หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 68-2 น้องเฉียวได้สติ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 68-2 น้องเฉียวได้สติ
ตอนที่ 68-2 น้องเฉียวได้สติ
ท่าทางมั่นอกมั่นใจของนาง ทำให้ชั่วขณะหนึ่ง ยิ่นอ๋องคิดว่าตนใส่ร้ายนางจริงๆ
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร
ลูกศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หากถูกจักรพรรดิอสูรสังหารจริง เช่นนั้นเหตุใดครั้งนี้จักรพรรดิอสูรถึงไม่สังหารอีก
เมื่อธาตุไฟเข้าแทรก ยิ่งผ่านไปนานเท่าไรมีแต่จะยิ่งอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตอนนั้นที่สูญเสียสติสัมปชัญญะสังหารคนไปกว่าครึ่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีเหตุผลให้กลับมาควบคุมตนเองได้ดียิ่งขึ้น
ยังมีเรื่องเกี่ยวกับอวิ๋นจูและมารโลหิต ซึ่งก็มีจุดน่าสงสัยอยู่มากเกินไป
อวิ๋นชิงเป็นเจ้าสำนักคนก่อน ยิ่งไม่มีทางไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมารโลหิต
แต่สตรีนางนี้ไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น!
คนที่เย่อหยิ่งและถือตนไม่มีทางยอมให้คนที่ต่ำต้อยกว่าเอาชนะอย่างแน่นอน จะพ่ายแพ้ให้กับจีหมิงซิวที่เป็นความภูมิใจแห่งสวรรค์ ยิ่นอ๋องยังไม่ยอม นับประสาอะไรกับแม่เฒ่าแก่ๆ อย่างผู้พิทักษ์เหลียนกัน
นัยน์ตายิ่นอ๋องมีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน
แม่เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากไม่มีธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ หากเจ้าสำนักน้อยมีเวลามีครุ่นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ที่นี่ สู้ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสำนักจะดีกว่า ท่านเป็นบุตรชายโดยสายเลือดของเขา เมื่อเขาล้มป่วย ท่านก็ควรไปคอยรับใช้อยู่ข้างเตียง เรื่องลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะออกหน้าจัดการเอง ยังไม่ต้องให้เจ้าสำนักน้อยเป็นห่วง”
เช่นนี้เท่ากับมาแขวนอำนาจเขาอย่างนั้นหรือ
ยิ่นอ๋องหรี่ตาลง ยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้านังปีศาจเฒ่าคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ
แต่กระนั้นอวิ๋นซู่ก็ดันให้ความสำคัญกับนาง มีเรื่องอะไรก็ไหว้วานนางเสมอ กระทั่งตราประทับของเจ้าสำนักก็ให้นางไปด้วย ไม่เกินไปเลยที่จะบอกว่า เวลานี้นางก็คือตัวแทนของเจ้าสำนัก
สายตาของยิ่นอ๋องหยุดมองตราประทับที่แขวนอยู่ที่เอวนางแล้วค่อยๆ กำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
กว่ายอดหญิงงามจะตามเข้ามาหายิ่นอ๋อง แม่เฒ่าก็เดินหายไปแล้ว
สีหน้ายิ่นอ๋องย่ำแย่ถึงขีดสุด
ยอดหญิงงามมองแม่เฒ่าที่เกือบจะเดินหายลับไปแล้ว แล้วค่อยหันมองบุรุษของบ้านตน ก่อนจะเอ่ยอย่างดุดันว่า “ท่านอ๋อง นังปีศาจเฒ่าผู้นั้นรังแกเจ้าใช่หรือไม่ ข้าจะไปบีบคอนางให้ตายเดี๋ยวนี้!”
เป็นครั้งแรกที่ยิ่นอ๋องมีความเห็นพ้องกับสตรีนางนี้ นั้นก็คือเขาอยากบีบคอผู้พิทักษ์เหลียนให้ตายจริงๆ!
แต่ไม่ใช่เวลานี้
“ง้างปากนางออกมาก่อน ให้นางยอมรับแล้วค่อยบีบคอนางให้ตาย!”
ยอดหญิงงามหลงใหลกับดวงตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารนี้จนจิตใจปั่นป่วน
นางยกข้าวที่ใหญ่ยาวกับช้างสารขึ้นถูกยิ่นอ๋องจนกระเด็นไปติดกับกำแพง
กำแพงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ผิวกำแพงกับกระเบื้องร่วงกราวลงมา
บนศีรษะทั้งสองมีแต่เศษฝุ่น
ยิ่นอ๋อนบ้วนฝุ่นในปากออก
ยอดหญิงงามสะบัดศีรษะ ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับปลายคางได้รูปของยิ่นอ๋อง ลมหายใจปั่นป่วน เอ่ยอย่างรักใคร่ใหลหลงว่า “ที่รัก เคยมีคนบอกเจ้าหรือไม่ ตอนเจ้าโกรธช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน”
ยิ่นอ๋อง “!?!?!?!?”
