หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 74-1 ชาติกำเนิดกับความจริง (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 74-1 ชาติกำเนิดกับความจริง (2)
ตอนที่ 74-1 ชาติกำเนิดกับความจริง (2)
แต่ก่อนอวิ๋นชิงเคยมีเรือนเป็นของตนเอง แต่หลังเขาจากโลกนี้ไป ข้าวของชิ้นสำคัญก็ถูกอวิ๋นซู่นำมาเก็บรักษาเอาไว้
“อวิ๋นชิงตายอย่างไร” จีหมิงซิวถาม
กงซุนฉางหลีเปิดประตูห้องของอวิ๋นซู่ เขารอจีหมิงซิวเดินเข้าไปแล้วจึงตามเข้าไปอย่างไวๆ “ได้ยินมาว่าเขาถูกจักรพรรดิอสูรทำร้ายจนมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่รุนแรงอย่างยิ่ง อายุได้สามสิบกว่าปีก็ป่วยตาย”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ถูกมารโลหิตทำร้ายสินะ”
เรื่องมารโลหิตแดงขึ้นมาจนคนรู้กันหมดแล้ว จีหมิงซิวไม่คิดจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างมารโลหิตกับอวิ๋นจูจากกงซุนฉางหลี ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องราวที่ควรรู้ไปพอประมาณแล้ว
กงซุนฉางหลีตอบว่า “เรื่องนี้คงต้องถามผู้พิทักษ์เหลียน เรื่องในยามนั้นไม่มีผู้ใดรู้ชัดเจนไปกว่านาง”
ความสามารถในการจับสังเกตสีหน้าและน้ำเสียงของจีหมิงซิวดียิ่งกว่าวรยุทธ์ของเขาเสียอีก เขาฟังคำพูดของกงซุนฉางหลีจบ แววตาก็ชะงักไปวูบหนึ่ง เขาจ้องกงซุนฉางหลีราวกับจะค้นหาบางสิ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
“ข้าเปล่า” กงซุนฉางหลีเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของอวิ๋นซู่
จีหมิงซิวเดินมาข้างเขาแล้วผินหน้ามองซีกหน้ากับดวงตาที่หลุบลงของเขา จากนั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ตั้งแต่เจ้าเข้ามาในห้องนี้ อารมณ์ก็ดูไม่ปกติ เกลียดชังที่นี่มากหรือ”
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ไม่ใช่” กล่าวจบเขาก็ยื่นมือออกไปรื้อของในตู้ ทว่าจีหมิงซิวกลับตบประตูตู้ปิดดังปัง แล้วเหลือบมองม้านั่งฝั่งตรงข้าม “เจ้าไปนั่ง ข้าจะหาเอง”
“เจ้าคิดว่ามีเวลามากนักหรือไร ที่นี่มีคนมาได้ตลอดเวลา…อื้อ”
เขายังพูดไม่ทันจบ แววตาของจีหมิงซิวก็วูบไหว ดวงตาฉายแววระแวดระวัง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากเขาเอาไว้ กลางฝ่ามือของเขาร้อนผ่าวแต่ปลายนิ้วกลับเย็นเฉียบ
นิ้วเย็นเฉียบแนบอยู่บนผิวหนังนุ่มเนียนของกงซุนฉางหลี ผิวเนื้อตรงนั้นเหมือนจะแดงก่ำขึ้นมาด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า มือของเขามีกลิ่นหอมเย็นชวนดมดอมแผ่กำจาย มีทั้งกลิ่นของตัวเขาเองแล้วก็กลิ่นที่ติดมาจากเรือนผมของเฉียวเวย
“ประตูเปิดอยู่ได้อย่างไรกัน มีคนเข้าไปหรือ” นอกประตูมีเสียงเข้มงวดของหญิงรับใช้ดังขึ้น
ศิษย์คนหนึ่งตอบว่า “คุณชายฉางหลีมาขอรับ”
นิ้วชี้เรียวยาวประหนึ่งหยกของจีหมิงซิวยกขึ้นจรดริมฝีปากของตนเอง
กงซุนฉางหลีกลืนน้ำลาย
จีหมิงซิวมองเงาคนด้านนอกผ่านช่องว่างของบานประตูอย่างระแวดระวัง แล้วปล่อยมือจากกงซุนฉางหลีหมุนตัวไปซ่อนด้านหลังฉากกันลม
แกรก!
