หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 65-1 สังหารมารโลหิต (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 65-1 สังหารมารโลหิต (2)
ตอนที่ 65-1 สังหารมารโลหิต (2)
มารโลหิตหลังจากหนีออกจากแท่นบวงสรวงแล้วก็หายตัวไปท่ามกลางทิวเขา
หากเป็นคนทั่วไปต่อสู้กับเขา กลับจะกลายเป็นตัวเสริมความแข็งแกร่งให้เขา ดังนั้นจีหมิงซิวจึงไล่ตามมารโลหิตไปคนเดียว ไม่ได้ให้องครักษ์เกราะทมิฬตามมาด้วย
ทิวเขารอบทิศของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ถึงแม้จะไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนทิวเขาหมั่งฮวง แต่กลับเป็นเขาหินกับต้นไม้ตั้งซ่อนทับกันไปเป็นชั้นๆ
วิชาตัวเบาของมารโลหิตเดิมทีก็อยู่เหนือคนรุ่นหลังอยู่แล้ว แต่ก็จนใจที่ถูกกระบี่โหราจารย์ทำให้บาดเจ็บ ไม่เพียงสูญเสียแขนข้างหนึ่งไป แต่ปราณหลักยังเสียหายหนัก คิดจะสลัดจีหมิงซิวให้หลุดนั้นจึงเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่จีหมิงซิวจะไล่ตามอีกฝ่ายให้ทันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งกำจัดพิษฝ่ามือเก้าสุริยันออกไป วรยุทธ์ยังไม่กลับมาเต็มที่ ส่วนขุมกำลังภายในที่ถูกสะกดไว้อยู่ในตัว จะเอาออกมาใช้ก็ยังไม่ถนัดมือนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองจึงวิ่งไล่กันเข้าไปในทิวเขาส่วนลึก
มารโลหิตเกิดอยู่ในทิวเขา ซ้ำยังโตมากับทิวเขา ต่อให้ถูกกักขังไว้นานหลายปีเพียงนี้ แต่เมื่อได้กลับมาอยู่ในพื้นที่ของตนก็ยังคงคล่องแคล่วราวกับปลาได้น้ำ
พอขาเขาเปลี่ยนทิศ ก็หักเลี้ยวไปอีกทาง
จีหมิงซิวไล่ตามไปจนเจอทางแยก เขามองไม่เห็นร่างของมารโลหิตแล้ว
แต่มารโลหิตมีแผลติดตัว กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งนั้น ฝนตกลงมาห่าหนึ่งยังไม่แน่ว่าจะชะล้างจนสะอาดหมดจดได้
จีหมิงซิวตามกลิ่นคาวเลือดในอากาศ ไล่ตามไปทางตะวันออกเรื่อยๆ
ไม่รู้ตามอยู่นานเท่าไร ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
ความมืดทำให้คนซ่อนตัวได้ง่าย โ
ที่ยิ่งร้ายไปกว่านั้นก็คือ มีหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
เกล็ดหิมะชิ้นใหญ่ราวกับขนหงส์ ปลิวลงมาอย่างเงียบเชียบ
ทัศนวิสัย….ถูกบดบังไปจนหมดสิ้น ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มารโลหิตไม่ใช่คนโง่เง่าไร้ปัญญา หลังจากเดาว่าจีหมิงซิวสามารถไล่ตามกลิ่นตนมาได้ เขาก็ตั้งใจฆ่าสัตว์ป่าไปหลายตัวแล้วโยนเอาไว้ตามจุดต่างๆ
กลิ่นคาวเลือดพวยพุ่งมาจากทุกทิศทาง จังหวะนั้นยากที่คนจะแยกแยะจริงๆ
จีหมิงซิวชะงักฝีเท้า หยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง คอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่เงียบๆ
มารโลหิตมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศ หนำซ้ำเมื่ออยู่ท่ามกลางหิมะก็ไม่ง่ายที่จะทิ้งรอยเท้าเอาไว้อีก แต่ก็เพราะเหตุนี้ ตอนเขาเดินผ่านกิ่งไม้ จึงเกิดเป็นเสียงเบาๆ ดังลอยมา
เป๊าะ!