…
กลับมาเอ่ยถึงผู้พิทักษ์เหลียน หลังจากขอตัวจากยิ่นอ๋องแล้ว นางก็มุ่งตรงไปที่เรือนของอวิ๋นซู่ พอไปถึงปากประตู ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งก็เดินสีหน้าร้อนรนเข้ามากระซิบหลายงานที่ข้างหูนางอยู่พักหนึ่ง
ผู้พิทักษ์เหลียนหน้าพลันถอดสี “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
“เจ้าค่ะ”
ลูกศิษย์หญิงถอยออกไป
ผู้พิทักษ์เหลียนไปที่ห้องครัว ยกยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆ ไปที่ห้องของอวิ๋นซู่
ตอนยิ่นอ๋องไปถึงเรือน เขาถูกคนขวางเอาไว้ด้านนอก
เขาได้ยินเสียงคร่ำครวญของแม่เฒ่าดังแว่วมาจากในห้องของอวิ๋นซู่ แต่นางกำลังคร่ำครวญเรื่องใดนั้น เขาได้ยินไม่ปะติดปะต่อ “ท่านบ้าไปแล้ว” “ท่านรู้หรือไม่” แค่เพียงเท่านี้ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หลังจากนั้นภายในห้องก็กลับมาเงียบสงัด
ไม่เท่าไรผู้พิทักษ์เหลียนก็เดินออกมา สีหน้านางสงบนิ่งยิ่งนัก มีแค่ดวงตาที่บวมแดง
…
ยามค่ำคืน หลังจากหิมะตกลงมา ถนนหนทางบนภูเขาก็ยิ่งเดินยากขึ้น
ขายาวๆ ขององครักษ์เกราะทมิฬยังพอไหว แต่ไห่สือซานที่รูปร่างเล็ก แค่ก้าวพลาดเพียงนิด หิมะก็แทบขึ้นมาอยู่ตรงบั้นเอวเขาแล้ว
“เฮ่อ!” เจ้าไห่ตัวเล็กถอนหายใจยาว
“จอมยุทธไห่ ตรงนี้มีสองทาง จะไปทางซ้ายหรือทางขวาหรือ” องครักษ์เกราะทมิฬที่เป็นคนนำทางถามขึ้น
ไห่สือซานเหลือบมองแล้วบอกว่า “ทางขวา”
คณะของพวกเขาเลี้ยวไปทางขวา มุ่งหน้าสู่ถ้ำของมารโลหิตต่อไป
ในขณะที่พวกเขากำลังจะไปถึงปากถ้ำนั้น องครักษ์เกราะทมิฬที่เป็นคนนำทางพบความเคลื่อนไหวผิดปกติ เขายกมือขึ้น บอกให้ทุกคนหยุดเดิน
พวกเขาทุกคนหยุดเดิน
สองหูกระดิก เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้างหน้ามีคน”
ไห่สือซานชักขาสั้นๆ ของตนขึ้นมาแล้วก้าวเข้าไปยืนข้างกายเขา “กี่คน”
เขาบอกว่า “สตรีหกคน สังเกตจากไอแล้วน่าจะเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น”
“สตรี? ยอดฝีมือ?” ไห่สือซานพลันนึกถึงลูกศิษย์หญิงบนเกาะอิ๋นหู เขาถามว่า “พวกเจ้าสู้ได้หรือไม่”
องครักษ์เกราะทมิฬ “สู้ได้”
อีกฝ่ายมีคนมากกว่าพวกเขาสองเท่า แต่พวกเขาเป็นยอดฝีมือที่รอดชีวิตจากปีศาจสาวเฮ่อหลันมาได้ หากวิชาการต่อสู้ไม่แข็งกร้าวพอคงไม่มีทางรอดมาได้
ไห่สือซานโบกมือ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัว ไป!”
