หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 68-1 น้องเฉียวได้สติ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 68-1 น้องเฉียวได้สติ
ตอนที่ 68-1 น้องเฉียวได้สติ
เรื่องของมารโลหิตเรียกได้ว่าเรียกแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ให้กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว ไม่มีใครรู้ว่าใต้ทะเลสาบของลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีการสะกดมารเช่นนี้เอาไว้ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที
เย่ว์หวาที่เป็นขิงแก่ย่อมไม่มีทางแบกรับความผิดนี้ ตกดึกก็ออกประกาศว่าตนป่วยทันที
ปรมาจารย์เวทเพิ่งขึ้นมารับตำแหน่งได้ไม่นาน อายุยังน้อย ประสบการณ์ไม่ค่อยมี จึงไม่มีใครโยงไปว่าเขาเป็นคนกักขังมารโลหิตที่ถูกสะกดมาแล้วนานหลายปี
ดังนั้นคนที่ถูกล้อมไว้จึงมีเพียงแม่เฒ่าที่รักษาการณ์ดูแลเกาะอิ๋นหูแต่เพียงผู้เดียว
แม่เฒ่าออกจากเกาะอิ๋นหูตั้งแต่เช้าตรู่ ลงเรือได้ไม่เท่าไรก็ถูกผู้พิทักษ์หลายคนกับหัวหน้าผู้ดูแลขวางเอาไว้
ความอาวุโสสูงต่ำในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อิงตามระยะเวลาในการเข้าสำนักอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างตอนนั้นอวิ๋นชิงเข้าสำนักมาช้ากว่าผู้พิทักษ์เหลียนหลายปี แต่เพราะเขาวรยุทธ์สูงกว่า ทุกคนจึงเรียกเขาว่าศิษย์พี่กันหมด
อวิ๋นชิงยังเป็นเช่นนี้ ผู้พิทักษ์กับหัวหน้าผู้ดูแลยิ่งไม่อิงตามอายุและประสบการณ์เข้าไปใหญ่
ดังนั้นคนกลุ่มนี้ มีบางคนต่อให้เป็นเพียงหัวหน้าผู้ดูแล แต่กลับอายุมากกว่าผู้พิทักษ์เหลียนและเย่ว์หวาเสียอีก
เรื่องที่เมื่อตอนนั้นลัทธิศักดิ์สิทธิ์ถูกจักรพรรดิอสูรสังหารหมู่ พวกเขาย่อมรู้เรื่องดี ถึงแม้จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง แต่ตอนพวกเขาเร่งรุดกลับมาจัดการสถานที่เกิดเหตุนั้น ภาพที่น่าสลดหดหู่ ต่อให้ผ่านไปนานหลายปี พอได้นึกย้อนกลับไปก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อวานมารโลหิตกับเฮ่อหลันชิงต่อสู้กัน พวกเขาถึงแม้จะไม่ได้มาชมที่ลานประลอง แต่ก็ได้เห็นสภาพลานประลองหลังการต่อสู้จบลง เรียกได้ว่าเหมือนสภาพในตอนนั้นราวกับภาพซ้อนทับเลยทีเดียว!
