หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 67-1 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 67-1 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (2)
ตอนที่ 67-1 ได้เม็ดโลหิตมาครอบครอง (2)
เม็ดโลหิตที่ว่าน่าจะมีขนาดประมาณกำปั้นของจิ่งอวิ๋นเห็นจะได้ ทุกคนไม่เคยเห็นเม็ดโลหิตอันอื่นมาก่อน จึงไม่อาจเปรียบเทียบได้ แต่พวกเขาเคยเห็นเม็ดพิษมาก่อนสองเม็ด เม็ดหนึ่งเป็นเม็ดพิษของร่างพิษสักคนที่กงซุนฉางหลีนำมาให้ เม็ดพิษเม็ดนั้นไม่ใหญ่ ขนาดประมาณไข่นกกระทา ส่วนเม็ดพิษของรานีอสูรใหญ่กว่าเล็กน้อย ขนาดไม่ต่างกับเม็ดโลหิตนี้มากนัก
แต่วรยุทธ์ของมารโลหิตเหนือกว่ารานีอสูรอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดขนาดจึงใกล้เคียงกันได้ ทุกคนต่างไม่เข้าใจ
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นสาระสำคัญ ขอเพียงสามารถช่วยชีวิตเสี่ยวเวยได้ เรื่องขนาดย่อมไม่มีใครสนใจ
อีกด้านหนึ่ง อวิ๋นจูกับยอดหญิงงามได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเช่นกัน ถึงออกมาจากกระโจม
อวิ๋นจูเห็นจีหมิงซิวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยหิมะแล้วสายตาพลันสั่นไหว “เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
จีหมิงซิวบอกว่า “ข้าไม่เป็นอะไร ท่านยาย”
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันไปมองเม็ดโลหิตในมือเฉียวเจิงกันเป็นตาเดียว
บอกตามตรง พวกเขาล้วนเพิ่งเคยพบมารโลหิตกันเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้เลยว่าในโลกหล้านี้ยังมีมารที่น่าเกรงกลัวเพียงนี้อยู่ด้วย ส่วนที่ว่าเม็ดยาพิษสามารถรักษาอาการของเฉียวเวยได้นั้น ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเฮ่อหลันชิงเท่านั้น ส่วนที่ว่าเจ้าเม็ดนี้มีสรรพคุณอันเลอเลิศเพียงนั้นจริงหรือไม่ ยังต้องดูบุญกรรมที่ตัวเฉียวทำเอาไว้ด้วย
“เม็ดโลหิต… ต้องใช้อย่างไรหรือ” อยู่ๆ ไห่สือซานก็ถามขึ้น
ทุกคนได้ยินก็พลันอึ้งไป ครั้งนี้จำได้ว่าเฉียวเวยหาใช่คนฝึกวรยุทธ์ น่ากลัวว่าจะกลั่นเอาของข้างในเม็ดโลหิตออกมาไม่ได้
เฉียวเจิงบอกว่า “จัดการเอาไอมารในเม็ดโลหิตออกมาก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยใช้วรยุทธกลั่นออกมาอีกที ส่วนที่เหลือก็คงเป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาแล้ว”
“เม็ดโลหิตเอามาให้ข้า” เฮ่อหลันชิงยื่นมือออกไป
เฉียวเจิงเอาเม็ดโลหิตวางลงบนมือนาง
เฮ่อหลันชิงกำเม็ดโลหิตเอาไว้หลวมๆ โ
เฉียวเจิงเอ่ยเตือน “เจ้าระวังหน่อย อย่าไปถูกไอมารข้างในเข้า”
เฮ่อหลันชิงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
