หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 76-1 เปิดโปงผู้พิทักษ์เหลียน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 76-1 เปิดโปงผู้พิทักษ์เหลียน
ตอนที่ 76-1 เปิดโปงผู้พิทักษ์เหลียน
ดูท่าสวรรค์จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขาแล้ว เดิมทีคิดว่าผ่านไปหลายสิบปีแล้วคงจะค้นหาความจริงในยามนั้นได้อย่างยากเย็น ผู้ใดจะคาดคิดว่ากลับค้นพบเงื่อนงำชิ้นใหญ่ขนาดนี้…มีผู้เห็นเหตุการณ์ตัวเป็นๆ!
กงซุนฉางหลีให้ฮูหยินดูภาพวาดยามหนุ่มสาวของทั้งสามคนอีกหน นอกจากอวิ๋นชิง ฮูหยินไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้พิทักษ์เหลียนกับผู้พิทักษ์เจิงจริงๆ
ใบหน้าของเถ้าแก่ดำทะมึนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่วันนี้เขารู้สึกว่าบนศีรษะมีหมวกเขียวสวมอยู่[1]!
ความจริงที่ฮูหยินจำผู้พิทักษ์เจิงไม่ได้ก็พอจะเข้าใจได้ ประการแรกนางอาจไม่เคยเห็นหน้าเขาจังๆ ประการที่สองรูปโฉมของผู้พิทักษ์เจิงเป็นประเภทที่หากอยู่ท่ามกลางหมู่คนก็จะถูกกลบหายไปอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ยามนั้นเคยพบหน้ากันไวๆ สองสามหน แต่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว นึกขึ้นมาได้สิถึงจะแปลก
ส่วนผู้พิทักษ์เหลียน สมัยที่นางเป็นฮูหยินของเจ้าลัทธิน้อยนางก็แปลงโฉมอยู่ตลอด เมื่อสวมเสื้อคลุมทับ ใบหน้าทั้งหน้าจึงถูกบดบังจนเหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่ง ไม่แปลกที่ผู้อื่นจะจดจำไม่ได้
จีหมิงซิวชะงัก เขาลองปิดใบหน้าบนรูปภาพให้เหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่ง “ทำเช่นนี้พอจำได้บ้างหรือไม่”
ฮูหยินตอบอย่างขัดเขิน “นี่…นี่จะไปจำได้อย่างไรกันเล่า ยามนั้นข้าเพิ่งจะอายุสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น”
เถ้าแก่แค่นเสียงดังเหอะ “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจำบุรุษผู้นั้นได้เล่า”
ฮูหยินใช้ข้อศอกถองเขาไปหนึ่งที
หัวใจของเถ้าแก่อบอวลไปด้วยกลิ่นความหึงหวง ทว่าพอเขาเหลือบมองบุรุษผู้มีรูปโฉมประหนึ่งเทพเซียนถูกเนรเทศมายังโลกมนุษย์ก็หึงไม่ออก รูปโฉมและท่วงท่ากิริยาเช่นนั้น หากเขาเป็นสตรีสักนางก็คงจดจำได้ชั่วชีวิตเช่นกัน
แน่นอนว่าบุรุษในภาพวาดสง่างามอีกเท่าใดก็เทียบบุรุษสองคนตรงหน้าไม่ได้ สองคนนี้ต่างหากที่เรียกว่างามประดุจหยกสลักของจริง
เถ้าแก่เขยิบตัวเข้าไปหาภรรยาของตนเองอย่างไม่เผยร่องรอย
ฮูหยินจะหันไปหากงซุนฉางหลี แต่หันทางซ้ายก็ถูกเถ้าแก่บังอยู่ หันทางขวาก็ถูกเถ้าแก่บังอีก ฮูหยินเงื้อมือฟาดเขาหนึ่งฉาด “เจ้าทำอะไรฮะ ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสนทนากับคุณชายอยู่”
เถ้าแก่ลูบแขนที่เจ็บจากการถูกภรรยาฟาด แล้วแค่นเสียงเหอะอย่างไม่สบอารมณ์
ฮูหยินแกะเขาออกจากร่างตนเอง แล้วยิ้มตาหยีมองกงซุนฉางหลีพลางบอกว่า “คุณชายเจ้าคะ ท่านยังมีสิ่งใดต้องการถามอีกก็เชิญถามข้าได้เลย หากข้ารู้ข้าย่อมไม่ปิดบังอย่างแน่นอน!”
