หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 66-1 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 66-1 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (1)
ตอนที่ 66-1 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (1)
“ท่านยาย ท่านยาย ท่านยาย!”
อวิ๋นจูสะลึมสะลือ ถูกคนเขย่าปลุกให้ตื่น นางลืมตาขึ้น สีหน้ามึนงงเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นโดยพลัน “เสี่ยวเวยฟื้นแล้วใช่หรือไม่”
ยอดหญิงงาม “จั๋วหม่าน้อยยังไม่ฟื้น ข้าเห็นท่านหลับไม่ค่อยสนิท เลยปลุกท่านลุกขึ้นมากินอะไรหน่อย”
อวิ๋นจูลูบลำคอที่เหนียวเหนอะน่ะของตน “ข้าหลับไปได้อย่างไร”
“ท่านเหงื่อออกเลยหรือ ใช่ว่าฝันร้ายหรือไม่” ยอดหญิงงามหยิบผ้าเช็ดหน้าแห้งสะอาดผืนหนึ่งมาเช็ดเหงื่อที่คอให้อวิ๋นจูด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ท่าทางนางคล่องแคล่ว หากไม่มองลำคอที่ถูกนางถูจนบวมแดงก็คงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
คอของอวิ๋นจูปวดแสบปวดร้อน
ยอดหญิงงามเช็ดเสร็จก็เอ่ยกลั้วหัวเราะกับนางว่า “ข้าย่างเนื้อแพะไว้นิดหน่อย เดี๋ยวจะไปหั่นมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
ไห่สือซานที่นั่งย่างเนื้อท่ามกลางลมหนาวอยู่เงียบๆ (ถูกบังคับ) “…”
เนื้อนี้ใครเป็นคนย่างกัน ใครกัน!
อวิ๋นจูส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่หิว”
ยอดหญิงงามถามว่า “เมื่อครู่ท่านฝันว่าอะไรหรือ”
ครั้งนี้อวิ๋นจูถูกปลุกให้ตื่น ตื่นมาจึงพอจะจำความฝันได้บางส่วน นางบอกว่า “ข้าเหมือนฝันเห็นมารโลหิต”
ยอดหญิงงามถามด้วยความงุนงง “ท่านฝันเห็นเขาว่าอะไรหรือ”
อวิ๋นจูใช้ความคิด “เหมือว่าข้าจะรู้จักเขามาก่อน”
เรือนของอวิ๋นซู่ ภายในห้องที่ห่างไกลและเงียบสงัด แสงตะเกียงราวกับเม็ดถั่ว
“เจ้ากำลังบอกว่า…อวิ๋นจูเคยพบมารโลหิตเมื่อนานมาแล้วหรือ” เย่ว์หวามองแม่เฒ่าอย่างไม่อยากเชื่อ
ยิ่นอ๋องกับปรมาจารย์เวทคนใหม่ก็มองไปที่นางเช่นกัน ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะได้ยินจากปากนางว่ามีสัตว์ประหลาดที่ถูกสะกดไว้อยู่ แต่กลับไม่รู้ถึงที่มาของสัตว์ประหลาดผู้นี้ เวลานี้ในที่สุดก็ได้ยินนางเอ่ยถึงเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้เสียที ไม่มีใครคิดว่าจะเกี่ยวข้องกับอวิ๋นจู
วันนี้มารโลหิตเกือบจับตัวอวิ๋นจูไป หรือก็เพราะมีเงื่อนงำอื่นซ่อนอยู่
ทุกคนรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาทันที
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็นว่า “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้มีอะไรปิดบังพวกข้าอีกเลย มิเช่นนั้นแค่เรื่องที่วันนี้เจ้าก่อขึ้น ข้าจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
แม่เฒ่าหันมองยิ่นอ๋อง เอ่ยด้วยความเจ็บปวดหัวใจว่า “เจ้าสำนักน้อย เรื่องในวันนี้เป็นข้าที่ก่อขึ้นจริงๆ หรือ หากไม่ใช่ท่านที่คิดเองเออเองออกไปท้าทายมารโลหิต เขาจะหันมาลงมือกับพวกเราได้อย่างไร” โ
ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น สองตาประหนึ่งเตาไฟ “เดิมทีมันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว! สตรีก็สังหาร เด็กก็สังหาร เจ้าปล่อยมันออกมาทำไมกัน!”
