หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 75-1 ชาติกำเนิดกับความจริง (3)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 75-1 ชาติกำเนิดกับความจริง (3)
ตอนที่ 75-1 ชาติกำเนิดกับความจริง (3)
ยอดหญิงงามนำเลือดกลับมาที่เรือนหลังผ่านพ้นเที่ยงคืน ก่อนหน้านั้นนางเดินทางลงจากภูเขาอย่างขยันขันแข็ง เข้าไปในเมืองกินหม้อไฟกระดูกสันหลังแพะหนึ่งหม้อ ดื่มสุรานมม้าเจ้าเก่าแก่อีกหนึ่งชาม แทะซี่โครงอีกหลายจาน กินจนท้องอิ่มเจ็ดแปดส่วนแล้วถึงตบหนังท้องกลับมาที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ยิ่นอ๋องเห็นสภาพเหงื่อท่วมศีรษะของนางก็รู้สึกเหมือนนางเพิ่งรีบเร่งเดินทางข้ามคืนมาจริงๆ
ไม่รีบเร่งเดินทางข้ามคืนที่ตรงไหน ก็เดินทางจากในเมืองขึ้นมาบนเขานี่อย่างไรเล่า!
ยอดหญิงงามทิ้งก้นลงบนเก้าอี้แล้วล้วงขวดกระเบื้องใบน้อยจากอกเสื้อส่งให้เขา “เรียบร้อยแล้ว ของได้มาอยู่ในมือแล้ว เต็มหนึ่งขวด ไม่ต้องขอบคุณ!”
ยิ่นอ๋องมุมปากกระตุก คนผู้นี้ไร้ยางอายถึงขั้นใดกัน ยังหวังจะให้เขาเอ่ยขอบคุณอีกหรือ
ยิ่นอ๋องรับขวดมาแล้วมองนางอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เฉียวซื่อไม่ถามเจ้าหรือว่าจะเอาเลือดของนางมาทำสิ่งใด”
ยอดหญิงงามตอบว่า “ไม่นะ”
ก็ไม่ได้ตอบจริงๆ นี่!
ยิ่นอ๋องนึกถึงนิสัยของเฉียวเวย นางเป็นคนที่ยอมถูกมีดแทงเพื่อสหายได้จริงๆ แต่นางตั้งครรภ์อยู่ไม่ใช่หรือ กรีดเลือดออกมามากขนาดนี้ จีหมิงซิวไม่คัดค้านหรือไร
ยิ่นอ๋องมองอย่างสงสัย “เจ้าไม่ได้เอามาผิดใช่หรือไม่”
ยอดหญิงงามยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาพาดบนหน้าตัก “อะไรกัน กลัวข้าไปเอาเลือดคนอื่นมาหลอกเจ้าหรือ ข้าสาบานต่อฟ้า นี่คือเลือดของเสี่ยวเวย หากข้าโกหกแม้ครึ่งคำ ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่าลงทัณฑ์ ไม่ตายดี!”
ผู้ฝึกยุทธ์หวั่นกลัวคำสาบานอันรุนแรงที่สุดแล้ว นางถึงขั้นกล่าวเช่นนี้ นี่คงจะเป็นเลือดของเฉียวเวยจริงๆ
ยิ่นอ๋องคิดทบทวนอีกรอบหนึ่งก็เหมือนจะไม่แปลก เฉียวซื่อผู้นั้นดุร้ายโหดเหี้ยมกับเขาอยู่ผู้เดียว กับคนอื่น นางดีด้วยยิ่งนัก สหายรักของนางมาขอเลือดจากนางเพียงขวดเล็กๆ นางคงไม่ถึงขั้นตัดใจให้ไม่ลงหรอก พอคิดเช่นนี้ ความคลางแคลงสุดท้ายในใจยิ่นอ๋องก็มลายสิ้น
ยิ่นอ๋องนำเลือดไปส่งที่เกาะอิ๋นหู ผู้พิทักษ์เหลียนยังไม่นอน นางเฝ้าอยู่ในห้องของอวิ๋นซู่ตลอดเวลา ตอนยิ่นอ๋องนำเลือดมามอบให้นาง หางตาของนางมีเส้นเลือดฝอยแตกแขนงเพราะความเหนื่อยล้า ทำให้แลดูดุร้ายโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้นอีก