กงซุนฉางหลีไม่ชอบการถูกคนจับจ้องเช่นนี้ เขามุ่นคิ้วเล็กน้อย
จีหมิงซิวเหลือบมองกงซุนฉางหลีแล้วลุกขึ้นเงียบๆ เขาดึงกงซุนฉางหลีไปอีกฝั่งแล้วเอาตัวเองมานั่งหน้าฮูหยินแทน ฮูหยินฉับพลันรู้สึกประหนึ่งภูเขาน้ำแข็งโถมลงมาทับ ไอเย็นหนาวยะเยือกแช่แข็งนางจนขนลุกชัน ฮูหยินขยับไปอีกด้านหนึ่ง ดึงระยะห่างจากจีหมิงซิวอย่างห้ามตนเองไม่ได้
จีหมิงซิวเอ่ยปากสั่งเรียบๆ “เล่าเรื่องในตอนนั้นมา เจ้าจดจำสิ่งใดได้บ้าง เล่าออกมาให้หมด”
ฮูหยินไม่กล้ามองจีหมิงซิวมากแล้ว นางเล่าออกมาตามตรง
ฮูหยินนางนี้แซ่อู๋ มีนามตัวเดียวว่าเฉี่ยว ชื่อเล่นว่าเม่ยเหนียง
ตระกูลของเม่ยเหนียงเป็นหมอมาทุกรุ่น แถวถนนหนานเถิงตระกูลของนางนับว่าพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงรุ่นบิดาของเม่ยเหนียงชื่อเสียงก็เริ่มเสื่อมถอยลงบ้างแล้ว บิดาของนางร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก มารดาก็จากไปไว หลังจากท่านปู่จากโลกนี้ไป ภาระอันหนักหน่วงของทั้งตระกูลก็ตกลงบนบ่าของท่านย่ากับพี่ชายของนาง
พี่ชายของนางขยันหมั่นเพียรจนเริ่มเรียนรู้งานได้อย่างช้าๆ ท่านย่าของนางจะตรวจรักษาให้สตรีเป็นหลัก ได้รับงานหมอตำแยบ่อยที่สุด บางครั้งเวลาโรงหมอยุ่งจนคนทำงานไม่ทัน ตัวนางที่เป็นลูกสาว ก็มักจะมาเป็นลูกมือให้ท่านย่า
นางเห็นอวิ๋นชิงตอนนางอายุสิบสามหรือสิบสี่ปี ปีนั้นกิจการซบเซาเล็กน้อย โรงหมอมีคนไข้มาหาอยู่ไม่กี่คน หลังเข้าฤดูใบไม้ร่วง ฝนก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทว่าช่วงไม่กี่วันนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้นจึงมีฝนห่าใหญ่ตกลงมาติดกันหลายรอบ
ตอนที่อวิ๋นชิงเดินเข้ามาในโรงหมอ เม่ยเหนียงกำลังฟุบศีรษะงีบหลับอยู่ที่โต๊ะคิดเงินของร้าน จังหวะนั้นเองศีรษะของนางก็ร่วงตุ้บลงมากระแทกโต๊ะ
ปึก!