เย่ว์หวาจิบชาไปเงียบๆ
ปรมาจารย์เวทคนใหม่กระแอมเบาๆ เอ่ยไกล่เกลี่ยให้ว่า “ผู้พิทักษ์เหลียน เจ้าสำนักน้อย พวกท่านอย่าทะเลาะกันอีกเลย อย่างไรเรา…มาหารือธุระกันก่อนดีกว่า”
ยิ่นอ๋องส่งเสียงหึเย็นๆ แล้วนั่งลง
แม่เฒ่าถอนหายใจเบาๆ หันไปมองแสงเทียนที่พลิ้วไหว สายตาเปลี่ยนเป็นล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย “นั่นเป็น… เรื่องเมื่อครั้งข้ายังเด็ก ข้าเข้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาเมื่อตอนเจ็บขวบ พอแปดขวบก็เริ่มรับใช้คุณหนู เมื่อตอนเก้าหรือสิบขวบ เจ้าสำนักพาคุณหนูออกมาล่าสัตว์ ทุกคนออกไปล่าสัตว์กันหมด ข้ากับคุณหนูนั่งอยู่ในกระท่อมไม้รอพวกเขากลับมา มีคนล่ากระต่ายได้เอามาให้คุณหนู เดิมทีข้าไม่อยากรับไว้ แต่คุณหนูไม่ฟังคำข้า จะรับกระต่ายตัวนั้นเอาไว้ให้ได้ สุดท้ายไม่เท่าไรก็ถูกกระต่ายตัวนั้นกัดจนได้แผล กระต่ายตัวนั้นวิ่งหนีไป คุณหนูไล่ตามมัน และครั้งนั้นเองที่คุณหนูถูกมารโลหิตจับตัวไป”
พวกเขาคิดถึงนิสัยดุร้ายของมารโลหิตแล้วพากันปาดเหงื่อแทนอวิ๋นจู
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “อวิ๋นจูในเวลานั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อย ถูกมารโลหิตจับตัวไป เหตุใดถึงไม่ถูกมารโลหิตสังหารหรือ”
วันนี้อวิ๋นจูเพิ่งปะทะกับมารโลหิตมา นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมารโลหิต ในเมื่อเวลานี้ยังไม่ใช่ เมื่อตอนเป็นเด็กยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ มารโลหิตในเมื่อจับตัวนางไปแล้วก็ไม่น่าจะปล่อยตัวนางมาง่ายๆ
เย่ว์หวากับปรมาจารย์เวทคนใหม่หันไปมองแม่เฒ่าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็สงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน
แม่เฒ่าถอนหายใจทีหนึ่ง “พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ มารโลหิตก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น เวลานั้นพวกเราเป็นเด็ก มันเองก็ยังไม่แข็งแกร่ง พอพวกศิษย์พี่มา มันก็นึกกลัวจนวิ่งหนีไป… ครั้งนั้นอย่าว่าแต่คุณหนูเลย กระทั่งข้าก็เกือบตายในมือเขา”
“ตอนหลังเล่า” เย่ว์หวาถาม
แม่เฒ่าบอกว่า “ตอนหลังเจ้าสำนักทราบเรื่อง เลยส่งผู้พิทักษ์หลายคนออกไปล้อมสังหารมัน”
เย่ว์หวาเอ่ยด้วยความฉงน “ศิษย์พี่แค่ไม่กี่คนก็ทำมันตกใจหนีไปได้แล้วหรือ วรยุทธ์ของมันน่าจะไม่สูงส่ง ส่งผู้พิทักษ์ออกไปแล้วก็ยังสังหารมันไม่ได้หรือ”
แม่เฒ่าบอกว่า “คิดว่าฆ่าตายไปแล้ว ศพก็เอาโยนทิ้งน้ำไปแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่ามันยังรอดกลับมาได้ น่าจะเพราะเรื่องในครั้งนั้น เจ้าสำนักทำให้มันไม่พอใจเข้า มันจึงเคียดแค้นเจ้าสำนักอยู่ในใจ ถึงได้มีการล้างแค้นในตอนหลัง”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว
เย่ว์หวาถามว่า “เจ้าหมายความว่าที่มันสังหารลูกศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปตั้งมากเพียงนั้น ล้วนเป็นเพราะเหตุที่เจ้าสำนักส่งผู้พิทักษ์ออกไปล้อมสังหารมันหรือ”
แม่เฒ่าเงียบไป
เย่ว์หวาถูกกระตุ้นจนใจคันยุบยิบไปหมด ข่มความอยากรู้ขณะเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “เล่ามาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็อย่าปิดๆ บังๆ ต่อไปอีกเลย”
…
“คุณหนู ท่านจะไปไหน” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ภายในห้องที่ประณีตสง่างาม สาวใช้พอผลักประตูเข้าไปก็เจอเข้ากับเด็กสาวที่แต่งกายพร้อมออกท่องราตรีเข้าอย่างจัง
เด็กสาวรีบเอาห่อผ้าไปซ่อนไว้ข้างหลัง ลูกตาหลุกหลิก เอ่ยเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ข้าจะไปหาอวิ๋นชิงน่ะ!”
