หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 66-2 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 66-2 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (1)
ตอนที่ 66-2 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (1)
แม่เฒ่าเก็บความคิดกลับมา ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้น จิบชาที่ทิ้งไว้จนเย็นเงียบๆ “เรื่องที่คุณหนูกับมารโลหิตรู้จักกัน เจ้าสำนักอวิ๋นชิงไม่รู้”
ยิ่นอ๋องมองผู้พิทักษ์เหลียนด้วยสายตางุนงง “ไม่ใช่ว่าส่งผู้พิทักษ์ออกไปสังหารมารโลหิตแล้วหรอกหรือ เหตุใดเจ้าสำนักอวิ๋นชิงจึงไม่รู้กระทั่งเรื่องนี้”
แม่เฒ่าจิบชาอีกอึกหนึ่ง “ตอนสังหารมารโลหิต เขายังไม่ได้อยู่ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
ยิ่นอ๋องเอ่ยถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ตอนหลังก็ไม่มีใครบอกเขาหรือ”
แม่เฒ่าบอกว่า “ไม่มี”
ปรมาจารย์เวทคนใหม่สูดหายใจเข้าเบาๆ พึมพำเอ่ยว่า “มารโลหิตโง่เขลาเบาปัญญาหรือไร ทั้งๆ ที่รู้ว่าเอาชนะจักรพรรดิอสูรไม่ได้ แต่ก็ยังบุกเข้ามาไล่สังหารในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ตัวคนเดียว เขาอยากตายหรือ”
ยิ่นอ๋องเงียบไป มารโลหิตถูกขังไว้นานปีเพียงนั้นจนกลายเป็นคนบ้าไปนานแล้ว แต่ต่อให้เหลือแค่สัญชาตญาณของสัตว์ป่า แต่ก็ต้องเข้าใจหลักการเข้าหาโชคดีหลบเลี่ยงโชคร้าย วันนี้หลังจากถูกกระบี่โหราจารย์ทำร้ายเข้าไป เขาก็หลีกหนีไปไกลแสนไกลแล้วมิใช่หรือ
เห็นได้ว่าเขารักตัวกลัวตายเช่นนั้น ตอนนี้สมองซีกใดของเขาทำงานไม่สมประกอบกัน ถึงได้ดึงดันจะเข้ามาไล่สังหารในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้
เจ้าสำนักน้อยรู้สึกว่าในเรื่องนี้ยังมีรายละเอียดที่ทุกคนไม่รู้อยู่ดี
อีกอย่าง ในเมื่อตอนแรกเขาไม่ได้เก่งกาจเพียงนั้น เช่นนั้นเขาฝึกฝนตนเองจนค่อยๆ กลายมาเป็นมารโลหิตได้อย่างไร
…
“ข้าให้ เหล่านี้เป็นเคล็ดวิชาชั้นยอดของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา วิชาของเจ้าชุดนั้นดำมืดเกินไป ต่อไปอย่าฝึกอีกเลย” เด็กสาวเอาม้วนหนังสือไม้ไผ่วางลงบนหนังเสืออ่อนนุ่มที่ปูอยู่บนพื้น “ข้าจะบอกเล่าให้เจ้าฟังที่ละอันนะ เจ้าอยากฝึกอันไหนก็บอกข้า ข้าจะสอนให้ อันแรกเป็นวิชาชิงเหลียน…”
บุรุษผู้นั้นตอบอาคำหนึ่ง แล้วเผยอปากใช้เสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “อวิ๋น จู”