ผู้พิทักษ์เหลียนไม่สงสัยอะไรที่มาของเลือด เพราะนางเข้าใจว่ายิ่นอ๋องอยากให้อวิ๋นซู่มีชีวิตรอดมากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางนำของปลอมมาหลอกลวงนาง
ผู้พิทักษ์เหลียนกล่าวว่า “เจ้าออกไปเถิด เรื่องต่อจากนี้ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
นี่ไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อใจยิ่นอ๋อง แต่ในเมื่อมีเลือดของจั๋วหม่าน้อยแล้ว อวิ๋นซู่ก็น่าจะไม่คลุ้มคลั่งอีก ไม่จำเป็นต้องมีคนอื่นอยู่ด้วยแล้วจริงๆ แน่นอนว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่นางไม่พูดออกไป นั่นก็คือนางไม่อยากให้ผู้ใดมองความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอวิ๋นซู่ออกทั้งนั้น
แม้ยิ่นอ๋องจะอยากอยู่ต่อ แต่ในเมื่อนางปีศาจเฒ่าคนนี้ไม่ยอม เขาก็อับจนหนทาง
เหอะ ก็แค่กลัวอวิ๋นซู่ตื่นมาเห็นเขาอยู่ที่นี่จะทำให้ความดีความชอบของนางปีศาจเฒ่าถูกแย่งไปไม่ใช่หรือไร
พยายามแย่งชิงความดีความชอบไปเถิด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายของอวิ๋นซู่ เมื่ออวิ๋นซู่ฟื้นขึ้นมา คอยดูซิว่าใครจะเป็นคนแย่งชิงได้เก่งกว่า!
ยิ่นอ๋องเดินออกไปอย่างโมโหโทโส
ผู้พิทักษ์เหลียนถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ นางไม่แก้ตัวอันใดทั้งสิ้น เพียงหันไปสั่งให้คนปิดประตู
ยิ่นอ๋องเดินออกไปได้ไม่นาน เย่ว์หวาก็มาเยือน แต่น่าเสียดายเขาไม่ได้มาช่วย แต่มาดับความหวังผู้พิทักษ์เหลียน
เย่ว์หวาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ร่างกายของเจ้าลัทธิทนรับอาการบาดเจ็บมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ข้าว่าเจ้าหยุดไว้ก่อน รอบัวหิมะถือกำเนิดอีกครั้ง ให้เจ้าลัทธิกินบัวหิมะเข้าไปสักดอกก่อนจะดีกว่า”
ผู้พิทักษ์เหลียนแย้งว่า “เจ้าลัทธิรอบัวหิมะรอบใหม่ของสระโอสถไม่ไหวแล้ว”
เย่ว์หวาขมวดคิ้ว “ถึงอย่างนั้นเจ้าจะทำอะไรส่งเดชอีกไม่ได้”
ผู้พิทักษ์เหลียนหันมามองอย่างเย็นชา “ต้องให้ข้าอธิบายให้เจ้าฟังอีกกี่ครั้งว่าหากไม่ช่วยเจ้าลัทธิ เจ้าลัทธิจะต้องตาย”
เย่ว์หวาเถียงเสียงเย็นชา “หนก่อนเจ้าก็พูดเช่นนี้ ผลลัพธ์เล่า เจ้าลัทธิกลับอาการหนักกว่าเดิม!”
ผู้พิทักษ์เหลียนรับประกันอย่างจริงจัง “หนนี้ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ข้าได้เลือดของจั๋วหม่าน้อยมาแล้ว จะต้องช่วยเจ้าลัทธิได้แน่”
สายตาของเย่ว์หวาเลื่อนมาหยุดที่ขวดกระเบื้องใบน้อยครู่หนึ่ง เขาหรี่ตาลงแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “หากเจ้าจะทำร้ายเจ้าลัทธิ เจ้าก็ทำไปคนเดียว ข้าจะไม่ยอมชื่อเสียงฉาวโฉ่หมื่นปีไปกับเจ้า!”