อวิ๋นชิงได้ยินเสียงกระแทกจึงหันมาอย่างช้าๆ ดวงหน้าสง่างามไร้ตำหนิจึงบุกรุกเข้ามาในสายตาของเม่ยเหนียงเช่นนั้น
หัวใจของเม่ยเหนียงเต้นระรัว
อวิ๋นชิงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าขอหลบฝนสักครู่”
เม่ยเหนียงตอบตะกุดตะกัก “…หลบ…หลบนานเท่าใดก็ได้เจ้าค่ะ”
อวิ๋นชิงยิ้มอย่างมีมารยาท
เม่ยเหนียงพลันรู้สึกว่าสองขาของตนอ่อนยวบ
อวิ๋นชิงหลบฝนอยู่ที่โรงหมอพักใหญ่ เม่ยเหนียงแอบลอบมองอวิ๋นชิงอยู่เนิ่นนาน เพราะมุมที่นั่งอยู่นางจึงเห็นแต่ใบหน้าด้านข้าง ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็รู้สึกว่านั่นเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดที่ตนเองเคยเห็นมาในชีวิตนี้
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม สายฝนก็หยุด
อวิ๋นชิงเอ่ยขอบคุณแล้วจากไป
เม่ยเหนียงผิดหวังยิ่งนัก หากรู้ก่อนว่าเขาจะจากไปเร็วเช่นนี้ ไม่สู้ลองถามดูว่าเขาเป็นคุณชายของบ้านไหน
เม่ยเหนียงคิดไม่ถึงว่าคืนวันต่อมานางจะได้พบกับคุณชายคนนั้นอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าหนนี้สถานการณ์เหมือนจะไม่ดีเท่าไรนัก พี่ชายของนางประคองอวิ๋นชิงเข้ามาในห้องส่วนตัว พี่ชายพบว่าอวิ๋นชิงบาดเจ็บภายในจึงปรุงยารักษาให้อวิ๋นชิง แล้วกำชับให้เขาอย่าขยับตัวตามใจ ทางที่ดีรอให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นก่อนค่อยจากไป
ดังนั้นอวิ๋นชิงจึงพักอาศัยอยู่ที่โรงหมอ
“ตอนนั้นไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยหรือ” จีหมิงซิวถาม
ฮูหยินตอบว่า “มีสิๆ เหมือนจะมี…สามสี่คน แต่ข้าจำหน้าตาพวกเขาไม่ได้แล้ว”
จีหมิงซิวขานอืมตอบคำหนึ่ง แล้วส่งสัญญาณให้นางเล่าต่อ
อวิ๋นชิงพักอยู่ต่อ คนที่ดีใจที่สุดย่อมเป็นเม่ยเหนียง
เม่ยเหนียงไม่เพียงเปลี่ยนให้อวิ๋นชิงมาอยู่ห้องที่ดีที่สุด แต่ยังทำอาหารที่อร่อยที่สุดให้อวิ๋นชิงด้วย ถึงขนาดที่ว่าเมื่อเห็นข้างกายอวิ๋นชิงไม่มีสาวใช้ นางก็อาสามาดูแลการกินการอยู่ของอวิ๋นชิงด้วยตนเอง
อวิ๋นชิงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีมารยาทและเว้นระยะห่างอยู่เสมอ
แต่ตอนนั้นนางยังอายุน้อย ไหนเลยจะมองท่าทีอ้อมค้อมพวกนั้นของผู้ใหญ่ออก อวิ๋นชิงยิ้มให้นาง วิญญาณนางก็จะหลุดลอยขึ้นฟ้าแล้ว
หากไม่ใช่ว่าต่อมาภรรยาของเขาเดินทางตามมา นางคงจะหลงคิดว่าอวิ๋นชิงมีใจให้นางแล้ว
“ภรรยาคนนั้นมาเมื่อใด” จีหมิงซิวถาม
“สองหรือสามวันให้หลัง” วันที่ชัดๆ ฮูหยินจำไม่ค่อยได้เสียแล้ว นางจำได้แต่ว่าภรรยานางนั้นมาอาศัยอยู่ที่โรงหมอด้วย