เด็กสาวอึ้งไป “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร พูดอีกครั้งสิ!”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยว่า “อวิ๋น จู”
เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดี “เจ้าเรียกชื่อข้าได้แล้ว!” โ
เด็กสาวพลันลืมเรื่องเคล็ดวิชาไปชั่วขณะ จากนั้นก็ดึงปิ่นปักผมออกมา “ปิ่น ผม”
บุรุษผู้นั้น “อวิ๋น จู”
เด็กสาวมุมปากกระตุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าอีกผืนหนึ่งออกมา “ผ้า ไหม”
บุรุษผู้นั้น “อวิ๋น จู”
เด็กสาวมองผ้าอย่างพูดไม่ออก หยิบถั่วเคลือบน้ำตาลออกมาถุงหนึ่ง “ถั่ว หวาน”
บุรุษผู้นั้น “อวิ๋น จู”
เด็กสาวหยิบมีดออกมา
บุรุษผู้นั้น “อวิ๋น จู”
เด็กสาวหยิบหนังสือมา
บุรุษผู้นั้น “อวิ๋น จู”
เด็กสาวกรอกตาบน มุดศีรษะลงกับหนังสือ
บุรุษผู้นั้นซุกศีรษะลงกับหัวไหล่นาง
เด็กสาวแกล้งทำเป็นแน่นิ่ง
บุรุษผู้นั้นก็ซุกไซ้อีก
เด็กสาวเอ่ยด้วยความหัวเสีย “ทำไมหรือ”
บุรุษผู้นั้นมองไปตรงปากถ้ำ ชี้ไปยังจันทร์เพ็ญที่อยู่บนฟากฟ้า
เด็กสาวมองตามไป ถามด้วยความฉงนว่า “ทำไมหรือ เจ้าอยากชมจันทร์หรือ พระจันทร์วันนี้ไม่ได้เต็มดวงเท่าไรนี่ พระจันทร์คืนพรุ่งนี้ขึ้นสิบห้าค่ำเต็มดวงที่สุดแล้ว แต่ทุกขึ้นสิบห้าค่ำ เจ้าไม่เคยอยู่เลย”
บุรุษผู้นั้นนิ่งไป
หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ เขาก็ส่งเสียงอาอาออกมา แล้วทิ้งตัวลงกับพื้น
เด็กสาวเกาศีรษะ “เจ้า เจ้าอยากบอกอะไรหรือ”
บุรุษผู้นั้นชี้ไปยังดวงจันทร์ ทำท่าเป็นพระจันทร์เต็มดวงแล้วทิ้งตัวลงกับพื้น
เด็กสาวลองเดาดูว่า “เจ้าจะบอกว่าพอพระจันทร์เต็มดวง เจ้าจะป่วยหรือ”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า “อวิ๋น จู”
เด็กสาวเข้าใจทันที “มิน่าเล่าทุกครั้งที่ข้ามาหาเจ้าวันขึ้นสิบห้าค่ำ เจ้าไม่เคยอยู่เลย เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงไม่เคยบอกข้า”
บุรษผู้นั้นก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “อา”
เด็กสาวหันไปมองเขา “เจ้ากลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้าหรือ”
บุรุษผู้นั้นก้มหน้างุดกว่าเดิม
เด็กสาวตบหัวไหล่เขา “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก เจ้าป่วยเป็นอะไรหรือ หนักมากหรือไม่ อยากให้ข้าหาท่านหมอมาช่วยดูหรือไม่ ฝีมือการแพทย์ของพี่เหลียนข้าก็เก่งมากเลยนะ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ชอบเจ้าเท่าไร ข้าไม่พานางมาดีกว่า… เดี๋ยวข้าเด็ดบัวหิมะมาให้เจ้าดอกหนึ่งแล้วกัน!”
