หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 72-1 ความจริงเปิดเผย
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 72-1 ความจริงเปิดเผย
ตอนที่ 72-1 ความจริงเปิดเผย
ทางด้านนี้ คณะของจีหมิงซิวเริ่มสืบค้นความเป็นมาเป็นไปของสตรีนางนั้น
อีกฝ่ายอยู่อย่างสงบสุขในลัทธิศักดิ์สิทธิ์มานานปีเพียงนั้น ก็ถึงเวลาชดใช้บาปกรรมที่ทำเอาไว้ได้แล้ว
อันที่จริงจะสังหารนางทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากเฮ่อหลันชิงออกโรง แค่ใช้กระบี่ปาดคอนางทิ้งก็ได้แล้ว
แต่การทำเช่นนั้นออกจะดูถูกนางเกินไป หลังจากทำลายชีวิตคนไปมากขนาดนั้น นางก็ควรได้ลิ้มรสการตกลงจากบัลลังก์เทพบ้างแล้ว
เมื่อครานั้นนางพรากชีวิตของอวิ๋นจูไปอย่างไร เวลานี้จะต้องเอาคืนให้นางเป็นเท่าตัว
แล้วยังความจริงเรื่องจักรพรรดิอสูรกับราชันอสูรอีก จะต้องให้นางคายออกมาทีละตัวต่อหน้าลูกศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทุกคนให้ได้
แน่นอนว่าการสืบหาตัวตนของสตรีนางนั้นเป็นเรื่องสำคัญ การตามหาที่อยู่ของจักรพรรดิอสูรก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน พวกเขายังไม่ลืมว่าจักรพรรดิอสูรหนีไปโดยที่อยู่ในภาวะธาตุไฟเข้าแทรก เวลานี้ทุกนาทีทุกวินาทีจึงถือว่ายากลำบากมากสำหรับจักรพรรดิอสูร
จะต้องรีบตามตัวเขากลับมา หาทางรักษาอาการธาตุไฟเข้าแทรกของเขาให้ได้
สือชี ไห่สือซานกับองครักษ์เกราะทมิฬและราชองครักษ์กระจายกันออกตามหาจักรพรรดิอสูร
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็อยากไปด้วย แต่ก็จนใจที่ขายังไม่หายดี ทำได้เพียงมองส่งสือชีกับไห่สือซานออกไป
เขามองตนเองที่กระทั่งยืนให้มั่นคงก็ยังทำไม่ได้ แล้วมองเฉียวเวยที่กระปรี้กระเปร่าคล่องแคล่ว แน่ใจหรือว่าคมดาบนั้นแทงเข้าที่ท้องนางไม่ใช่ขาของตน?
จอมยุทธ์เยี่ยนนั่งแบนอยู่บนเก้าอี้รถเข็นอย่างน่าสงสาร
หลังจากพวกไห่สือซานออกเดินทางไปแล้ว จีหมิงซิวกับอวิ๋นจูก็เริ่มขยับตัว
ทั้งสองเดินทางไปยังเมืองเหนือยอดเมฆ
ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น สตรีนางนั้นก็เช่นกัน และเพราะความลับของนางมีอยู่มากมาย จุดอ่อนของนางจึงมากกว่าคนทั่วไปด้วย พวกเขาจำเป็นแค่ต้องการปลายของเรื่องหนึ่งให้เจอ ก็จะสามารถสาวจุดอ่อนทั้งหมดของนางออกมาได้
รถม้าหยุดลงข้างหน้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์
อวิ๋นจูถูกสั่งให้ย้ายออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วยข้อหา “ช่วยเหลือคนทรยศ” ชีวิตนี้อย่าได้คิดจะเหยียบเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อีกเลย แต่วันนี้อาศัยเรื่องการประลอง ทำให้นางสามารถเข้าไปอย่างองอาจผ่าเผยได้อีกครั้ง
เพียงแต่ว่านางยังคงเป็นสตรีที่มีความผิดติดตัว
ศิษย์หนุ่มที่เฝ้าประตูไม่รู้จักนาง จึงขวางนางไว้ที่หน้าประตู “พวกเจ้าเป็นใคร”