เหตุใดวิธีการสังหารของมารโลหิตถึงได้เหมือนกับจักรพรรดิอสูร เช่นนี้ไม่น่าแปลกหรือ
“ผู้พิทักษ์เหลียน เจ้าอธิบายให้พวกข้าฟังได้หรือไม่”
ผู้พิทักษ์แซ่เจิงคนหนึ่งเข้ามาขวางทางแม่เฒ่าเอาไว้ก่อน
เกาะอิ๋นหูแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยข้องเกี่ยวกับกิจธุระของเจ้าสำนัก แม่เฒ่าก็อยู่ที่เกาะมาโดยตลอด น้อยครั้งที่จะไปไหนมาไหนในสำนัก เดิมทีหลังเกิดเรื่องกับปรมาจารย์เวท ก็ควรเป็นผู้พิทักษ์แซ่เจิงผู้นี้ที่เข้าช่วยกิจการงานภายในลัทธิ แต่ก็จนใจที่เขาไม่อยู่ เมื่อวานถึงเพิ่งกลับมา
เมื่อเห็นแม่เฒ่าไม่พูดอะไร ผู้พิทักษ์เจิงจึงทำเสียงดุขึ้น “ผู้พิทักษ์เหลียน เจ้าไม่มีอะไรจะบอกหรือ”
แม่เฒ่าตีหน้าเข้ม “เจ้าอยากให้ข้าบอกอะไร เรื่องการประลองกับอวิ๋นจูและเฮ่อหลันชิง เจ้าสำนักน้อยเป็นคนรับคำท้า เรื่องเช่นนี้พวกเจ้าไม่ควรไปถามเขาหรือ” โ
ผู้พิทักษ์เจิงเอ่ยเสียงดุดัน “ข้าพูดถึงเรื่องท้าประลองหรือ ข้าพูดถึงเรื่องมารโลหิตต่างหาก”
แม่เฒ่าเอ่ยว่า “มารโลหิตทำไมกัน”
ผู้พิทักษ์เจิงเอ่ยถาม “ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์เหตุใดถึงมีมารโลหิตอยู่ได้ มีมาตั้งแต่เมื่อไร อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้ หากเจ้าไม่รู้จริงๆ ครั้งนี้คงไม่ปล่อยมันออกมา”
แม่เฒ่ากำไม้เท้าในมือแน่น “จักรพรรดิอสูรเป็นคนสะกดมันไว้”
ผู้พิทักษ์เจิงเอ่ยอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “สะกดไว้ตั้งแต่เมื่อใด”
แม่เฒ่าบอกว่า “ข้าไม่รู้”
ผู้พิทักษ์เจิงหรี่ตาลง “เจ้าไม่รู้?”
ขนตาแม่เฒ่าสั่นระริก “หลังจากมารโลหิตถูกสะกดแล้ว จักรพรรดิอสูรถึงได้บอกข้า”
ผู้พิทักษ์เจิงส่งเสียงหึเย็นๆ “จักรพรรดิอสูรบอกเจ้า แต่กลับไม่บอกพวกเรา? ผู้พิทักษ์เหลียน ต้องให้ข้าเตือนเจ้าหรือไม่ ว่าตลอดเวลาที่จักรพรรดิอสูรถูกขังไว้ในเกาะอิ๋นหู เจ้ายังเป็นเพียงแค่สาวใช้ธรรมดาเท่านั้น ทุกคนในเหตุการณ์ที่ฐานะสูงกว่าเจ้าล้วนอยู่ที่นั่นกันหมด เหตุใดจักรพรรดิอสูรกลับบอกเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
แม่เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “ที่จักรพรรดิอสูรไม่ได้บอกทุกคน ก็เพราะไม่อยากสร้างความหวาดระแวงที่ไม่จำเป็น เขากลัวคุณหนูจะดื้อรั้น ไม่ระวังบุกเข้าไป ถึงได้บอกเรื่องที่สะกดมารโลหิตไว้ใต้ทะเลสาบกับข้า เพื่อเตือนให้ข้าดูแลคุณหนูให้ดี อย่าให้คุณหนูซุกซนจนไปยั่วยุมารโลหิตเอาได้”
ผู้พิทักษ์เจิงลองใคร่ครวญแล้วบอกว่า “ที่เจ้าบอกยังไม่ชัดเจนเสียทีเดียว เขาไม่กลัวบ้างหรือว่าลูกศิษย์คนอื่นจะบุกเข้าไป อีกอย่างเขาไม่ได้เป็นจักรพรรดิอสูรที่ธาตุไฟเข้าแทรกแล้วหรือ คนที่ธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว จะอารมณ์เย็นพอให้เอ่ยเตือนเจ้าเรื่องดูแลคุณหนูได้อย่างไร หากเป็นเรื่องก่อนหน้าที่เขาจะกลายเป็นจักรพรรดิอสูร เขาก็น่าจะเอาชนะมารโลหิตไม่ได้ การที่เขาสามารถสะกดมารโลหิตได้ หมายความว่าเขาได้กลายเป็นจักรพรรดิอสูรไปแล้ว”
บนหน้าผากแม่เฒ่ามีเหงื่อผุดขึ้นมาเป็นเม็ดๆ
สายตาแหลมคมของผู้พิทักษ์เจิงหยุดมองที่ใบหน้านาง “เจ้าสำนักอวิ๋นชิงรู้เรื่องนี้หรือไม่”
แม่เฒ่า “ไม่รู้”