เฮ่อหลันชิงเริ่มเดินกำลังภายในค่อยๆ สลายเอาไอมารในเม็ดโลหิตออก แต่กระนั้นที่ทำให้เฮ่อหลันชิงตกใจก็คือ ในเม็ดโลหิตนี้ไม่มีไอมารอยู่เลยแม้สักนิด กระทั่งวรยุทธ์ก็น้อยแสนน้อย น้อยถึงขั้นที่เฮ่อหลันชิงสามารถตัดมันได้เลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้น” อวิ๋นจูถาม
เฮ่อหลันชิงเอ่ยว่า “ข้าไม่ควรถามเจ้ามากกว่าหรือ มารโลหิตเป็นพวกเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่สะกดเอาไว้ เจ้าที่เป็นคุณหนูลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้เชียวหรือว่าในเม็ดโลหิตของมันมีกลไกอย่างไรกันแน่”
อวิ๋นจูคร้านจะต่อปากต่อคำของนาง
“มีผลต่อฤทธิ์ยาหรือไม่” จีหมิงซิวเอ่ยถาม
เฉียวเจิงส่ายหน้า “น่าจะไม่มี”
ไม่เพียงแค่ไม่มีผลต่อฤทธิ์ยา ในบางมุมแล้วยังนับเป็นเรื่องดีอีกด้วย เฉียวเวยเดิมทีก็ไม่ใช่คนฝึกวรยุทธ์ ทนรับวรยุทธ์อันกล้าแกร่งของมารโลหิตไม่ได้ และยิ่งทนรับไอมารของมารโลหิตไม่ไหว เฮ่อหลันชิงถึงแม้จะสามารถขจัดพิษออกไปได้แต่กลับไม่กล้าบอกว่าสามารถขจัดออกไปได้อย่างหมดจด แต่ในเมื่อตัวมันเองไม่มี จึงนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก
“เอาให้ข้าเถิด” เฉียวเจิงหยิบเม็ดโลหิตไปจากมือภรรยาของตน
ด้านนอกกระโจม เครื่องมือเครื่องใช้ที่ควรมียิ่นอ๋องตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว กระทั่งแจกันเหล็กโอสถก็ยังทำขึ้นเดี๋ยวนั้น เฉียวเจิงรีบเอาเม็ดโลหิตไปทำยา ครึ่งหนึ่งใช้ภายนอก อีกครึ่งหนึ่งใช้ภายใน ซึ่งล้วนสามารถเพิ่มการช่วยเหลือด้านการนำพาตัวยาได้ดีขึ้น พูดไปอาจฟังดูง่าย แต่เมื่อต้องปฏิบัติกลับไม่ง่ายเพียงนั้น
อวิ๋นจูกับยอดหญิงงามช่วยเป็นลูกมือให้เขา
ยิ่นอ๋องออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รีบเร่งรุดมาทางนี้ พอมาถึงแท่นบวงทรวงก็ได้กลิ่นฉุนของยา ในกลิ่นยายังคล้ายมีไอโลหิตเจืออยู่เล็กน้อยด้วย
แต่ไอโลหิตนี้ต่างกับไอโลหิตที่ได้กลิ่นเมื่อวานอยู่มากโข คล้ายให้ความรู้สึกสงบนิ่งไหลลื่นอยากบอกไม่ถูก
นี่น่าจะคือเม็ดโลหิต
ยิ่นอ๋องถอนหายใจยาวเหยียด เมื่อมีเม็ดโลหิต อย่างน้อยก็รักษาชีวิตของสตรีนางนั้นไว้ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
ยอดหญิงงามดึงโสมอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยกับอวิ๋นจูว่า “ท่านยาย เมื่อวานเพื่อช่วยท่าน ท่านอ๋องก็ทุ่มเทไปมากเหมือนกันนะเจ้าคะ”
อวิ๋นจูได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยๆ หันมา จึงบังเอิญเห็นยิ่นอ๋องที่ตั้งใจจะแกล้งมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านไปพอดี
เมื่อถูกเห็นเข้าเสียแล้ว จะแกล้งตาทำเป็นไม่เห็นก็คงไม่ได้อีก
“ที่เจ้าบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” อวิ๋นจูจำได้ว่าเขาเหมือนถูกมารโลหิตฟาดเข้าใส่หนึ่งฝ่ามือ