กล่าวจบ เขาก็จากไปโดยไม่หันหลังกลับมาสักนิด
แต่เดิมผู้พิทักษ์เหลียนก็ไม่หวังอะไรจากเขาอยู่แล้ว เขาจะไปก็ปล่อยเขาไป
ผู้พิทักษ์เหลียนให้ศิษย์หญิงทั้งหลายเฝ้าตำหนักของนางไว้ ไม่ปล่อยให้แม้แต่แมลงวันสักตัวเข้ามา ส่วนตัวนางเองไปหยิบไขเลือดกระปุกหนึ่งออกมาจากห้องน้ำแข็ง ไขเลือดของมารโลหิตมีทั้งหมดสามกระปุก ก่อนหน้านี้เสียเปล่าไปหนึ่งกระปุกแล้ว ต่อจากนี้ต้องใช้ให้ดี โ
หนนี้นางไม่กล้าใช้มีดกับร่างอวิ๋นซู่อีก นางเปลี่ยนมาใช้ยากิน นางผสมไขเลือดกับสมุนไพรสามสิบกว่าชนิดปรุงออกมาเป็น ‘เม็ดโลหิต’ เม็ดหนึ่งแล้วป้อนให้อวิ๋นซู่
แม้ทำเช่นนี้สรรพคุณจะลดลงมาก แต่อันตรายก็ลดลงตามเช่นเดียวกัน ยามนี้นางไม่วาดหวังให้อวิ๋นซู่ฟื้นวรยุทธ์กลับมาได้แล้ว นางเพียงปรารถนาให้เขารักษาชีวิตเอาไว้ได้เท่านั้น
หลังจาก ‘เม็ดโลหิต’ ลงไปในท้อง ลมปราณของมารโลหิตก็เริ่มแล่นพล่านในร่างของอวิ๋นซู่ ผู้พิทักษ์เหลียนรีบป้อนเลือดของจั๋วหม่าน้อยให้เขาหวังใช้สิ่งนี้ชำระล้างปราณของมารโลหิตในร่าง ทว่าสิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือเลือดครึ่งขวดที่ลงไปในท้องกลับไม่ช่วยสะกดปราณของมารโลหิต แต่ดันทำให้มันอาละวาดหนักกว่าเดิม
อวิ๋นซู่หน้าแดงก่ำเป็นสีตับหมู
หรือว่าฤทธิ์ยาจะไม่พอ
ผู้พิทักษ์เหลียนรีบป้อนเลือดอีกครึ่งขวดที่เหลือให้อวิ๋นซู่ดื่มจนหมด
โลหิตของมนุษย์เป็นสิ่งที่ทำให้มารโลหิตคลุ้มคลั่งอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากได้ลิ้มลองโลหิตสดๆ ของมนุษย์ ดวงตาของอวิ๋นซู่พลันทอประกายเจิดจ้า ร่างกายตกอยู่ในสภาวะตื่นตัวสุดขีด
ผู้พิทักษ์เหลียนเห็นเขาเริ่มมีกำลังวังชาก็คิดว่าเขาดีขึ้นแล้ว นางกำลังจะอ้าปากถามเขา คิดไม่ถึงว่าชั่วอึดใจต่อมาเขากลับกระโจนใส่ผู้พิทักษ์เหลียนประหนึ่งหมาป่าหิวโซ
ผู้พิทักษ์เหลียนล้มกระแทกพื้นอย่างแรง เอวแก่ๆ เกือบหัก ถึงอย่างนั้นอวิ๋นซู่ก็ไม่ปล่อยนาง สองมือของเขากดบ่านางไว้แน่นจนนางไม่อาจกระดิกตัวได้ ก่อนจะก้มลงไปขย้ำคอของนาง!
ผู้พิทักษ์เหลียนกรีดร้อง “อ้ากกก”
…
ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัดที่ถูกล้อมด้วยหิมะขาวโพลน จีหมิงซิวกลับมาที่เรือนฟางชุ่ยหยวนในสภาพเหนื่อยล้า ยามนี้ดึกแล้ว นอกจากห้องของมู่เหยียนน้อยที่ยังจุดโคมสว่าง มีเสียงร้องไห้เบาๆ ของทารกกับเสียงพึมพำของบิดามารดานางดังลอยมาเป็นบางครั้ง ห้องอื่นก็เงียบสนิท
ตอนจีหมิงซิวก้าวเข้าไปในห้อง เฉียวเวยกับลูกทั้งสองคนก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว จิ่งอวิ๋นใช้ผ้าห่มพันตนเองกลายเป็นดักแด้น้อย ตอนเข้านอนอยู่ท่าไหน ตอนเที่ยงคืนก็ยังอยู่ท่านั้น
ฝ่ายวั่งซูไม่เรียบร้อยปานนั้น ขาอ้วนๆ ข้างหนึ่งของนางพาดอยู่บนต้นขาของพี่ชาย ส่วนขาอ้วนๆ อีกข้างหนึ่งพาดอยู่กลางเตียงนอน เท้าน้อยๆ ของนางอยู่ห่างจากท้องของเฉียวเวยเพียงหนึ่งชุ่น หลังเท้างองุ้ม ฝ่าเท้าเกือบจะทิ่มหน้าท้องของเฉียวเวยพอดี
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีมองหน้าท้องเรียบเนียนของเฉียวเวย แล้วหันไปมองฝ่าเท้าน้อยที่เกือบจะแปะอยู่บนนั้นของวั่งซู เขาเหมือนสัมผัสได้ว่าเจ้าสามกำลังตัวสั่นระริกอยู่ในท้องมารดา