“เจ้าสำนักอวิ๋นซู่เล่า” ผู้พิทักษ์เจิงถามต่อ
ลูกกระเดือกแม่เฒ่าขยับขึ้นลง เชิดคางขึ้นมองหัวหน้าผู้ดูแลและผู้พิทักษ์ทุกคน พลางเอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “ก็ไม่รู้เช่นกัน เรื่องปล่อยตัวมารปีศาจออกมาเป็นความคิดของข้าคนเดียว ชัยชนะของเมื่อวานถือเป็นหัวใจสำคัญ ข้าไม่อยากให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปตกอยู่ในมือคนนอก ถึงต้องจำใจปล่อยมารโลหิตออกมา เรื่องนี้ข้าไตร่ตรองไม่รอบคอบ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ลูกศิษย์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องตาย ข้ารู้สึกผิดและปวดใจยิ่งนัก เจ้าสำนักอวิ๋นซู่อยู่ในช่วงปลีกวิเวก ไว้รอเขาออกมาแล้ว ข้าจะไปขอรับโทษจากเขาเอง ทุกท่านเชิญกลับไปเถิด” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
นางเอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนยังจะกดดันถามอะไรนางได้อีก
“ผู้พิทักษ์เจิง” หัวหน้าผู้ดูแลคนหนึ่งเหมือนมีอะไรจะพูด
ผู้พิทักษ์เจิงยกมือขึ้น บอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องพูด หัวหน้าผู้ดูแลคนนั้นก็เงียบไปจริงๆ
ผู้พิทักษ์เจิงหันไปเอ่ยกับแม่เฒ่า “เรื่องเมื่อตอนนั้น ทางที่ดีขอให้เป็นอย่างที่เจ้าว่า ไม่อย่างนั้น…”
คำพูดต่อจากนั้นเขาไม่ได้เอ่ย
สีหน้าแม่เฒ่าไม่เปลี่ยนไปสักนิด
ผู้พิทักษ์เจิงจากไปพร้อมกับความสงสัยในเรื่องวิธีการสังหารของมารโลหิตกับจักรพรรดิอสูรที่เหมือนกันทุกอย่าง
พวกเขาเพิ่งเดินจากไป ไม่เท่าไรยิ่นอ๋องก็เดินเข้ามา
แม่เฒ่ากำลังจะไปยังที่พักของอวิ๋นซู่ พอหันไปก็เจอกับสีหน้าบูดบึ้งของยิ่นอ๋องเข้าอย่างจัง
“เจ้าสำนักน้อย” แม่เฒ่าเอ่ยทักทายอย่างผู้อ่อนอาวุโส
ยิ่นอ๋องกัดฟัดกรอดขณะถามว่า “เหตุใดถึงต้องโกหก”
แม่เฒ่าเอ่ยว่า “เจ้าสำนักน้อยพูดเรื่องอะไร ข้าน้อยฟังไม่เข้าใจ”
ยิ่นอ๋องข่มไฟโทสะที่คุกรุ่นเอาไว้ เพ่งมองนางนิ่ง “ประมุข ผู้พิทักษ์และลูกศิษย์ที่โดนสังหารในตอนนั้น ไม่ใช่ฝีมือของจักรพรรดิอสูรแต่เป็นมารโลหิต เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกความจริงกับพวกเขาไป”
แม่เฒ่าเอ่ยเสียงขรึมว่า “คำพูดเหล่านี้เจ้าสำนักไปฟังมาจากที่ใดกัน”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงดุ “คนที่เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ในวันนั้น กว่าครึ่งตายไปหมดแล้ว คนที่ไม่ตายฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ ประมุขเย่ว์หวาคือคนประเภทหลัง แต่เขาตกใจจนสลบไปก่อนแล้ว ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แต่จะมีเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่ ทั้งๆ ที่เห็นทุกอย่างกับตา แต่กลับถูกใครบางคนลบความทรงจำช่วงนั้นไปเสีย”
สายตาแม่เฒ่าดูเกร็งขึ้นทันที “เจ้าสำนักน้อยอยากพูดอะไรกันแน่”
ยิ่นอ๋องถามด้วยน้ำเสียงแดกดัน “ประมุขเหล่านั้น ตายด้วยมือจักรพรรดิอสูร หรือตายด้วยมือมารโลหิต หรือถูกคนฆ่าปิดปาก ผู้พิทักษ์เหลียนเจ้าพบเห็นอะไรมาบ้าง เจ้าช่วยบอกข้าที”
แม่เฒ่ามองยิ่นอ๋องด้วยความโกรธเกรี้ยว ไม่ได้ตอบคำถามเขาแต่ยกมือขึ้นสะบัดตบหน้ายิ่นอ๋องอย่างแรง!