นางพักอยู่ที่ห้องของอวิ๋นชิง นอนบนเตียงของอวิ๋นชิง ลูกน้องเหล่านั้นเรียกขานนางว่าฮูหยินอย่างเคารพนบนอบ ต่อให้เม่ยเหนียงโง่เขลาก็มองออกแล้วว่านั่นคือภรรยาของผู้อื่น
เม่ยเหนียงเศร้าซึมไปนานนัก
แต่เม่ยเหนียงก็เกลียดฮูหยินคนนั้นไม่ลง
ตอนยกอาหารไปให้ เม่ยเหนียงทำหน้าบูดบึ้งจมูกเหมือนไม่ใช่จมูก ดวงตาเหมือนไม่ใช่ดวงตา แม้แต่พี่ใหญ่ของนางก็ทนมองไม่ได้ แต่ฮูหยินคนนั้นกลับมอบสีหน้าอ่อนโยนให้นางเสมอ
เม่ยเหนียงไม่ใช่คนใจแคบถึงเพียงนั้น ความขุ่นเคืองน้อยนิดในใจจึงมลายหาย เมื่อพบหน้าฮูหยินคนนั้นอีกหน นางก็ไม่เหลือความไม่พอใจอะไรอีกแล้ว
นางพบว่ากิริยาท่าทางของฮูหยินคนนี้สง่างามอย่างยิ่ง ยามพูดยามจาน้ำเสียงอ่อนหวาน ทั้งเขียนตัวอักษรได้ วาดภาพเป็น ท่าทางยามเหลือบตาหรือแย้มยิ้มล้วนเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่
สาเหตุที่ภายหลังนางร่ำเรียนการเขียนตัวอักษรและการวาดภาพก็เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากฮูหยินนางนี้นั่นเอง
“คุณหนูตระกูลใหญ่หรือ” กงซุนฉางหลีพึมพำ “นางช่างมีหลายใบหน้าเหลือเกินนะ”
จีหมิงซิวไม่มีท่าทีอันใด เขาถามฮูหยินว่า “นอกจากเรื่องพวกนี้ ยังมีเรื่องที่ทำให้เจ้าจำได้แม่นอีกหรือไม่”
“เรื่องที่จำได้แม่น…” ฮูหยินเค้นสมองนึก “ผ่านไปตั้งหลายปีขนาดนั้นแล้ว ท่านจะให้ข้า…อ้อ ข้านึกออกแล้ว!”
จีหมิงซิวกับกงซุนฉางหลีหันมามองนาง
ฮูหยินเล่าว่า “เหมือนนางจะอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ตลอด มีหนหนึ่งข้ายกอาหารไปให้นาง คุณชายหลับอยู่ นางนั่งอยู่ข้างเตียงเพียงคนเดียว ทว่าดูท่าทางหดหู่เล็กน้อย ยามอยู่ต่อหน้าผู้คนนางไม่มีท่าทางเช่นนั้น ยามนั้นนางคงคิดไม่ถึงว่าข้าจะเข้าไปในห้องจึงถูกข้าเห็นเข้า ข้าถามนางว่า ‘ท่านเป็นอันใดไป มีเรื่องในใจใช่หรือไม่’ นางก็ไม่ตอบอะไร…
…ข้าเห็นมือของนางลูบท้องอยู่ตลอดจึงถามนางว่ากลัวการคลอดบุตรใช่หรือไม่ หนนี้นางลังเลเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าอีก หลังจากนั้นข้าก็ปลอบนาง บอกนางว่าสตรีล้วนต้องให้กำเนิดบุตร นางอย่าได้กังวลไปเลย หากกังวลจริงๆ ก็อยู่ที่โรงหมอ ให้ท่านย่าของข้าทำคลอดให้นางก็ได้…
…หลังจากนั้นข้าเหมือนจะ…เหมือนจะอะไรนะ…อ้อ ปากพาซวยจริงๆ คืนนั้นฮูหยินคนนั้นก็ปวดท้องจะคลอด”
ความจริงยังไม่ถึงกำหนดคลอด พี่ชายของนางจับชีพจรแล้วบอกว่าฮุหยินผู้นั้นกังวลมากเกินไปจนกระทบถึงครรภ์ ดังนั้นจึงได้แต่คลอดเอาตอนนั้น