บุรุษผู้นั้น “อวิ๋น จู”
เด็กสาว “แล้วเดี๋ยวต้มยาบำรุงให้เจ้าชามหนึ่งด้วย”
บุรุษผู้นั้นแลบลิ้นออกมาด้วยความรังเกียจ
เด็กสาว “ยาขมลิ้นแต่ดีต่ออาการป่วย ช่างเถิด เจ้าไม่อยากดื่มยา เช่นนั้นเป็นยาเม็ดก็แล้วกัน”
บุรุษผู้นั้นยังคงแลบลิ้นต่อไป
เด็กสาว “ชาใส่มันเนยเล่า”
บุรุษผู้นั้นไม่แลบลิ้นอีก “อวิ๋น จู”
เด็กสาวระบายยิ้ม “เช่นนั้นก็ตามนี้แล้วกัน ข้าไปล่ะ”
บุรุษผู้นั้นทำหน้าเศร้าหมอง “อา”
เด็กสาวระบายยิ้ม “พรุ่งนี้ข้าจะมาเช้าหน่อย”
บุรุษผู้นั้น “อวิ๋น จู”
เด็กสาวเปลี่ยนไปใส่ชุดท่องราตรีแล้วจากไป ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ด้านหลังต้นไม้รกชัด อวิ๋นชิงมองร่างเด็กสาวที่ค่อยๆ หายไปในความมืด สายตาดูมืดครึ้มลง
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจเอ่ยว่า “นิสัยของคุณหนูยังใสซื่อไปสักหน่อย ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ประโยชน์จากนางอยู่ ข้าเคยเกลี้ยกล่อมคุณหนูหลายครั้งแล้ว แต่คุณหนูไม่ยอมฟังคำข้า ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร บุรุษผู้นั้นคิดอยากสังหารคุณหนูตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เวลานี้จะประสงค์ดีกระไรได้ แต่กระนั้นคุณหนูก็จมดิ่งลงไป เอาช้างม้ามาลากก็ไม่ยอมกลับมา เขานั่นแหละที่ทำให้คุณหนูหูตามืดบอก หากไม่มีเขา ข้าเชื่อว่าคุณหนูจะต้องตอบรับคำสู่ขอของศิษย์พี่อวิ๋นชิงแน่นอน”
กลางดึกคืนต่อมา เด็กสาวลอบเข้าไปที่สระโอสถ แล้วเด็ดดอกบัวหิมะดอกใหญ่ที่สุดไป
อวิ๋นชิงยืนเงียบๆ อยู่ใต้กระท่อมไม้หลังเล็ก เขาคอยมองนางเอาดอกบัวหิมะใช้วิชาตัวเบาออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไป
เด็กสาวเอาดอกบัวหิมะเข้าไปในถ้ำ
อาการของบุรุษผู้นั้นไม่สู้ดีจริงๆ สีหน้าเขาซีดขาวราวกับเทียนไข ร่างกายเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เด็กสาวยื่นดอกบัวหิมะไปให้เขา “พ่อข้าทุกครั้งที่ทรมานจากการฝึกวิชา พอกินเจ้าดอกบัวหิมะนี้เข้าไปอาการก็จะดีขึ้น เจ้ากินแล้วเดี๋ยวก็ดีเอง”
บุรุษผู้นั้นเอาดอกบัวไปฉีกกิน
เด็กสาวมองอย่างรอคอย “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
บุรุษผู้นั้นพลันตัวแข็ง กระอักเลือดดำเมี่ยมออกมา!
เด็กสาวมองเลือดดำเมี่ยมบนพื้นอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่เป็นอาการของคนถูกพิษชัดๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
นางพูดพลางหยิบเม็ดบัวบนพื้นขึ้นมา ลองดมดูก็ไม่มีกลิ่นประหลาดอะไร จึงคิดที่จะเอาเข้าปาก
บุรุษผู้นั้นปัดเม็ดบัวตกลงพื้น
บุรุษผู้นั้นกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด
เด็กสาวร้อนใจจนตาแดงก่ำ “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ข้าไม่เคยได้ยินว่าบัวหิมะเป็นพิษกับผู้ใดมาก่อนเลยนี่…”
“ศิษย์น้อง เจ้าทำได้ดีมาก”
หลังจากเสียงไม่อินังขังขอบดังขึ้น ภายในถ้ำก็มีร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามา
เด็กสาวหันไปมอง “อวิ๋นชิง?”