อวิ๋นจูบอกว่า “ไปบอกผู้พิทักษ์เหลียนของเจ้า บอกว่าอวิ๋นจูมาหานางแล้ว”
เรื่องการประลองช่วงหลายวันนี้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ทุกคนต่างรู้ว่าบุตรสาวของเจ้าสำนักคนเก่ากลับมาช่วงชิงลัทธิศักดิ์สิทธิ์คืน สตรีนางนั้นมีชื่อว่าอะไรนะ เหมือนจะชื่อว่า…อวิ๋นจู
ลูกศิษย์สองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน สุดท้ายก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไปรายงานของผู้พิทักษ์เหลียน
ผู้พิทักษ์เหลียนไม่คาดคิดว่าอวิ๋นจูจะมาถึงที่นี่ นางนั่งสี่หน้าเคร่งเครียดอยู่ข้างเตียง บาดแผลของอวิ๋นซู่ หลังจากผ่านการช่วยเหลือมาครึ่งคอนคืน ในที่สุดก็สามารถควบคุมไว้ได้เสียที แต่ถึงอย่างไรก็เสียเลือดไปมาก อาการจึงยิ่งสาหัสกว่าก่อนรักษาเสียอีก
เขาเหมือนคนตายที่ยังมีลมหายใจ เหลือเพียงลมหายใจกับหัวใจที่เต้นเพียงอ่อนบางเท่านั้น
เย่ว์หวากับปรมาจารย์เวทกลับไปรักษาบาดแผลที่ตำหนักนอนของตนแล้ว
ผู้พิทักษ์เหลียนเฝ้าอยู่คนเดียวมาจนถึงตอนนี้
พอได้ยินลูกศิษย์รายงานว่าอวิ๋นจูมา ผู้พิทักษ์เหลียนยังคิดว่าตนเองฝันไป
“ผู้พิทักษ์เหลียน ผู้พิทักษ์เหลียน!”
ลูกศิษย์หญิงเอ่ยเรียงนางเบาๆ อยู่หลายที
ผู้พิทักษ์เหลียนสติกลับเข้าร่าง เอ่ยด้วยสีหน้าปกติว่า “ให้นางไปรอข้าที่หอหลันโยว”
หอหลันโยวเป็นเรือนหนึ่งในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อนข้างเงียบสงัดและห่างไกลผู้คน ไม่ได้อยู่บนเกาะอิ๋นหู
อวิ๋นจูเดาไว้แล้วว่านางไม่มีทางให้ตนไปที่เกาะอิ๋นหู นางไม่ได้ว่าอะไร เดินตามลูกศิษย์หญิงไป
ในความทรงจำของอวิ๋นจูไม่มีสถานที่ที่เรียกว่าหอหลันโยวอยู่เลย นางยังคิดว่าเป็นเรือนสร้างใหม่ รอจนเดินเข้าไปในเรือนแล้วถึงได้จำได้ว่าตนเคยพักอยู่ที่หอแห่งนี้เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
“คุณหนู” ผู้พิทักษ์เหลียนถือไม้เท้าเดินเข้าไปด้วยสีหน้าใจดี
อวิ๋นจูมองต้นอู๋ถงสูงตระหง่านในเรือน
ผู้พิทักษ์เหลียนเดินเข้ามาหานาง เงยหน้ามองตามสายตานางไปแล้วเอ่ยด้วยความโล่งอก “ต้นนี้ปลูกเมื่อตอนคุณหนูอายุสิบขวบ เวลานั้นยังเป็นต้นอ่อนเล็กๆ อยู่เลย ตอนนี้จะสูงกว่าหอนี้แล้ว”
อวิ๋นจูถึงได้หันไปมองนาง
นางไม่ได้นอนมาทั้งคืน เดิมทีสีหน้าก็ซีดเซียวอยู่แล้ว แต่พอนางแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างตั้งใจ จึงมองไม่ออกเท่าไรนัก
นางระบายยิ้ม สบตาอวิ๋นจูแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความรู้สึกผิดว่า “มีปีหนึ่งฝนตกหนัก ตกอยู่ยี่สิบวันเต็มๆ เรือนของคุณหนูถูกน้ำท่วม เสียหายหนัก หลังจากนั้นข้าเลยปรับปรุงมันเสียเลย”
“อื้ม” อวิ๋นจูตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจกับเรื่องปรับปรุงเรือนแห่งนี้มากนัก
ผู้พิทักษ์เหลียนถามด้วยความสงสัย “คุณหนูโกรธที่ข้าเปลี่ยนชื่อใช่หรือไม่”