จีหมิงซิวรีบอุ้มเจ้าตุ้ยนุ้ยไปที่ห้องของท่านยายกับท่านน้าของเจ้าตัว
ส่วนจิ่งอวิ๋น…ถึงเขาจะค่อนข้างเป็นเด็กดี แต่ในเมื่อน้องสาวย้ายที่นอนแล้ว คนเป็นพี่ชายอย่างเขาย่อมต้องย้ายไปด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้วันรุ่งขึ้นยามจิ่งอวิ๋นลืมตาตื่น เขาจึงอยู่บนเตียงของอวิ๋นจูกับฮองเฮาเยี่ยหลัว
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนี้ ตอนนี้เขากำลังนอนหลับสบายโดยไม่รู้ว่าตนเองถูกบิดาตัวร้าย ‘จับโยน’ ออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
หลังจากอุ้มเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนไปที่ห้องของท่านยายกับท่านน้าสำเร็จ จีหมิงซิวก็อาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนชุดนอนที่แห้งสบายอีกครู่หนึ่ง แล้วเลิกผ้าห่มสอดตัวเข้าไปด้านใน โอบกอดนางไว้จากด้านหลัง กระชับร่างกายเล็กจ้อยบอบบางของนางเข้ามาในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา
เรือนผมของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกระฆังแก้ว มันเบาบาง เลือนราง เจือหวานเล็กน้อย
ระหว่างที่เก็บตัวฝึกวิชาอย่างยาวนาน เขาดำรงตนเสมือนพระ พอจบการฝึกวิชาได้อย่างยากลำบาก นางก็ดันมาบาดเจ็บอีก เพราะสารพัดเหตุผลเหล่านี้เขาจึงไม่ได้สัมผัสนางดีๆ เลย
ตอนนั้นเองเฉียวเวยก็ขยับตัวเล็กน้อย
แม้จะอยู่ในห้วงฝัน แต่ปรากฏว่านางกลับยังถอดเสื้อผ้าผู้อื่นได้อย่างชำนิชำนาญ!
จากนั้นเฉียวเวยก็รู้สึกตัวตื่น นางกะพริบตาปริบๆ มองกระดุมในมืออย่างมึนงง ต่อมาจู่ๆ แววตาก็ไหววูบ รีบโยนกระดุมทิ้งแล้วหลับตาแสร้งทำเป็นคนตาย!
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ
เสียงของเขาทุ้มต่ำทรงเสน่ห์คล้ายแสงตะวันอันงดงามยามบ่ายคล้อยสาดลงมาตกต้องหัวใจนางอย่างจัง แม้แต่ราตรียังถูกสาดส่องจนสว่างไสว
…
หลังจากผ่านค่ำคืนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะมา เฉียวเวยก็นอนหลับจนตะวันสายโด่ง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าจีหมิงซิวยังอยู่ เพียงแต่เขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียง แต่นั่งอ่านตำราภาษาเยี่ยหลัวสองสามเล่มอยู่เงียบๆ ตรงโต๊ะหนังสือ
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” จีหมิงซิวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่เตียงก็หันมามองอย่างอ่อนโยน
เฉียวเวยนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ใบหน้าก็ร้อนผ่าวเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
จีหมิงซิวเดินเข้ามาหาท่าทางเหมือนปกติทุกอย่าง “อยากกินสิ่งใด”
เฉียวเวยหลบสายตาร้อนแรงของเขาแล้วกระแอมเบาๆ “บะหมี่เนื้อแพะ”
จีหมิงซิงมองนางอย่างอ่อนโยน “ได้ ข้าจะไปสั่งห้องครัวให้ทำให้”
เฉียวเวยหยิบเสื้อผ้าใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะมาอย่างเงียบๆ “ท่าน…รีบไปเถอะ”
