หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 61-2 การประลองครั้งสุดท้าย (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 61-2 การประลองครั้งสุดท้าย (1)
ตอนที่ 61-2 การประลองครั้งสุดท้าย (1)
ต้องชนะสามในห้ายก พวกนางชนะมาสองยกแล้ว ขอเพียงคว้าชัยชนะในวันนี้มาได้ เจ้าสารเลวอวิ๋นซู่นั่นก็ควรคืนลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาแต่โดยดี
ดังนั้นยิ่นอ๋องจะมาวางหลุมพรางเอาช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร
อย่าว่าแต่เฉียวเวยคิดเช่นนี้เลย กระทั่งอวิ๋นจูกับเฮ่อหลันชิงก็ไม่คิดว่าการประลองครั้งนี้จะมีปัญหาอะไร
เรื่องจดหมายที่ส่งมาจึงไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ
รถม้าเคลื่อนตัวไปเร็วมาก ช่วงสายคณะของพวกเขาก็ไปถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์
จากนั้นทุกคนก็ลงจากรถม้า เดินไปทางแท่นบวงสรวง
แท่นบวงสรวงยังคงเป็นแท่นบวงสรวงอันเก่า แต่บรรยากาศกลับดูแปลกไป แต่จะแปลกไปที่ตรงใด เฉียวเวยก็ตอบไม่ถูก
เฮ่อหลันชิงกับอวิ๋นจูขึ้นไปที่อัฒจันทร์เหนือ ไห่สือซานกับองครักษ์เกราะทมิฬหลายคนตามขึ้นมา
ยอดหญิงงามรออยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งเหนือก่อนแล้ว
เกียรติของยิ่นอ๋องเรียกได้ว่าถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าเลยทีเดียว ถ้าให้พูดก็คือบุตรสาวของตัวเขาเองที่ดันไปช่วยคนนอกเข้าเสียได้ ทำให้คนทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์พากันเห็นเขาเป็นตัวตลก!
แต่เวลานี้ยิ่นอ๋องกับไม่มีเวลาสนใจยอดหญิงงาม
ยิ่นอ๋องเดินไปหาเฉียวเวยด้วยสีหน้าดุดัน “เจ้าไม่ได้รับจดหมายของข้าหรือ”
เฉียวเวยร้องอ้อคำหนึ่ง “เจ้าหมายถึงกระดาษแผ่นนั้นน่ะหรือ ได้รับแล้ว”
“เจ้ายังจะมาอีก?” ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “เหตุใดข้าจะไม่มาเล่า”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงดุ “เฮ่อหลันชิงเป็นมารดาของเจ้า ข้าถึงได้เตือนพวกเจ้าหรอกนะ!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “ดังนั้นข้าควรจะ…ขอบคุณเจ้า?”
ยิ่นอ๋องเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉียวซื่อ ข้าไม่ได้กำลังล้อเล่นกับเจ้า และไม่ได้กำลังขู่ให้เจ้ากลัว คู่ต่อสู้เจ้าในวันนี้ เจ้าสู้ไม่ได้แน่ หากยังอยากมีชีวิตรอด ก็รีบกลับไปเสียแต่เดี๋ยวนี้”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ในโลกล้านี้ไม่มีคนที่ท่านแม่ข้าเอาชนะไม่ได้!”
ยิ่นอ๋องสูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าปอด จ้องตากับเฉียวเวยอย่างไม่มีหลบเลี่ยง “หากเขา…ไม่ใช่คนแต่แรกเล่า”
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “คนเช่นเจ้านี่น่าขันหรือไม่นะ เพื่อชัยชนะแล้วพวกเจ้าไม่เลือกวิธีการ แล้วยังคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดเจ้าอีกหรือ หรือเจ้าคิดว่าเจ้าวางแผนที่สูงส่งแยบคายมาแล้ว แค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถหลอกล่อพวกเราให้กลับไปได้แล้วงั้นหรือ”
ยิ่นอ๋องกำมือแน่น “เฉียวซื่อ!” เหตุใดทุกครั้งที่ข้าทุ่มเทช่วยเจ้า เจ้าถึงไม่เคยรับน้ำใจจากข้าเลย”
สายตาของเฉียวเวยเปลี่ยนเป็นเรียบเย็นขึ้น “หากเจ้าคิดจะช่วยข้า คงไม่ส่งคนไปจับตัวบุตรข้ามาหรอก! หลี่ยิ่น บุตรของเจ้าตกน้ำ เป็นท่านแม่ข้าที่ช่วยพวกนางขึ้นมา! ข้ากับท่านแม่ข้าปฏิบัติต่อบุตรเจ้าเช่นไร เจ้าปฏิบัติต่อบุตรของข้าเช่นไร เจ้ารู้ดีแก่ใจ!”