พวกเขาเคลื่อนตัวเข้าไปในป่า ในขณะที่กำลังจะไปถึงปากถ้ำนั้น ไห่สือซานก็ได้เห็นลูกศิษย์หญิงของเกาะอิ๋นหูจริงๆ ดังคาด
ลูกศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีมากมาย แต่มีเพียงลูกศิษย์บนเกาะอิ๋นหูที่สวมใส่อาภรณ์สีชมพู จึงง่ายที่จะแยกออก
ถ้ำที่อยู่ด้านหลังพวกนางก็น่าจะเป็นรังเก่าของมารโลหิต
ไห่สือซานคิดว่าพวกนางมาจัดการเก็บซากศพ ไม่มีใครคิดว่าพวกนางไม่สนใจซากโครงกระดูกที่อยู่บนพื้นหิมะสักนิด แต่กลับใช้แคร่ยกอะไรบางอย่างออกมา โ
ท่ามกลางเสียงอะไรหยดดังติ๋งๆ ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
รอจนพวกนางเดินพ้นออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว ไห่สือซานหันมองบนแคร่อีกทีก็ถึงกับตาค้าง
เลือดที่หยดติ๋งๆ นั้น… ไม่ใช่มารโลหิตหรอกหรือ
…
ลมเหนือพัดผ่านแท่นบวงสรวง กระโจมถูกพัดจนเกิดเสียงดังอื้ออึง
ไห่สือซานไปเก็บกวาดศพมารโลหิต ยอดหญิงงามไปดูแลสามีกับลูกๆ รอบด้านกระโจมจึงไม่เหลือใครอยู่ ถ่านที่เหลืออยู่ในเตายังคงเผาไหม้ดังเป๊าะแป๊ะ
ในกระโจมกลางแท่นบวงสรวงที่หลังใหญ่และอบอุ่นที่สุด เฉียวเวยนอนนิ่งอยู่กับอกจีหมิงซิว
พวกเฮ่อหลันชิงเฝ้ากันอยู่ข้างๆ
ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
เฉียวเวยได้รับการรักษาจากเม็ดโลหิตไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว เฉียวเวยยังคงนิ่งไม่ขยับ
บรรยากาศ… ค่อนข้างน่าอึดอัด
อวิ๋นจูทนไม่ไหว เอ่ยปากถามด้วยความกังวลว่า “หรือว่า… เม็ดโลหิตไม่ได้ผล”
ไม่แปลกที่อวิ๋นจูจะเป็นกังวลเช่นนี้ เพราะในเม็ดโลหิตเม็ดนั้นทั้งไม่มีไอมาร และแทบจะไม่มีกำลังภายในอยู่เลย ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดอย่างแท้จริง ไม่แน่ว่ามารโลหิตอาจจะปล่อยกำลังภายในของเม็ดโลหิตไปหมดแล้ว…
จะใช่ว่าต่อถอนกำลังภายในออก กระทั่งฤทธิ์ยาของมันก็หายไปด้วยอย่างนั้นหรือ
ในขณะที่ทุกคนเริ่มเป็นกังวลเช่นเดียวกับอวิ๋นจู อยู่ๆ เฉียวเวยที่พิงซบอยู่กับอกก็ส่งเสียงอื้อขึ้นมาอย่างอ่อนแรง
ทุกคนพลันตาเป็นประกาย!
จีหมิงซิวก้มหน้าลูบใบหน้าภรรยาอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเวย?”
เฉียวเวยเผยอเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ พอลืมตาได้ไม่เท่าไร ก็หลับลงไปอีกครั้ง
แต่ถึงอย่างไรก็เริ่มมีการตอบสนองแล้ว ทุกคนจึงมองนางด้วยความยินดียิ่ง
เฉียวเวยพยายามลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นได้เสียที เพียงแต่นางสลบอยู่นานเกินไป สายตาพร่ามัวยิ่งนัก สมองก็ไม่สู้จะกระจ่างชัด
นางไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด
นางยกมือขึ้นอย่างอ่อนล้า แล้วเลื่อนไปคลำท้องตนเองตามสัญชาตญาณ “ลูกเล่า?”
ทุกคนหันไปมองเฉียวเจิง
เฉียวเจิงได้แต่ก้มลงเอามือปิดหน้า หัวไหล่สั่นสะท้านขึ้นมาเบาๆ
ลำคอเขาเปล่งเสียงที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้
สายตาจีหมิงซิวมืดครึ้ม
อวิ๋นจูขอบตาแดงก่ำ
น้ำตาของเฉียวเวยไหลหยดลงมา “ลูกของข้าเล่า”
จีหมิงซิวกอดนางไว้ด้วยใจที่ปวดร้าว เอ่ยทั้งขอบตาแดงว่า “ไว้มีใหม่นะ พวกเรายังต้องมีอีกแน่…”
หัวไหล่ของเฉียวเจิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เสียงที่ข่มเอาไว้ก็ควบคุมได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
เฮ่อหลันชิงกระทืบเท้า
เขาเอามือที่ปิดหน้าอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าที่พยายามข่มกลั้นจนแดงก่ำ รวมถึงน้ำตาที่เกิดจากการกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างน่าตีว่า “เจ้าผักกาดน้อยรักษาไว้ได้หรอกน่า!”