อวิ๋นจูหันไปมองนาง “เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณหนูทุกคำหรอก ตั้งแต่วันที่ข้าถูกขับออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ใช่คุณหนูของเจ้าแล้ว เจ้าอยากปรับปรงที่ใด อยากเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับข้าทั้งสิ้น”
ผู้พิทักษ์เหลียนไม่ได้รับความสนใจ ก็หลุบตาเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นวันนี้ที่คุณหนูมามีธุระอันใดหรือ”
อวิ๋นจูบอกว่า “เจ้าคิดจะคืนลัทธิศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าเมื่อใด”
สายตาผู้พิทักษ์เหลียนพลันค้างไป “คุณหนู… พูดเรื่องอะไรกัน”
อวิ๋นจูบอกว่า “ไม่ต้องไขสือ ข้าเป็นคนไม่มีความอดทน เจ้าเคยรับใช้ข้า คงไม่ใช่ว่าจะไม่รู้กระทั่งเรื่องนี้”
ผู้พิทักษ์เหลียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งก่อนจะค่อยๆ เอ่ยว่า “วันนั้น…”
อวิ๋นจูเอ่ยตัดบทนาง “วันนั้นพวกเราชนะแล้ว อย่าได้ลากเอากฎที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นมากดข้า พวกเจ้าถึงขั้นเอามารโลหิตออกมาใช้งานแล้ว ไม่มีสิทธิ์เอ่ยเรื่องกฎกติกากับข้าอีก”
ผู้พิทักษ์เหลียนจับไม้เท้าแน่น “เรื่องนี้ข้ายังจำเป็นต้องรายงานแต่เจ้าสำนักก่อน”
อวิ๋นจูเอ่ยเสียงเรียบ “เขาจะตายอยู่รอมร่อแล้ว ยังจะตัดสินใจอะไรได้อีก”
ผู้พิทักษ์เหลียนหันขวับไปมองอวิ๋นจูทันที
อวิ๋นจูสบตาร้อนรนของนางด้วยสายตาสงบนิ่ง “คิดว่าสูบไขเลือดมารโลหิตไปหมดก็จะช่วยชีวิตเขาได้หรือ”
นิ้วมือที่จับไม้เท้าของผู้พิทักษ์เหลียนเริ่มเห็นว่าซีดขาว “ข้าไม่เข้าใจว่าคุณหนูพูดเรื่องอะไร”
อวิ๋นจูบอกว่า “ไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะจงรักภักดีต่อเขาเช่นนี้ ตอนนั้นหากเจ้าปฏิบัติต่อข้า กับท่านพ่อข้าได้สักครึ่งหนึ่งของอวิ๋นซู่…”
คำพูดหลังจากนั้นอวิ๋นจูไม่ได้พูดต่อ
ผู้พิทักษ์เหลียนกลับเอ่ยว่า “ตอนนั้นที่ข้าไม่ได้ติดตามคุณหนูไป ไม่ใช่เพราะต้องอยู่จับตาดูจักรพรรดิอสูรที่เกาะอิ๋นหูหรอกหรือ”
อวิ๋นจูส่ายหน้า “ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดเรื่องนี้ ข้าอยากถามเพียงว่า เจ้าอยากช่วยอวิ๋นซู่หรือไม่ หากอยาก ก็จงบอกความจริงในตอนนั้นกับทุกคนเสีย”
ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิม “ความจริงอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
อวิ๋นจูมองนางนิ่งๆ “เจ้าคิดว่าเจ้าไม่บอกข้า ข้าก็จะไม่รู้อย่างนั้นหรือ ข้าแค่เพียงให้โอกาสกับเจ้าอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น เจ้าอย่าคิดว่าตัวเองเก็บซ่อนความลับไว้ได้ดีเลย”
“นางเป็นคนระมัดระวังตัวแจ นางไม่มีทางเก็บซ่อนความลับไว้กับตัว และไม่มีทางเก็บซ่อนไว้ไกลตัวเกินไป นางจะเก็บมันไว้ในจุดที่คนไม่สามารถเข้าถึงได้ตามอำเภอใจ มีเพียงนางที่สามารถจับตาดูไว้ได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ทำให้คนอื่นสงสัย”