ฝ่ามือนั้นเป็นเพียงแผลภายนอก ตอนโดนเข้าไปคงเจ็บไม่หยอก แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
ยิ่นอ๋องบอกว่า “ไม่เป็นอะไร”
พูดจบเขาก็เหลือบมองอวิ๋นจูทีหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
สายตาของอวิ๋นจูมีแววอบอุ่นใจวาบผ่าน “ข้าสบายดี”
ยิ่นอ๋องกระแอมเบาๆ อย่างประดักประเดิด ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ามีธุระอยากคุยกับจีหมิงซิว” พูดจบก็เดินหนีไป
แน่นอนว่ายิ่นอ๋องไม่ได้มาหาจีหมิงซิว เขามาดูอาการเฉียวเวย แต่ตอนนั้นเขาถูกอวิ๋นจูใช้สายตาเช่นนั้นมองมา จึงรู้สึกทำตัวไม่ถูก คิดออกแต่เพียงต้องรีบหนีไป กระทั่งตัวเองพูดอะไรออกไปก็ยังไม่รู้ตัว
เป็นยอดหญิงงามที่เอาใจใส่ไปเรียกพี่ชายลูกพี่ลูกน้องออกมาให้ น้องชายลูกพี่ลูกน้องอย่างยิ่นอ๋องถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรออกไป
“หาข้ามีธุระอะไร” จีหมิงซิวเดินออกมาพลางเอ่ยเสียงเรียบ
ยิ่นอ๋องขี่หลังเสือแล้วยากจะลง จึงลูบเสาที่อยู่ข้างๆ พลางหาเรื่องพูดออกไปว่า “มารโลหิตอาจจะ…รู้จักกับอวิ๋นจู”
เขาสาบานว่าเขาไม่ได้มาเพื่อเอ่ยเรื่องนี้!
แต่ยามที่สายตาของจีหมิงซิวมองมาทางเขานั้น ในหัวของเขามีเพียงความว่างเปล่า จากนั้นก็เอ่ยเรื่องสำคัญเพียงนี้ออกไปโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่มีทางยอมรับว่าตนอยากโอ้อวดตัวต่อหน้าจีหมิงซิวสักหน่อย เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเขานั้นรู้เรื่องราวมากกว่าจีหมิงซิว
“อ่า” จีหมิงซิวตอบรับเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ข้ารู้”
ยิ่นอ๋องอึ้งไป “เจ้ารู้? เจ้าจะรู้ได้อย่างไร อวิ๋นจูบอกเจ้าหรือ” โ
จีหมิงซิวเหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉย “นางเป็นท่านยายของเจ้านะ”
ยิ่นอ๋องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ท่านยายไม่ได้เป็นคนบอกข้า” จีหมิงซิวหยิบยันต์คุ้มภัยสีทองออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นไปให้ยิ่นอ๋อง
ยิ่นอ๋องรับไปมองดู ก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจว่า “เอาสิ่งนี้ให้ข้าทำไมกัน ข้าตั้งกระโจมให้ที่นี่ตั้งหลายหลัง เจ้าจะใช้ยันต์คุ้มภัยเก่าๆ เช่นนี้ตอบแทนข้าหรือ ไม่ขี้เหนียวไปหน่อยหรือ”
จีหมิงซิวมองอีกฝ่ายคล้ายมองคนเบาปัญญา เอ่ยว่า “ยันต์คุ้มภัยของท่านยาย ไปเจออยู่ในถ้ำของมารโลหิต”
เมื่อคืน ยิ่นอ๋องได้ยินแม่เฒ่าเอ่ยถึงเรื่องของมารโลหิตมาไม่น้อย ย่อมรู้ว่ามารโลหิตมีถ้ำของตนอยู่แห่งหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าวันนี้จะไปลองหาดูสักหน่อย ใครจะคิดว่าจีหมิงซิวจะเร็วกว่าเขาไปก้าวหนึ่ง
เขาถามด้วยความสงสัย “เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่านั่นเป็นถ้ำของมารโลหิตผู้นั้น”