กิ่งไม้แห้งทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้หักเสียแล้ว
จีหมิงซิวเร่งฝีเท้าตามไป หยิบกิ่งไม้ที่ตกอยู่บนพื้นหิมะขึ้นมา บนกิ่งไม้มีรอยเลือดที่แทบจะมองไม่เห็นเปื้อนอยู่จริงๆ
ดูท่ามารโลหิตคงจะอยู่ไม่ไกลจากนี้
เขาเป็นยอดฝีมือในอาณาเขตนี้ กระทั่งใบหน้าหนึ่งใบก็ยังสามารถใช้เป็นแรงส่งได้ แต่เวลานี้กิ่งไม้ที่หนาเท่านิ้วหนึ่งนิ้วยังสามารถเหยียบให้หักได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่อาจควบคุมแรงตัวเองได้ดีแล้ว
เขาบาดเจ็บหนักมาก หากยังหนีต่อไปก็มีโอกาสที่จะถูกพบได้ง่าย ทางที่ดีที่สุดคือต้องไปซ่อนตัวไว้
เกล็ดหิมะตกลงมาไม่หยุด ซ้ำยังไม่มีทีท่าจะหยุด มีแต่จะยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
กลิ่นเลือดในอากาศค่อยๆ ถูกกลิ่นสะอาดสะอ้านของเกล็ดหิมะเข้ามาแทนที่ ลมหนาวพัดผ่านมา จมูกจึงยากจะได้กลิ่นมารโลหิตอีก
จีหมิงซิวจึงควักไข่มุกจันทร์กระจ่างออกมา อาศัยแสงสว่างจากไข่มุกค้นหาพื้นที่บริเวณนี้โดยละเอียด
จักรพรรดิอสูรอยู่ในที่ลับ เขาอยู่ในที่แจ้ง ซึ่งนี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว เพราะหากมารโลหิตพุ่งออกมาสังหารเขา เช่นนั้นเขาก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาไปทั่วอีก
น่าเสียดายที่มารโลหิตสุขุมความที่เขาคิดเอาไว้
เขาอดทนได้ แต่จีหมิงซิวกลับไม่มีเวลาให้เสียมากเพียงนั้น
เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิท ผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วยามฟ้าก็น่าจะสว่างแล้ว เขาต้องรีบเอาเม็ดโลหิตในตัวมารโลหิตไปให้เฉียวเวยก่อนฟ้าสว่าง
ภรรยาของเขา บุตรของเขากำลังรอเขาอยู่
“โบร๋ว….”
ข้างในป่าลึก มีเสียงหอนของฝูงหมาป่าดังลอยมา
จีหมิงซิวสายตาพลันขยับ ฟาดไอกระบี่คมกริบไปทางหมาป่าฝูงนั้น
แคร่ก!