จีหมิงซิวอมยิ้มมองนาง “ได้” กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจริงๆ
เฉียวเวยพรูลมหายใจยาวๆ เมื่อครู่กลัวอยู่ว่าเขาจะดื้อดึงมาช่วยนางสวมเสื้อผ้า นางไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย หากทำเช่นนั้นจริงนางคงต้องขุดรูแล้วฝังเขาลงไปซะ
เฉียวเวยแต่งเนื้อแต่งตัว ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย บะหมี่เนื้อแพะควันฉุยก็ถูกตักออกมาจากหม้อพอดี จีหมิงซิววางบะหมี่เนื้อแพะลงบนโต๊ะพร้อมกับเครื่องเคียงเรียกน้ำย่อยจานเล็กๆ อีกสองจาน นอกจากนี้ก็ยังมีซาลาเปาไส้น้ำแกงหนึ่งเข่ง เกี๊ยวกุ้งนึ่งหนึ่งเข่งกับนมแผ่นอีกหนึ่งจานด้วย
จีหมิงซิวนั่งลงทานอาหารเป็นเพื่อนเฉียวเวย
“เด็กๆ เล่า” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวอมยิ้มตอบว่า “ออกไปข้างนอกแล้ว” เพราะโมโห
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนตื่นมาไม่เห็นมารดาก็หน้าดำทะมึน
จนตอนนี้เฉียวเวยก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดเจ้าซาลาเปาน้อยจึงไม่อยู่ในห้องของตน ไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวที่ว่าตั้งครรภ์หนึ่งหนโง่ลงสามปีหรือ
เฉียวเวยไม่รู้ว่าจีหมิงซิวทราบเรื่องที่ตนเองตั้งครรภ์นานแล้ว นางคิดว่าเรื่องเพิ่งจะแดงเพราะการบาดเจ็บหนนี้ นางกินบะหมี่ไปพลางก็พูดกลบเกลื่อนไปด้วย “ตกใจมากใช่หรือไม่ ความจริงข้าก็ตกใจมากเหมือนกัน ข้าไม่รู้มาก่อนว่าตนเองจะได้ลาภจากเคราะห์ มีเจ้าสามขึ้นมาคนหนึ่ง”
จีหมิงซิวหัวเราะ
หัวหน้าพรรคเฉียวเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่ง นางพูดจ้ออยู่พักใหญ่ “…หากข้ารู้ ข้าไม่มีทางเอาตัวไปบังดาบอย่างแน่นอน จริงๆ นะ ข้าไม่ใช่คนไม่ระมัดระวังเช่นนั้นเสียหน่อย!”
จีหมิงซิวยังคงยิ้มเช่นเดิม!
เฉียวเวยเหมือนได้ยินเสียงขบฟันดังมาจากสามีของตนเอง นางกระแอมก่อนจะเบี่ยงประเด็นอย่างไม่เผยพิรุธสักนิด “จริงสิ ข้าได้ยินว่าท่านไปสืบเรื่องผู้พิทักษ์เหลียน สืบได้ความอะไรมาบ้างหรือไม่”
จีหมิงซิวมองนางแล้วก็….ยิ้ม!
เฉียวเวยก้มหน้า “ท่านเลิกยิ้มเถิดน่า ข้าผิดไปแล้ว”
“ผิดที่ใดเล่า” จีหมิงซิวถาม
ลูกตาของเฉียวเวยกลอกไปมาพลางเค้นสมองคิด
จีหมิงซิวเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู้แล้วว่านางไม่คิดว่าตนเองผิดสักนิด หากให้โอกาสนางอีกหน นางก็ยังจะพุ่งเข้าไปบังดาบให้เฮ่อหลันชิงอยู่ดี
เอาเถิด นั่นคือมารดาบังเกิดเกล้าของนาง นางทนมองอีกฝ่ายรับคมดาบอยู่เฉยๆ ได้จริงสิถึงจะแปลก
แทนที่จะบอกว่าจีหมิงซิวโกรธนาง ไม่สู้บอกว่าเขาโกรธตนเองจะตรงกว่า หากตนฝึกวิชาบรรลุเร็วขึ้นสักหนึ่งวัน ก็คงไม่ปล่อยให้นางต้องเผชิญอันตรายเช่นนั้นแล้ว
เฉียวเวยกระตุกแขนเสื้อของเขา “ท่านเล่าเรื่องผู้พิทักษ์เหลียนให้ข้าฟังเถอะน่า ช่วงนี้ข้าอยู่ว่างๆ ในเรือน ว่างจนจะมีต้นหญ้างอกบนตัวอยู่แล้ว!”
จีหมิงซิวจับจ้องมองนาง ทั้งฉิวทั้งขบขัน สุดท้ายก็เล่าผลที่ได้จากการสืบให้นางฟัง “…ข้ามอบกล่องใบนั้นให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้ว ต้องคอยดูว่าเขาจะเปิดได้หรือไม่”