สาวใช้ทำเหมือนไม่เห็นห่อผ้าที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ด้านหลัง มองค้อนนางทีหนึ่ง “ไปหาศิษย์พี่อวิ๋นชิง จำเป็นต้องแต่งกายเช่นนี้ด้วยหรือ”
เด็กสาวบอกว่า “ข้าไม่อยากให้ใครเห็น”
สาวใช้ถามต่อ “หรือว่าท่านกับศิษย์พี่อวิ๋นชิงมีลับลมคมในอะไรที่ไม่อาจบอกผู้อื่นได้”
เด็กสาวพูดต่อไม่ออก
สาวใช้ปิดหน้าลอบหัวเราะ ปล่อยมือแล้วดันอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง “เอาล่ะคุณหนู ท่านก็ใกล้จะหมั้นหมายเต็มที อย่าได้หนีลงเขาไปอีกเลย หากเจ้าสำนักรู้เข้าคงได้ลงโทษท่านแน่”
เด็กสาวเบ้ปาก “หมั้นหมายอะไรกัน เขาเป็นศิษย์พี่ของข้านะ”
เด็กสาวหัวเราะ “ศิษย์พี่แล้วอย่างไร ศิษย์พี่แล้วแต่งกับท่านไม่ได้หรือ ศิษย์พี่อวิ๋นชิงดีเพียงนี้ หรือว่าท่านยังไม่ถูกใจเขาอีก”
เด็กสาวเอาห่อผ้าโยนลงใต้โต๊ะไม่ให้ใครเห็น ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง ถอนหายใจด้วยความจนใจ “เฮ่อ เจ้าไม่เข้าใจ”
ตกดึก สาวใช้ปรนนิบัติเด็กสาวเข้านอน เด็กสาวนอนลงบนเตียงที่กว้างขวางอ่อนนุ่ม สาวใช้นอนบนแคร่ไม้ไผ่ด้านข้าง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เด็กสาวพลิกตัวมาเอ่ยเรียกเบาๆ “พี่เหลียน”
สาวใช้ไม่ตอบรับ
เด็กสาวลองเรียกอีกครั้งหนึ่ง “พี่เหลียน ข้าหิวน้ำ เจ้ารินน้ำให้ข้าหน่อย”
สาวใช้ยังคงไม่ตอบรับ
เด็กสาวแหวกเปิดผ้าม่านเบาๆ สวมใส่เสื้อผ้ากับรองเท้า แอบคว้าเอาห่อผ้าที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ แล้วย่องเบาๆ ออกไป
จังหวะที่ประตูห้องถูกปิดจากด้านนอกนั้น สาวใช้บนแคร่พลันลืมตาตื่น
ก๊อกๆๆ
ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ “ศิษย์พี่เหลียน ข้าเอง อวิ๋นชิง”
สาวใช้เลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง จัดการผมเพ้า ใส่รองเท้าแล้วไปเปิดประตูอย่างสงบนิ่ง “ศิษย์พี่อวิ๋นชิง ดึงดื่นป่านนี้แล้วมีธุระอะไรหรือ”
อวิ๋นชิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า “ศิษย์น้องอวิ๋นนาง… ออกไปอีกแล้วใช่หรือไม่”
สาวใช้หลุบตา พยักหน้าด้วยความลำบากใจ
สายตาอวิ๋นชิงมีแววเศร้าหมอง พยักหน้าให้นางแล้วหมุนตัวเดินไป
สาวใช้เม้มปาก เอ่ยเรียกเขาไว้ “หากเจ้าเป็นห่วงคุณหนู จะตามไปดูก็ได้นะ”
อวิ๋นชิงหันกลับไปมองนางด้วยสายตายินดี “เช่นนั้นได้หรือ ศิษย์น้องหญิงจะโกรธหรือไม่”
สาวใช้เอาปรอยผมไปทัดไว้หลังใบหู เอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าเป็นห่วงกลัวว่าคุณหนูออกไปดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้จะไปเจออะไรที่ไม่คาดคิดเข้า”
อวิ๋นชิงพยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็จริง”
…
“ผู้พิทักษ์เหลียน ผู้พิทักษ์เหลียน ผู้พิทักษ์เหลียน!”