ทิศใต้ทางด้านหลังมีเสียงความเคลื่อนไหวดังมา
จีหมิงซิวพลันหมุนตัวเดินไปทางนั้นหลายก้าว
ครั้งนี้กลับไม่ใช่เสียงที่เกิดจากมารโลหิต แต่เป็นเสียงกวางตัวเล็กตัวหนึ่ง
กวางตัวน้อยไม่เคยเห็นคนมาก่อน มันเบิกตาวาวใสซื่อมองมาที่จีหมิงซิว
จีหมิงซิวถอนหายใจเบาๆ พลางเก็บกระบี่ “เจ้าไปเถิด หากยังไม่ไปข้าจะจับเจ้ากลับไปตุ๋นเป็นอาหารให้บุตรสาวข้ากิน”
เจ้ากวางน้อยไม่รู้ว่าฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ สรุปก็คือมันวิ่งหนีไปด้วยความตกใจ
จีหมิงซิวถึงแม้จะตามหามารโลหิตไม่เจอ แต่กลับไปพบปากถ้ำแห่งหนึ่งเข้า
ในป่าลึกที่มีอายุเก่าแก่ สามารถพบเห็นปากถ้ำได้ทุกที่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร แต่หากในถ้ำนั้นมีโครงกระดูกอยู่ เช่นนั้นก็ออกจะน่าประหลาดอยู่เล็กน้อย
จีหมิงซิวเดินเข้าไป ใช้ไข่มุกจันทร์กระจ่างส่องสว่าง ไม่เท่าไรก็ได้รู้ว่าโครงกระดูกเหล่านั้นล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น โครงกระดูกทั้งหลายที่พบเห็นในนั้น หลังจากลองสำรวจสภาพโครงกระดูกดูแล้ว ก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นของสตรี
ถึงจะไม่รู้ว่าพวกนางเป็นใคร ตายมานานเท่าไรแล้ว แต่ในป่าลึกเก่าแก่เช่นนี้ก็ดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะมีสตรีเดินหลงจนหายไปได้
จีหมิงซิวเดินเข้าไปในถ้ำ
ปากถ้ำไม่ได้ใหญ่ แต่หลังจากเดินเข้าไปไม่กี่ก้าว ก็กลายเป็นพื้นที่ที่โล่งกว้างอย่างยิ่ง
นี่น่าจะเป็นถ้ำที่แท้จริง
ที่น่าแปลกก็คือ ในถ้ำแห่งนี้เหมือนเคยมีคนพักอาศัยมาก่อน บนกำแพงถึงกับมีไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่หลายเม็ดฝังเอาไว้ หนึ่งในนั้นมีเม็ดหนึ่งที่น่าจะถูกนกตัวใหญ่สักตัวจิกแตกจนเป็นชิ้นเล็กๆ
ที่นี่น่าจะไม่มีใครอยู่มานานแล้ว บนกำแพงมีใยแมงมุมอยู่เต็มไปหมด บนพื้นมีตู้กับหีบหลายใบล้มระเนระนาดอยู่ รวมถึงเครื่องเรือนที่เก่าจนผุแทบไม่เหลือชิ้นดีด้วย
จีหมิงซิวเปิดหีบใบหนึ่งดู ข้างในเป็นเสื้อผ้าที่ขึ้นราหมดแล้ว จีหมิงซิวเทเสื้อผ้าออกมา สิ่งที่ออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าคือยันต์คุ้มภัยสีทองแผ่นหนึ่งด้วย
ยันต์คุ้มภัยอันนี้ยังเย็บขึ้นจากด้ายทองคำ จึงเป็นเหตุให้ไม่เสื่อมสลาย
จีหมิงซิวหยิบยันต์คุ้มภัยขึ้นมาพลิกดูไปมา จึงเห็นว่าด้านหลังยันต์นั้นมีดอกหงเหลียนที่สีซีดไปแล้วอยู่ดอกหนึ่ง
ดอกหงเหลียนเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
หรือว่า… เจ้าของถ้ำแห่งนี้เคยเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งหรือหลายคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์
เช่นนี้ก็น่าแปลก เสื้อผ้าที่นี่มีแต่ของบุรุษ แต่ซากศพที่ตายอยู่ตรงปากถ้ำล้วนเป็นของสตรีทั้งสิ้น
จีหมิงซิวคิดไม่ตก จึงไม่คิดมันเสียเลย
เขาหันไปมองตรงกำแพงถ้ำ จึงบังเอิญเห็นว่าบนกำแพงมีการสลักเป็นตัวอักษร
ด้วยช่วงเวลาที่ผ่านมานาน บนตัวอักษรจึงมีตะไคร้ขึ้นอยู่เต็มไปหมด
จีหมิงซิวใช้กริชขูดเอาตะไคร้ที่ขึ้นอยู่หนาออกไป พอได้เพ่งมองให้ดีอีกทีก็ถึงกับตะลึงข้างไป
ตัวอักษรที่เขียนอยู่เต็มกำแพง ทั้งหมดสลักเอาไว้อยู่ชื่อเดียว…. อวิ๋นจู
…