บุรุษผู้นั้นหันไปมองอวิ๋นชิงด้วยสายตาดุดัน เขาจับมือเด็กสาวไว้ ดึงนางไปอยู่ด้านหลังตน
อวิ๋นชิงส่งเสียงหึอย่างดูแคลน ฟาดฝ่ามือดุดันออกมาทีหนึ่งจนบุรุษผู้นั้นตัวกระเด็นไปติดกำแพง
ใบหน้างดงามของเด็กสาวพลันถอดสี “อวิ๋นชิง! เจ้าทำอะไรน่ะ!”
อวิ๋นชิงเดินไปตรงหน้าเด็กสาว มองอีกฝ่ายด้วยสายตาใจดี “เป็นน้องสาวที่รู้วิธีจริงๆ ด้วย รู้ว่าวันนี้เขาจะอ่อนแอที่สุด แล้วใช้ดอกบัวหิมะอาบยาพิษเล็กน้อยวางยาเขา เขาก็ไร้เรี่ยวแรงจะสวนกลับแล้ว”
สายตาตัดพ้อดุดันของบุรุษผู้นั้นหยุดมองที่เด็กสาว
อวิ๋นชิงโอบเอวเพรียวบางของเด็กสาว พอแขนยกขึ้น เด็กสาวก็เข้ามาอิงแอบแนบชิดกับเขา “ศิษย์น้อง อาจารย์เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเราแล้ว ไว้รอให้สังหารคนชั่วผู้นี้ได้ พวกเราก็จะได้แต่งงานกันแล้ว”
เด็กสาวบอกว่า “ใครเขาจะ…”
อวิ๋นชิงแตะปลายนิ้วลง กำลังภายในส่วนหนึ่งเข้าสู่ร่างกายเด็กสาว สกัดจุดเด็กสาวเอาไว้
เด็กสาวพูดอะไรไม่ได้ ร่างกายก็แข็งค้าง ทำได้เพียงถลึงตาดุใส่อวิ๋นชิง
อวิ๋นชิงกลับระบายยิ้มอ่อนหวาน จับตัวเด็กสาวอุ้มขึ้นมา แล้วเดินออกจากถ้ำไปท่ามกลางสายตาตัดพ้อและริษยาของบุรุษผู้นั้น
ด้านนอกถ้ำ ลูกศิษย์หลายคนรออยู่ด้วยท่าทางแข็งขัน
อวิ๋นชิงเอ่ยว่า “ฆ่ามันซะ”
ด้านหลังมีเสียงอาวุธดังลอยมา พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวของบุรุษผู้นั้น
เด็กสาวโกรธจนโทสะแล่นเข้าหัวใจ เลือดจึงไหลย้อยออกมาจากมุมปาก
อวิ๋นชิงอุ้มเด็กสาวเข้าไปในป่า วางตัวนางลงใต้ต้นไม้ใหญ่ “ล่วงเกินแล้ว ศิษย์น้องหญิง”
พูดจบเขาก็สกัดจุดสลบนาง เด็กสาวคอตก หลับสนิทไป
สาวใช้เดินช้าๆ ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ย่อตัวลงเอายาขวดหนึ่งส่งให้อวิ๋นชิง
อวิ๋นชิงตื่นเต้นจนเหงื่อแตกพลั่ก สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเล
สาวใช้กัดริมฝีปาก “ฤทธิ์ยาไม่เท่าไรก็หายไปแล้ว”
อวิ๋นชิงมือสั่น รับขวดยามา “มั่นใจหรือว่าจะไม่ส่งผลเสียต่อนาง”
สาวใช้หลุบตาลงเอ่ยว่า “ปริมาณค่าคำนวณไว้ดีแล้ว ไม่กระทบกระเทือนไปถึงสมองนางแน่นอน นางจะแค่เพียงลืมเรื่องหลายเดือนนี้ไป เรื่องที่นางรู้จักกับคนผู้นั้นจะเป็นเพียงสิ่งที่นางรู้สึกไปเอง ศิษย์พี่แค่เพียงทำให้ทุกอย่างกลับเข้าที่ ศิษย์พี่กับคุณหนูต่างหากที่เป็นคู่สร้างคู่สม ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องกล่าวโทษตนเอง”