ในหัวอวิ๋นจูมีคำพูดของจีหมิงซิวดังขึ้น อวิ๋นจูเดินเข้าไปหาผู้พิทักษ์เหลียน เอ่ยออกมาทีละคำว่า “อยู่ในห้องของเจาหมิง ใช่หรือไม่”
สายตาผู้พิทักษ์เหลียนพลันเปลี่ยน
อวิ๋นจูเหลือบมองนางด้วยสีหน้าคงเดิม “คนเคยเป็นนายบ่าวกันมา ข้าจะให้โอกาสเจ้าใคร่ครวญสามวัน”
พูดจบ อวิ๋นจูก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
จีหมิงซิวไม่ได้รออยู่นานนัก ไม่นานอวิ๋นจูก็กลับมาถึงรถม้า
จีหมิงซิวเลิกผ้าม่านให้นาง ให้นางเข้ามานั่งบนรถ “บอกไปหมดแล้วหรือ”
อวิ๋นจูพยักหน้า “หมดแล้ว”
จีหมิงซิว “หลังจากนี้ก็รอนางมาติดเบ็ดแล้วกัน”
อันที่จริงจีหมิงซิวกับอวิ๋นจูรู้เมื่อไรว่าในห้องของเจ้าหมิงมีอะไรซ่อนไว้หรือไม่ เพียงแต่วัวสันหลังหวะย่อมรู้สึกระแวง เพื่อป้องกันไว้ก่อน นางจะต้องไปตรวจดูว่าร่องรอยที่นางทำไว้ลบล้างได้สะอาดหมดจดแล้วจริงหรือไม่
หลังจากผู้พิทักษ์เหลียนมองส่งอวิ๋นจูไปแล้ว นางกลับไปที่เกาะอิ๋นหูทันที พอนางขึ้นมาบนเกาะก็ไปยังตำหนักที่โลงศพหยกตั้งอยู่ ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ในตำหนักนอกจากลูกศิษย์หญิงที่จะมาปัดกวาดกันตามเวลาแล้ว จะไม่มีใครเข้าออกที่นี่อีก
ลูกศิษย์หญิงพอเห็นนางเดินมา ก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ผู้พิทักษ์เหลียน”
ผู้พิทักษ์เหลียนถามว่า “หลายวันนี้นอกจากข้าแล้ว มีใครมาที่นี่อีกหรือไม่”
ลูกศิษย์หญิงส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ”
“เจ้าสำนักน้อยเล่า”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“กงซุนฉางหลีเล่า”
“ก็ไม่ได้มาเจ้าค่ะ”
ผู้พิทักษ์เหลียนนิ่งไป “นอกจากเจ้ากับศิษย์พี่หญิงเล่า ยังมีลูกศิษย์คนใดมาอีกหรือไม่”
ลูกศิษย์หญิงตอบว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ ผู้พิทักษ์เหลียน สองวันนี่ข้ากับศิษย์พี่หญิงผลัดเวรกันเฝ้าที่นี่ กระทั่งแมลงวันสักตัวก็ยังบินเข้าไปไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
ผู้พิทักษ์เหลียนถามอีกว่า “เช่นนั้นมีได้ยินเสียงอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่”
“ไม่มีนะเจ้าคะ” ลูกศิษย์หญิงมองนางด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง “มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ผู้พิทักษ์เหลียน”
ผู้พิทักษ์เหลียนทำสีหน้าจริงจัง “ไม่มีอะไร ช่วงนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ค่อยสงบนัก เพิ่มกำลังคนที่นี่หน่อย อย่าให้ใครบุกเข้าไปได้”
ลูกศิษย์หญิงตอบรับอย่างนอบนอ้ม “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
พอสั่งการลูกศิษย์เสร็จ ผู้พิทักษ์เหลียนก็หมุนตัวเดินกลับห้อง
จวบจนกระทั่งเวลากลางคืน ก็ยังไม่มีอะไรผิดแปลกไปเกิดขึ้น