เย่ว์หวาตบไหล่แม่เฒ่า แม่เฒ่าเหมือนตื่นจากฝัน หลุบตาลงจัดมุมเสื้อผ้า
เย่ว์หวามองนางด้วยสายตาประหลาด “เมื่อครู่เจ้าสำนักน้อยกำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ เจ้าใจลอยไปไหนน่ะ”
“อ่อ ไม่มีอะไร” แม่เฒ่าเช็ดเหงื่อที่คาง อันไปเอ่ยกับยิ่นอ๋องว่า “ใช่แล้ว เพราะเรื่องในตอนนั้น มารโลหิตถึงได้สังหารหมู่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
ทั้งสามพากันมองนางด้วยสายตาประหลาด
ขนตาแม่เฒ่าสั่นไหว “ทำไมหรือ”
ปรมาจารย์เวทกระแอมเบาๆ เอ่ยเตือนด้วยความกระอักกระอ่วน “เมื่อครู่เจ้าสำนักน้อยไม่ได้ถามเรื่องนี้ เจ้าสำนักน้อยถามว่า เรื่องที่มารโลหิตรู้จักกับอวิ๋นจูมาก่อน เจ้าสำนักอวิ๋นชิงรู้เรื่องหรือไม่”
สีหน้าแม่เฒ่ามีแววนึกย้อนกลับไป
…
“ให้เจ้า นี่คือเสื้อผ้าของฤดูหนาว ข้าซื้อมาตามขนาดตัวของเจ้า มีอยู่หลายชุด เจ้าลองใส่ดู หากใส่หมดแล้วข้าจะไปซื้อมาให้ใหม่!”
เด็กสาวเปิดห่อผ้าหยิบอาภรณ์บุนวมหน้าตาสวยงามออกมาสี่ชุด สองชุดเป็นสีน้ำเงินเข็ม อีกสองชุดเป็นสีอมเขียว เขาไม่ชอบสีสันที่ฉูดฉาดนัก
เด็กสาวเลือกชุดสีอมเขียวให้เขาชุดหนึ่ง “เจ้าไปเปลี่ยนสิ ข้าจะพาเจ้าไปหาอะไรกินที่ในเมือง”
บุรุษผู้นั้นรับชุดเข้าไปเปลี่ยนด้านหลังถ้ำ
ตอนเขากลับมา เด็กสาวถอดชุดท่องราตรีออกแล้ว พอเห็นเขาติดกระดุมยังเบี้ยวอยู่ เด็กสาวก็หัวเราะพรืดออกมา “มานี่”
บุรุษผู้นั้นเดินเข้ามาราวกับวานร
เด็กสาวจึงบอกว่า “เจ้าเดินดีดีสิ”
บุรุษผู้นั้นยืนตัวตรงอย่างไม่ค่อยถนัด แล้วเดินไปตรงหน้าเด็กสาว เด็กสาวยื่นนิ้วเรียวยาวออกมา จัดการแก้ไขเม็ดที่เขาติดผิดให้ถูกต้อง แล้วยังเอาสายคาดเอวออกมาคาดให้เขา
“เรียบร้อยแล้ว” เด็กสาวระบายยิ้มเล็กน้อย สองตาเปล่งประกายโค้งลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว นัยน์ตานางคล้ายมีประกายของทางช้างเผือก ส่องให้ทั่วทั้งถ้อสว่างไสวไปหมด
บุรุษผู้นั้นมองจนอึ้งไป
“อ้อ ใช่สิ” เด็กสาวคิดอะไรออก จึงเอาไข่มุกราตรีหลายเม็ดออกมาจากห่อผ้า “ที่เจ้าอยู่มืดเกินไป เจ้ายังกลัวไฟเสียอีก ใช้สิ่งนี้ก็แล้วกัน!”
บุรุษผู้นั้นรับไว้อย่างอึ้งงัน
เด็กสาวเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ไปกันเถิด จะพาเจ้าไปหาอะไรกินนะ!”
ทั้งสองเดินออกจากถ้ำ
บุรุษผู้นั้นเผลอโค้งตัวลง คล้ายอยากเดินสี่ขาไปตามพื้น
เด็กสาวส่งเสียงหึด้วยความไม่พอใจ “เดินดีดี!”