อวิ๋นชิงมองสาวใช้ด้วยความซาบซึ้ง “ศิษย์น้องเหลียน ขอบคุณเจ้ามาก”
สาวใช้เอ่ยเสียงเบา “ช่วยศิษย์พี่เป็นสิ่งที่เหลียนเอ๋อร์เต็มใจทำ”
เด็กสาวได้พบบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง บุรุษผู้นั้นก็กลายเป็นมารโลหิตไปครึ่งตัวแล้ว เขาสูบเลือดคนไปกว่าครึ่งหมู่บ้าน วรยุทธ์ของเขาพุ่งทะยานอย่างที่คนทั่วไปไม่อาจคาดเดา
อวิ๋นชิงพ่ายแพ้ให้กับเขา
เด็กสาวมองตรงไปที่เขา ยกธนูจันทร์โลหิตขึ้นมาด้วยสีหน้าดุดัน
เขามองเด็กสาวด้วยความโกรธเกรี้ยว
เด็กสาวง้างสายธนูออก ปล่อยธนูออกไปอย่างไร้เยื่อใย
เสียงปะทะดังสนั่น
ยอดเขาที่อยู่ด้านหลังเด็กสาวพังครืน
เกล็ดหิมะแผ่นใหญ่ตกลงมากระทบใบหน้าเด็กสาว
เขาพุ่งตัวเข้าหาเด็กสาวราวกับสายฟ้า
เขาอุ้มเด็กสาวฝ่าหิมะออกไป
ทั้งสองกลิ้งลงไปจนถึงตีนเขา เขาถูกกระแทกจนตัวสั่นหัวคลอน แต่กลับปกป้องคนในอ้อมแขนไว้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งตะปูสะกดวิญญาณปักเขาที่อกเขา
…
“ท่านยาย กินอะไรหน่อยสิ” ยอดหญิงงามยกเนื้อแพะที่ย่างเสร็จแล้วเข้ามาให้ ที่ยกเข้ามาพร้อมกันยังมีซี่โครงกับเหล้านมม้าที่ห้องครัวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทำมาให้
อวิ๋นจูมองซี่โครงแพะชิ้นที่อยู่ในมือ สีหน้าดูเหม่อลอย
ยอดหญิงงามถามด้วยความฉงนว่า “แม่เฒ่าไม่ชอบกินสิ่งนี้หรือ”
“ไม่ใช่” อวิ๋นจูหยิบซี่โครงชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วค่อยๆ แทะกิน
กลับมาเอ่ยถึงจีหมิงซิว หลังจากค้นหาไปทั่วถ้ำแห่งนั้นรอบหนึ่งแล้วไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์นัก จึงตัดสินใจออกไป
ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ บนกำแพงของถ้ำสลักชื่ออวิ๋นจูไว้แน่นขนัด บางทีอวิ๋นจูอาจจะเคยเล่นสนุกอยู่ที่นี่มาก่อน ยันต์คุ้มภัยสีทองนี้ก็อาจจะเป็นของอวิ๋นจู
เสื้อผ้าเหล่านี้ถึงจะเป็นของบุรุษ แต่ขนาดไม่ต่างกับตัวอวิ๋นจูมากนัก เนื้อผ้าที่ใช้ก็ไม่เหมือนอาภรณ์ที่ศิษย์ทั่วไปสวมใส่ ไม่แน่ว่าที่นี่อาจจะเป็นถ้ำหลบภัยของอวิ๋นจูก็เป็นได้
เวลานี้เลยเที่ยงคืนไปแล้ว อีกไม่นานท้องฟ้าจะเริ่มสาง เขาต้องรีบตามหามารโลหิตให้เจอ ไม่อย่างนั้นเสี่ยวเวยคงไร้หนทางช่วยเหลือ
จีหมิงซิวถือกระบี่โหราจารย์ออกจากถ้ำไป