ประตูถูกผลักเปิดออก หญิงรับใช้นางหนึ่งเดินเยื้องย่างเข้ามาด้านใน
กงซุนฉางหลีรีบตั้งสมาธิแล้วหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากในตู้
หญิงรับใช้กวาดสายตามองรอบด้านก่อนจะเดินมาหยุดด้านหลังกงซุนฉางหลี พลางมองแผ่นหลังของเขาอย่างคลางแคลง “คุณชายฉางหลีมาได้อย่างไรเจ้าคะ”
กงซุนฉางหลีเหลือบปลายหางตามองฉากกันลม แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นปกติ “ข้ามาช่วยหยิบของเล็กน้อยให้เจ้าลัทธิ อีกประเดี๋ยวจะนำไปส่งที่เกาะอิ๋นหู”
“เช่นนี้เอง” หญิงรับใช้แย้มรอยยิ้มตอบว่า “ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ไม่จำเป็น ข้าทำเองได้”
หญิงรับใช้คลี่ยิ้มตอบว่า “เจ้าค่ะ ท่านย่อมคุ้นเคยกับข้าวของของเจ้าลัทธิมากกว่าข้ามาก”
มือของกงซุนฉางหลีที่กำลังหยิบเสื้อผ้าอยู่กำแน่น
หญิงรับใช้ยิ้มน้อยๆ แล้วค้อมกายเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวออกไปก่อน มีสิ่งใดก็เรียกใช้ข้าได้”
หลังจากหญิงรับใช้ออกไปแล้ว กลางฝ่ามือของกงซุนฉางหลีก็มีเหงื่อผุดพราย เขาหันไปมองฉากกันลมด้านข้างแล้วหลับตาลง พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาเดินเข้าไปด้านหลังฉากกันลม กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างก็เห็นกุญแจดอกหนึ่งโผล่มาอยู่ในมือของจีหมิงซิวตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
เขาตกตะลึงถามว่า “เอามาจากที่ใดกัน” โ
จีหมิงซิวใช้ปลายรองเท้าสะกิดเปิดพรมบนพื้น “ตรงนี้”
คนบางคนก็โชคดีมาตั้งแต่เกิด กงซุนฉางหลีมาที่ห้องนี้ตั้งหลายครั้งยังไม่เคยรู้เลยว่าใต้พรมมีกุญแจซ่อนอยู่ แต่จีหมิงซิวไม่เพียงหากุญแจพบ เขายังสุ่มเปิดหีบไม้ใบหนึ่งออกมาพบกล่องเหล็กใบหนึ่งด้านในอีกด้วย
กุญแจดอกนี้บังเอิญเป็นของกล่องเหล็กพอดี
จีหมิงซิวไขแม่กุญแจ
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือภายในกล่องเหล็กกลับมีกล่องอีกใบหนึ่งนอนนิ่งอยู่ด้านใน เพียงแต่กล่องใบนี้สร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรประณีตกว่าอย่างเห็นได้ชัด มันไม่มีแม่กุญแจและไม่มีรูกุญแจ มีเพียงอักขระประหลาดจำนวนหนึ่ง ต้องจับกลุ่มอักขระให้ถูกต้องเท่านั้นจึงจะเปิดกล่องได้
“นี่คือของที่อวิ๋นชิงทิ้งเอาไว้อย่างนั้นหรือ” จีหมิงซิวหยิบกล่องเหล็กขึ้นมาชั่งน้ำหนักในมือพลางถามขึ้นมา
กงซุนฉางหลีมองภายในหีบที่ถูกจีหมิงซิวเปิด สิ่งของด้านในไม่ใช่ข้าวของของอวิ๋นซู่แม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นกล่องใบนี้ก็น่าจะเป็นของอวิ๋นชิง “น่าจะใช่ของเขา”
“เอากลับไปให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยศึกษาดู” จีหมิงซิวยัดกล่องเหล็กเข้าไปในแขนเสื้อกว้าง จากนั้นก็รื้อดูในหีบอีกครู่หนึ่ง หนนี้ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษแล้ว
กงซุนฉางหลีรื้อภาพเขียนอักษรจำนวนหนึ่งที่อวิ๋นชิงเก็บไว้ตั้งแต่สมัยยังมีชีวิตอยู่ออกมาจากตู้หนังสือของอวิ๋นซู่ ของส่วนหนึ่งเป็นผลงานของตัวอวิ๋นชิงเอง แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งเป็นผลงานฉบับจริงของบรรดาปรมาจารย์ ไม่มีของที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิอสูรและอวิ๋นจู ทั้งสองคนเหมือนไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาในชีวิตของอวิ๋นชิงมาก่อน
จีหมิงซิวเห็นกงซุนฉางหลียังคงรื้อค้นอย่างตั้งอกตั้งใจก็บอกว่า “ไม่ต้องหาแล้ว มรดกของอวิ๋นชิงอาจถูกสตรีนางนั้นกำจัดไปรอบหนึ่งแล้วก็ได้ มีแต่กล่องใบนี้ที่กำจัดไม่ได้จึงมอบให้อวิ๋นซู่เก็บไว้”
“มีวิธีเปิดกล่องหรือไม่” กงซุนฉางหลีถาม
จีหมิงซิวยิ้มจางๆ “ข้าย่อมหาวิธีพบ”
กงซุนฉางหลีเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “แม้แต่ภาพวาดของอดีตฮูหยินก็ไม่มีสักชิ้น”
จีหมิงซิวถอนหายใจอย่างไม่คิดมากนัก “คงกลัวน่ะสิ กลัวว่าผู้อื่นจะจดจำได้ ไม่เหมือนข้า นายน้อยคนนี้กายาตั้งตรงแม้แต่เงายังไม่เฉ…”
เพิ่งจะพูดได้ครึ่งประโยคก็พลันนึกได้ว่าในห้องของตนก็ไม่มีภาพวาดของเฉียวเวยสักภาพเหมือนกัน เขาเงียบไปทันควัน
กงซุนฉางหลีจัดของแต่ละชิ้นลงไปในหีบอย่างเป็นระเบียบ “วันนี้พอเท่านี้เถิด ข้าจะไปดูสถานการณ์ของอวิ๋นซู่ที่เกาะอิ๋นหูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผู้พิทักษ์เหลียนใช้ไขเลือดของมารโลหิตรักษาอวิ๋นซู่ แต่เหมือนจะล้มเหลว แต่ในมือนางยังมีไขเลือดอยู่ไม่น้อย ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่านางจะไม่ลองพยายามต่อ”
จีหมิงซิวมองเขาแล้วกำชับ “เจ้าระวังตัวด้วย”
กงซุนฉางหลีกล่าวตอบ “ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก”
ทั้งสองคนออกจากที่พักของอวิ๋นซู่ กงซุนฉางหลีไปส่งจีหมิงซิวขึ้นรถม้าก่อน หลังจากนั้นจึงหันหลังกลับเดินไปที่เกาะอิ๋นหู
ผู้พิทักษ์เหลียนไม่ได้บอกกล่าวเรื่องไขเลือดนั่นกับเขา ดังนั้นเขาย่อมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง หยิบเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยแล้วไปที่ตำหนักของผู้พิทักษ์เหลียน
แต่เขาไม่ได้พบอวิ๋นซู่ ผู้พิทักษ์เหลียนให้เขาทิ้งของไว้จากนั้นก็ให้ศิษย์หญิงส่งเขาออกจากเกาะ
…
ภายในห้อง เย่ว์หวามองศิษย์หญิงที่ถือเสื้อผ้าเดินเข้ามาแล้วถามว่า “ฉางหลีหรือ”
ศิษย์หญิงตอบว่า “ตอบประมุขเย่ว์หวา คุณชายฉางหลีถูกแล้วเจ้าค่ะ เขานำเสื้อผ้าของเจ้าลัทธิมาให้”
เย่ว์หวาหันไปมองผู้พิทักษ์เหลียนที่อยู่ด้านข้าง “เหตุใดจึงไม่ให้เขาเข้ามา เจ้าลัทธิบาดเจ็บจนตกอยู่ในสภาพนี้ก็ควรมีคนใกล้ชิดสักคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ ไม่ใช่หรือ”
ผู้พิทักษ์เหลียนกวาดสายตามองเย่ว์หวาอย่างเย็นชา
เย่ว์หวาโต้ราวกับถูกใส่ร้าย “ข้าพูดสิ่งใดผิดเล่า ตอนนี้คนที่เจ้าลัทธิอยากพบหน้ามากที่สุดคงจะเป็นฉางหลี ให้เขามาดูแลเจ้าลัทธิ เจ้าลัทธิอาจฟื้นเร็วขึ้นก็ได้”
ผู้พิทักษ์เหลียนตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ
ศิษย์หญิงตกใจจนก้มศีรษะงุด นางถือเสื้อผ้ายืนตัวแข็งอยู่กลางห้อง จะออกไปก็ไม่ได้ จะยืนอยู่ต่อก็ดูไม่สมควร
เย่ว์หวาหัวเราะสงสารหญิงงาม “ดูเจ้าสิทำคนตกใจกลัวหมดแล้ว” เขาหันไปบอกศิษย์หญิงว่า “วางของไว้ แล้วเจ้าก็ออกไปเถอะ”
ศิษย์หญิงประหนึ่งปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า นางวางเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะเสร็จก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
เย่ว์หวารินชาถ้วยหนึ่งให้ผู้พิทักษ์เหลียน “ไยต้องโมโหสาวน้อยนางหนึ่งด้วยเล่า เจ้าไม่อยากให้เขามา ก็ไม่ต้องให้เขามา แต่…เขาก็วรยุทธ์ดีไม่เลว เจ้าไม่พิจารณาสักหน่อยจริงหรือ ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์บาดเจ็บหนักจนมาช่วยไม่ได้ ตอนนี้พวกเราขาดคนมากนะ”
ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเขากับคนตระกูลจีใกล้ชิดกันเกินไป”
“อย่างนั้นหรือ” เย่ว์หวาพึมพำ
ผู้พิทักษ์เหลียนกล่าวต่อ “เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถิด เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบ สืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
เย่ว์หวายักไหล่ตอบว่า “มารโลหิตถูกฮูหยินน้อยพาออกไปจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลังจากนั้นฮูหยินน้อยก็พาเขาไปพบกับอวิ๋นจู”
ผู้พิทักษ์เหลียนขัดเสียงเคร่ง “ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น”