บุรุษผู้นั้นก็ว่องไว จัดการให้แผ่นหลังตั้งตรงขึ้นมา
พอทั้งสองค่อยๆ เดินไปไกล ในป่าผืนเล็กที่อยู่ตรงข้ามปากถ้ำ อวิ๋นชิงกับสาวใช้เดินออกมาช้าๆ
ตอนบุรุษผู้นั้นเข้าไปในถ้ำยังใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งตัวอยู่เลย หันมาอีกทีก็เปลี่ยนไปอยู่ในชุดใหม่เสียแล้ว ส่วนชุดท่องราตรีก็เด็กสาวก็หายไป ใครเห็นก็เป็นต้องคิดว่าพวกเขาไปทำอะไรกันอยู่ในถ้ำ
อวิ๋นชิงกำหมัดแน่น “ศิษย์น้องหญิงไปรู้จักคนป่าแบบนี้ได้อย่างไร”
สาวใช้มองถ้ำที่คุ้นตาด้วยสีหน้าอึ้งงัน นางก้มหน้าบอกว่า “รู้จักกันตั้งแต่…ตอนเด็กๆ แล้ว”
เด็กสาวกับบุรุษผู้นั้นเข้าไปในเมือง รูปลักษณ์ของบุรุษดูประหลาดอยู่เล็กน้อย ใบหูเรียวแหลม แขนกลับยาวประหนึ่งยอดบุรุษ แต่ตัวเขาไม่สูง เมื่อสองแขนยาวมาอยู่กับตัวเขาจึงดูไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไร
แต่กระนั้นเขาก็ดันอยู่ในเครื่องแต่งกายหรูหรา อาภรณ์ในผ้าไหมเฟิงอวิ๋นนั้น ได้ยินว่าทำขึ้นสำหรับเจ้าสำนักกับคุณหนูของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ข้างกายเขายังมีเด็กสาวในวัยขบเผาะยืนอยู่อีกคนหนึ่ง
เด็กสาวใส่ผ้าโปร่งปิดหน้า เผยออกมาเพียงดวงตาคู่งามที่เป็นประกาย
ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมองมาด้วยสายตาประหลาด
ดวงตาบุรุษผู้นั้นเผยแววดุดันแฝงความระแวดระวัง เด็กคนหนึ่งถึงกับร้องไห้เพราะตกใจกลัวเขา
มารดาของเด็กคนนั้นรีบอุ้มบุตรของตนออกไป
เด็กสาวจึงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ทุกคนไม่ได้มีประสงค์ร้าย”
บุรุษผู้นั้นจึงคล้ายมะเขือที่ต้องน้ำค้าง ทิ้งศีรษะลงไป
เด็กน้อยพาเขาไปนั่งลงตรงร้านเนื้อแพะริมทาง เจ้าของร้านนี้ทำการค้ามาเก่าแก่แล้ว ถึงแม้จะไม่มีหน้าร้าน แต่เนื้อแพะของร้านเขาก็นับว่าดั้งเดิมที่สุดในเมืองเหนือยอดเมฆ
เด็กสาวสั่งซี่โครงแพะกับน้ำแกงแพะตุ๋นมาหม้อหนึ่ง แป้งทอดหลายแผ่น นมแผ่นหนึ่งจาน เหล้านมม้าหนึ่งชามกับนมใส่มันเนยอีกหนึ่งชาม “อันที่จริงในเมืองนี้มีอะไรอร่อยหลายอย่างทีเดียว หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องสูบเลือดสัตว์แล้ว เจ้าเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ของพวกนั้นหากสูบเข้าไปมากๆ จะธาตุไฟเข้าแทรกได้”
อาหารถูกยกมาวาง
เด็กสาวเอาชาใส่มันเนยส่งไปให้เจ้า “เจ้าชิมดู”
เขาดื่มลงไปอึกหนึ่งด้วยท่าทีลังเล
“อร่อยไหม” เด็กสาวถาม
ลูกกระเดือกเขาขยับขึ้นลงทีหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าอย่างฝืนๆ
เด็กสาวฉีกเนื้อจากซี่โครงไปให้อีกชิ้นหนึ่ง
เขายื่นมือมารับ
เด็กสาวจับมือเขาไว้ “นี่คือซี่โครงแพะ”
เขา “อา อา อา”
เด็กสาวใจเย็นมาก ค่อยๆ พูดช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ “ซี่โครงแพะ”
เขา “อ้า อ่า อ๊า”
เด็กสาวกุมขมับ ส่งซี่โครงแพะไปให้เขา
เขากินเข้าไปช้าๆ
ตอนเด็กสาวกลับไปถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว นางเดินย่องมาถึงกำแพงนอกเรือนตน หันมองไปรอบด้าน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ ถึงได้ปีนต้นไม้ข้ามกำแพงไป
นางกระโดลงพื้น ปัดมืออย่างได้ใจ พอหันไปก็เห็นอวิ๋นชิงยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางตกใจจนตัวสั่น “อวิ๋น อวิ๋นชิง? เหตุใดจึงเป็นเจ้า เจ้ามาอยู่ในเรือนข้าได้อย่างไร”
สาวใช้ยืนอยู่ตรงปากประตูนั้นเอง ประตูเปิดแง้มอยู่ นางกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น
อวิ๋นชิงเอ่ยเข้าประเด็นทันที “คนผู้นั้นเป็นใคร”
“คนผู้นั้นใครกัน” เด็กสาวเบือนหน้าหนี
อวิ๋นชิงเอ่ยว่า “อย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้เลย ข้าเห็นหมดแล้ว”
เด็กสาวพลันขมวดคิ้ว “เจ้าสะกดรอยตามข้า?”