ที่แสนบังเอิญก็คือ เขาเพิ่งเดินไปถึงปากประตูก็เจอเข้ากับมารโลหิตที่กำลังจะเดินเข้ามาในถ้ำ
อะไรที่บอกว่าหาให้ขาขวิดก็หาไม่เจอ แต่พอจะเจอก็เจอได้ง่ายๆ ก็เป็นเช่นนี้เอง
จีหมิงซิวมองมารโลหิต แล้วมองโครงกระดูกสตรีเหล่านั้นที่อยู่บนพื้น อยู่ๆ ก็ได้เข้าใจว่าโครงกระดูกเหล่านี้เป็นมาอย่างไร
พวกนางเป็นลูกศิษย์หญิงของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ถึงถูกมารโลหิตสูบเอาเลือดไป
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์กระทำเรื่องเลวทรามมาไม่น้อยก็จริง แต่ลูกศิษย์หญิงที่ไร้ความผิดเหล่านี้มีความผิดไม่ถึงตาย
ยังมีภรรยาของเขา บุตรของเขา พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งสิ้น แต่กลับเกือบตายอยู่ในมือเขา
จีหมิงซิวเอายันต์สีทองยัดใส่เชือกคาดเอว แล้วจึงดึงกระบี่โหราจารย์ออมาด้วยท่าทางดุดัน
เดิมทีคิดว่ามารโลหิตจะรีบหนีหายไป ไหนเลยจะรู้ว่าเขาพุ่งเข้าใส่จีหมิงซิวราวกับคนเสียสติ…
บนแท่นบวงสรวง ความเงียบงันเข้าปกคลุม
ไห่สือซานย่างเนื้อ ย่างไปย่างมาก็พิงก้อนหินหลับไป
เขาสัพหงกราวกับไก่จิกเมล็ดข้าว ก่อนจะสะดุ้งตื่น
เขาลืมตาขึ้น มองท้องฟ้าที่ไม่มืดสนิทอีกต่อไป หัวใจเขาพลันเกร็งแน่น พุ่งตรงไปยังกระโจมของเฉียวเวย เขาเลิกผ้าม่านมองเข้าไปยังคนทั้งสามในกระโจมที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ผมบนศีรษะของเฉียวเจิงขาวไปหลายเส้น
เฮ่อหลันชิงกอดเฉียวเวยไว้ตลอดคืน นางยังคงถ่ายทอดกำลังภายในไปให้เฉียวเวย เพียงแต่ถ่ายทอดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่นางรักษาไว้ได้นางรักษาไว้หมดแล้ว ส่วนส่วนที่รักษาไม่ได้ ต่อให้สูบกำลังภายในของเฮ่อหลันชิงไปจนหมดตัวก็ไร้ประโยชน์
“ยัยหนู…” เฮ่อหลันชิงกอดร่างบุตรสาวที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ เอาไว้ น้ำตาไหลกระทบตัวบุตรสาว
“ฟ้าจะสว่างแล้ว นายน้อยเขา…” ไห่สือซานเช็ดน้ำตาด้วยความปวดใจ หันไปอีกที “นายน้อยเขา… นายน้อย… นายน้อย? นายน้อยกลับมาแล้ว!”
เฉียวเวยลุกขึ้นนั่งตัวตรง!
จีหมิงซิวพุ่งตัวเข้ามาในกระโจม เพราะเขารีบร้อนกลับมา สภาพจึงดูไม่จืด ดูไม่น่าเกรงขามนักจริงๆ
แต่ทุกคนไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น ต่างมองเขาด้วยความตื่นเต้นและรอคอย
เขาเปิดห่อผ้าไหมที่อยู่ในมือ แล้วเทเอาเม็ดโลหิตที่แดงเข้มออกมาเม็ดหนึ่ง