ยิ่นอ๋องกวาดมองไปทั่วๆ กดเสียงต่ำลงเอ่ยว่า “หากไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะลอบส่งข่าวหาเจ้าหรือ หากไม่ใช่เพราะเฮ่อหลันชิงเคยช่วยบุตรสาวของข้าไว้ ข้าจะสนใจหรือว่านางจะเป็นหรือตาย”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ้อ ทีอย่างนี้ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ท่านแม่ข้าแล้ว แต่มาเห็นแก่บุญคุณที่ท่านแม่ข้าเคยช่วยบุตรสาวเจ้าไว้แล้วงั้นสิ”
ยิ่นอ๋องโกรธจนเจ็บหน้าอกไปหมด “เฉียวซื่อ! ข้าไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับเจ้า…”
เฉียวเวยตัดบทเขา “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าเล่นลิ้นอีกเลย กลับไปนั่งที่อัฒจันทร์ของเจ้าเถิด แล้วดื่มด่ำกับรสชาติของเจ้าสำนักน้อยช่วงสุดท้ายของเจ้าให้ดี เพราะเมื่อผ่านวันนี้ไป เจ้าสำนักน้อยคงจะเปลี่ยนคนเป็นหมิงซิวแล้ว”
ยิ่นอ๋องเดือดจัด “เฉียวซื่อ!”
เฉียวเวยไม่สนใจเขาอีก เดินอ้อมเขาก้าวขึ้นอัฒจันทร์ไป
สายตาของยิ่นอ๋องหยุดมองที่เฉียวเวย แล้วบังเอิญกวาดตาไปเห็นยอดหญิงงามที่อยู่ตรงรั้วระเบียง
ยอดหญิงงามหันมาส่งยิ้มอย่างมีนัยยะมาให้เขา
ใจเขาพลันสะอึก รู้สึกเพียงรูตูดยังพลอยขมิบไปด้วย
…
บนอัฒจันทร์ทางใต้ กงซุนฉางหลีไม่ได้มาที่นี่ด้วย แต่แม่ฒ่ามาถึงแล้ว นั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนร่วมกับเย่ว์หวารวมถึงปรมาจารย์เวทคนใหม่ ทุกคนเห็นยิ่นอ๋องกับเฉียวเวยพูดคุยกัน ดูจากสีหน้าของเขา คล้ายว่าถูกทำให้โมโหไม่น้อย
เย่ว์หวาแค่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความดูแคลน
แม่เฒ่ามองไปทางเขาด้วยสายตานิ่งขรึม
เย่ว์หวาเก็บสีหน้า ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมา ระบายยิ้มอย่างนึกสนุก “ละครสนุกๆ เริ่มขึ้นแล้ว พวกเรามาลองเดากันดูดีไหมว่าวันนี้พวกเขาจะตายกันกี่คน”
แม่เฒ่ากำไม้เท้าแน่น
เฉียวเวยปรายสายตาไปมองอัฒจันทร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “อวิ๋นซู่มาหรือยัง ท่านยาย?” โ
อวิ๋นจูส่ายน้า “ยัง”
เฉียวเวยถามด้วยความไม่เข้าใจ “นี่ถึงช่วงตัดสินแพ้ชนะแล้ว เขาคงไม่มุดหัวอยู่ในกระดองไม่ยอมออกมาปรากฏตัวหรอกกระมัง”
โดยหลักการแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น ด้วยนิสัยของอวิ๋นซู่เขาชอบเอาชนะที่สุดแล้ว เขาไม่มีทางคอยมองลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปตกอยู่ในมือของเฮ่อหลันชิงเฉยๆ แน่ ต่อให้เขาสู้ด้วยวรยุทธ์แล้วสู้ไม่ได้ ต้องวัดที่แผนการเขาก็ยอมเดิมพันอยู่ดี
เช่นนี้แล้วเหตุใดต้องปรากฏตัวด้วยเล่า
อวิ๋นจูขมวดคิ้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
นางเรียกเฮ่อหลันชิงที่กำลังจะลงสนามเอาไว้ “เจ้าระวังหน่อย ข้ารู้สึกว่าวันนี้ไม่สงบนิ่งอย่างที่เห็นแน่นอน”