ยิ่นอ๋องถูกตบจนหน้าหัน ตรงมุมปากมีเลือดย้อยลงมา เขาเช็ดรอยเลือดตรงมุมปาก มองนางอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ากล้าตบข้า กำเริบเสิบสาน เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”
แม่เฒ่าเอ่ยด้วยความไม่ได้อย่างใจว่า “ท่านพ่อเจ้าใกล้จะตายเต็มทีแล้ว แผ่นดินที่ท่านปู่เจ้าทุ่มเทชีวิตสร้างมาใกล้จะถูกแย่งไปเต็มทีแล้ว แต่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าฟังเรื่องเพ้อเจ้อไม่กี่คำ ก็เอาใจออกห่าง คิดจะช่วยพวกคนตระกูลจีเล่นงานข้าเสียแล้ว! ข้าอยู่ข้างใครเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ที่ข้าทำเช่นนี้เพื่อใครเจ้าไม่รู้แก่ใจสักนิดเลยหรือ หากไม่ใช่เพื่อพวกเจ้าพ่อลูก ข้าต้องมาแบกรับคำครหามากมายเช่นนี้หรือ!”
ยิ่นอ๋องเอ่ยว่า “แท้จริงแล้วเพื่อคนอื่น หรือเพื่อตัวเจ้าเอง เจ้ารู้ดีแก่ใจ”
สายตาแม่เฒ่าพลันวาววับ “เจ้าว่าอะไรนะ”
ยิ่นอ๋องกำยันต์คุ้มภัยกับตำราชิงเหลียนไว้แน่น อดทนไว้ไม่เอาออกมาโยนใส่หน้านาง บางคนไม่ถึงฮวงโหไม่ยอมถอดใจ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา คิดอยากให้นางยอมรับว่าตนโกหก จำต้องมีหลักฐานที่แน่นหนากว่านี้
อันที่จริงเขาไม่สนใจสักนิดว่าจักรพรรดิอสูรจะถูกกล่าวโทษเท็จหรือไม่ เขาเพียงแค่ไม่ชอบใจที่สตรีนางนี้หลอกลวงเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยิ่นอ๋องเรียกได้ว่าไม่พอใจนางถึงขีดสุดแล้ว จึงเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “สิ่งที่ข้าต้องการแค่เพียงความจริงประโยคเดียวเท่านั้น! หากเจ้ายอมรับทุกอย่างก็จะผ่านไป ข้าจะไม่ซักไซ้หาความผิดกับเจ้า แต่หากเจ้ายังอมพะนำไม่ยอมบอก เช่นนั้นข้าก็จะสืบต่อไปจนกว่าเจ้าจะยอมรับ!”
แม่เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าสำนักน้อยอยากให้ข้ายอมรับอะไรหรือ ยอมรับเรื่องที่ข้าไม่เคยทำเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เจ้าสำนักน้อยคาดเดานั้นถูกต้องอย่างนั้นหรือ ทำเช่นนี้จะมีความหมายอะไร หรือว่าเพื่อให้เจ้าสำนักน้อยได้มีเรื่องไปโอ้อวดกับผู้อื่นเขาสักวันหนึ่งว่า ‘ข้า หลี่ยิ่นเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกหล้า ไม่มีเรื่องใดที่ข้าคาดเดาไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเล็ดรอดสายตาข้าไปได้’ เพื่อเท่านี้ข้าก็ควรแบกความผิดทั้งหมดเอาไว้แล้วหรือ”
ยิ่นอ๋องโกรธจนตัวสั่น “เป็นเรื่องเท็จหรือความจริง เจ้ารู้ดีแก่ใจ!”
แม่เฒ่าเชิดคางขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าย่อมเข้าใจดี ตัวตรงย่อมไม่กลัวเงาเบี้ยว เจ้าสำนักน้อยอยากสืบอะไร เชิญสืบได้เลย! ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าสำนักน้อย ไม่นานเจ้าสำนักน้อยก็จะได้รู้ว่า ยิ่งมีหลักฐานมากเท่าไร ก็ยิ่งยืนยันความบริสุทธิ์ของข้าได้มากเท่านั้น”