่เนื้อเสียงของนางน่าฟังมากจริงๆ น้ำเสียงเจือความแหบเล็กน้อย เมื่ออยู่ยามราตรี ยิ่งฟังดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด
อวิ๋นจูค่อยๆ หันไปมองนาง เห็นในมือนางถือหมั่นโถวเย็นๆ อยู่ลูกหนึ่ง คอยกัดกินเป็นระยะๆ “กินไม่อิ่มหรือ”
เฮ่อหลันชิงหัวเราะเสียงเบา “อิ่มแล้ว แล้วก็หิวอีก”
อวิ๋นจูกำลังจะถามว่าเหตุใดถึงหิวเร็วเพียงนี้ แต่จู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรได้ จึงปิดปากฉับอย่างรู้งาน
เฮ่อหลันชิงเดินเข้ามาอย่างน่าตี “เจ้านอนหลับยากเพียงนี้ ข้าจะแนะวิธีให้แล้วกัน”
อวิ๋นจูมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฮ่อหลันชิงยกมุมปากขึ้น “เจ้าขาดบุรุษ”
อวิ๋นจู “…” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
…
ฟ้าเริ่มสาง เฉียวเวยรู้สึกตัวตื่นเพราะความหิว จึงไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกินก่อน
หลังจากหาอะไรรองท้องได้แล้วก็คั่วถั่วคั่วน้ำตาลถาดเล็กไปให้ราชันอสูรที่ปลีกวิเวกรักษาตัวอยู่ ระหว่างทางกลับ นางยังตั้งใจไปเยี่ยมจีหมิงซิวด้วย
ที่บอกว่าเยี่ยม เอาเข้าจริงก็เพียงแค่ไปยืนอยู่หน้าห้องลับ การฝึกของเขาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วยังต้องฝึกอีกนานเท่าไรถึงจะออกมาได้ นางไม่รู้เลย
เพียงแต่เมื่อวานตอนเช้า อวิ๋นจูเอาดอกบัวหิมะกลับมาจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ อวิ๋นจูไม่เก็บไว้เองเลยสักดอก นางเอามาให้จีหมิงซิวทั้งหมด
คิดดูแล้วหากมีดอกบัวหิมะมากเพียงนี้ เขาน่าจะ… ออกมาได้เร็วขึ้นสักวันสองวันกระมัง
วันนี้เป็นวันประลองกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เฉียวเวยไม่กล้ารั้งอยู่นาน ยืนอยู่หน้าประตูไม่เท่าไรก็ออกไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขายังไม่หายดี จึงอยู่รักษาตัวที่จวนอ๋องต่อ อาต๋าเอ่อร์กับสือชีก็รั้งอยู่ด้วย มีแค่ไห่สือซานที่ตามนางไป
ทุกคนถึงจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องกับอวิ๋นซู่ แต่กลับรู้สึกได้ว่าจักรพรรดิอสูรได้ไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว ขอเพียงไม่ได้เม็ดพิษในตัวจักรพรรดิอสูรไป อวิ๋นซู่ก็ไม่ใช่คู่ฝีมือของเฮ่อหลันชิง
เพียงแต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ก่อนออกเดินทาง เฉียวเวยได้รับจดหมายนิรนามสองฉบับ ทั้งสองฉบับเขียนว่า “อันตราย อย่าไป” หนึ่งในนั้นดูออกชัดว่าเป็นลายมือของยิ่นอ๋อง
เฉียวเวยส่งเสียงจึ๊ทีหนึ่ง “แค่นี้ก็คิดจะขู่ให้พวกเราหนีไปได้หรือ ไม่ใสซื่อไปหน่อยหรือ”
เฉียวเวยมั่นใจมากกับการประลองในวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงที่อวิ๋นซู่ไม่ได้ดูดกลืนเม็ดพิษของจักรพรรดิอสูรเลย ต่อให้ได้ดูดกลืนเม็ดพิษลงไป ด้วยความสามารถของท่านแม่นาง บวกกับมันสมองของคนผู้นั้น ก็ไม่แน่ว่าจะพ่ายแพ้