เฮ่อหลันชิงระบายยิ้ม “ไม่สงบเงียบอย่างที่เห็นแน่นอน ลิทธิศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะสิ้นท่าแล้ว”
ตัวนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ ดูประหนึ่งแสงไฟที่ทะยานลงไปยังลานประลองอย่างว่องไว
ความสามารถขั้นนี้ ทำให้ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์พากันตะลึงค้างกันได้แล้ว
มือตีกลองหันไปมองนาง กระทั่งลืมตีกลองไปเสียสนิท
เป็นแม่เฒ่าที่กระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง มือตีกลองถึงได้คล้ายตื่นจากฝัน เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ออกแรงตีกลองศึกทันที
เสียงกลองดังขึ้น เฮ่อหลันชิงแผ่รัศมีออกมาทั่วลาน
ลมเหนือที่พัดมา กระทั่งทางลมก็ยังพลันเปลี่ยน ต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวเริ่มหมุนวนไปรอบๆ แท่นบวงทรวง
บนอัฒจันทร์ทางใต้ คณะของยิ่นอ๋องทนพลังปราณของนางไม่ไหว ทยอยกระอักเลือดกันออกมา
พวกเขายังเป็นเช่นนี้ นักรบมรณะกับลูกศิษย์ที่วรยุทธ์ต่ำเตี้ยกว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง พากันล้มลงกับพื้นทั้งที่อยู่ด้านบนและด้านล่างอัฒจันทร์
ในตอนที่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะทนไม่ไหวแล้วนั้น ในอากาศจู่ๆ ก็มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งลอยมา
เฉียวเวยเป็นสตรีมีครรภ์ จึงเป็นคนแรกที่ได้กลิ่นคาวเลือดนี้ นางที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแพ้ท้อง ถึงกับทนไม่ไหว ต้องจับกำแพงโก่งคออาเจียน
ไม่เท่าไรอวิ๋นจูก็ได้กลิ่นนี้เช่นกัน สีหน้านางพลันถอดสี ตัวสั่นไหวเล็กน้อย
รอบด้านพลันเงียบสงัด
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง…
เป็นเสียงของเหลวหยดกระทบพื้น
ทุกคนมองตามเสียงไป ก็เห็นใครคนหนึ่ง….ที่เลือดอาบเต็มตัว? ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ที่บอกว่าเป็นคน เพราะเขาเดินได้เหมือนคน แต่เขามีใบหูที่แหลมยาวกว่าคนทั่วไป รูปล่างก็เล็กเตี้ยกว่าคนทั่วไป ส่วนแขนกลับดูยาวกว่าปกติ
บนตัวเขามีเลือดหยดเต็มตัว กระทั่งดวงตาก็คล้ายเป็นสีเลือดไปทั้งหมด
เขาเดินขึ้นมาบนแท่นประลอง ศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่เกือบถูกพลังปราณของเฮ่อหลันชิงเล่นงาน พากันสูดหายใจยาว! แต่ยังไม่ทันสูดเข้าไปได้เต็มปอด ก็เกือบจะสิ้นสติไปด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นบางอย่างที่เลือดอาบทั่วตัว
อวิ๋นจูมองเขาด้วยความตื่นตะลึง
เขาก็มองเห็นอวิ๋นจูเช่นกัน
เขาเผยสีหน้าหิวกระหาย
ในหัวอวิ๋นจูรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาทันที คล้ายมีปลายแหลมบางอย่างหมายจะพุ่งทะลุกะโหลกนางออกมา