อวิ๋นชิงตีหน้าเคร่ง “ใส่ชุดท่องราตรีหนีออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปดึกๆ ดื่นๆ ข้าไม่ควรสะกดรอยตามเจ้าหรือ”
“ข้า…” เด็กสาวถูกย้อนจนไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร
อวิ๋นชิงอึ้งไป เอ่ยต่อว่า “เจ้าไม่บอกว่าเขาเป็นใคร เช่นนั้นข้าจะไปจับเขามาด้วยตัวเอง”
เด็กสาวเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดถึงต้องไปจับเขา เขาทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ”
สายตาอวิ๋นชิงมีแววซับซ้อน “ศิษย์น้อง เขามีจุดประสงค์ไม่เรียบง่าย น่ากลัวว่าเจ้าคงลืมเรื่องในตอนเด็กๆ ไปแล้ว”
เด็กสาวทำเสียงหึ “เกี่ยวอะไรกับเรื่องในตอนเด็กด้วย ข้าเพิ่งรู้จักเขาไม่เท่าไรนี้เอง”
อวิ๋นชิงเอ่ยด้วยความหนักใจ “ก็บอกอยู่ว่าเจ้าคงจำไม่ได้แล้ว หากเจ้าไม่เชื่อลองไปถามเจ้าสำนักดูก็ได้ว่าตอนเจ้าอายุห้าขวบ ใช่ถูกคนป่าคนหนึ่งจับตัวไปหรือไม่ ซ้ำยังเกือบถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอีกด้วย”
“เจ้าเพ้อเจ้ออะไร” เด็กสาวขมวดคิ้ว
อวิ๋นชิงเพ่งมองนางนิ่ง “เมื่อตอนนั้นก็อยู่ที่ถ้ำแห่งนั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ส่งคนออกไปล้อมสังหารเขา แต่สังหารเขาไม่ตาย เวลานี้เขากลับมาหาเจ้า ก็เพียงเพราะอยากล้างแค้นเรื่องในตอนนั้นเท่านั้นเอง เจ้าอย่าได้ถูกเขาหลอกเข้าเชียว”
สีหน้าเด็กสาวดูดุดันขึ้น “ใครบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า พี่เหลียนหรือ”
ใจของสาวใช้พลันสั่นสะท้าน
อวิ๋นชิงเอ่ยว่า “ใครบอกข้าไม่สำคัญ ข้อสำคัญก็คือเจ้าอย่าได้ไปพบคนผู้นั้นอีก”
เด็กสาวถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “ข้าอยากจะพบใครก็เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
อวิ๋นชิงเอ่ยด้วยความหนักใจ “ศิษย์น้อง วิชาที่เขาฝึกเป็นภาพอธรรม เขากินเลือดกินเนื้อ เจ้าเป็นถึงคุณหนูลัทธิศักดิ์สิทธิ์ จะไปคบค้าสมาคมกับคนเช่นนั้นได้อย่างไร”
เด็กสาวโต้แย้ง “เขากินเลือดกินเนื้อแล้วอย่างไร หากข้าไม่ได้ช่วยเจ้ากลับมา เจ้าก็คงกินเลือดกินเนื้ออยู่ในป่าเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
อวิ๋นชิงพลันพูดไม่ออก
เด็กสาวส่งเสียงหึดุๆ ผลักเขาออกแล้วเดินตรงกลับห้องไป
…