ตอนนางคลอดไม่ราบรื่นนักเพราะนางตกเลือดไม่น้อย ท่านย่าของเม่ยเหนียงทำคนเดียวไม่ทันจึงเรียกเม่ยเหนียงเข้าไปช่วย ภายในห้องมีหญิงรับใช้สองคนโผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบ หญิงรับใช้แขวนม่านกั้นเหนือหน้าอกของฮูหยิน เม่ยเหนียงกับท่านย่าของนางจึงมองไม่เห็นใบหน้าของฮูหยิน
วุ่นวายผ่านไปหนึ่งคืนเต็ม ในที่สุดฮูหยินก็คลอดบุตรออกมาสำเร็จ เป็นเด็กชายตัวน้อยขาวจ้ำม่ำ
“เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนเขาหรือไม่” กงซุนฉางหลีชี้ภาพวาดของอวิ๋นชิง อวิ๋นซู่กับอวิ๋นชิงเป็นพ่อลูกกัน หน้าตาย่อมคล้ายคลึงกันเจ็ดแปดส่วน
เม่ยเหนียงกระแอมแล้วพึมพำว่า “ทารกแรกเกิดล้วนหน้าตาเหมือนลิงอัปลักษณ์ ไหนเลยจะมองออกว่าเหมือนหรือไม่เหมือน”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเบา “น่าจะใช่อวิ๋นซู่ ผู้พิทักษ์เจิงก็บอกไม่ใช่หรือว่าอวิ๋นซู่เกิดที่โรงหมอเก่าแห่งนี้”
กงซุนฉางหลีพยักหน้า “ผู้พิทักษ์เหลียนอารมณ์ไม่ดีเพราะสังหรณ์ว่าหากให้กำเนิดบุตรเสร็จ การแลกเปลี่ยนระหว่างนางกับอวิ๋นชิงก็จะจบสิ้นลงใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวตอบว่า “เรื่องนั้นก็อาจเป็นไปได้” นั่นก็เพราะพออวิ๋นซู่เกิดออกมา อดีตฮูหยินก็จากโลกไปทันที ฝั่งผู้พิทักษ์เหลียนก็เลิกเก็บตัวฝึกวิชา ทุกสิ่งทุกอย่างหวนกลับมาตามครรลองเดิม
ฮูหยินมองทั้งสองคนด้วยแววตางงงวย “พวกท่าน…กำลังพูดอะไรกัน”
“หากเจ้าได้พบฮูหยินเมื่อตอนนั้น จะยังจำนางได้หรือไม่”
ฮูหยินทำหน้าครุ่นคิด “ข้าเคยเข้าไปส่งเสื้อผ้าที่พับเสร็จแล้วให้นางหนหนึ่ง นางกำลังอาบน้ำ ข้าเห็นว่าบนหัวไหล่ของนาง…มีของสิ่งหนึ่ง”
…
ภายในห้องนอนที่มีแสงส่องสลัวๆ ผู้พิทักษ์เหลียนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา นางจำไม่ได้แล้วว่าตนเองหมดสติไปได้อย่างไร นางขยับร่างกายอันปวดร้าว หัวไหล่ขวาเจ็บแปลบประหนึ่งทิ่มแทงถูกดวงใจ นางสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด
เย่ว์หวาที่เฝ้าอยู่นอกห้องได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ดันรถเข็นเข้ามาในห้อง แล้วหยุดข้างเตียง เขามองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน “เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไร รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่อันตรายเพียงใด หากไม่ใช่เพราะข้ากังวลใจจนย้อนกลับไปดูว่าเจ้าจะทำพังหรือไม่ เจ้าก็คงถูกเจ้าลัทธิสังหารไปแล้ว!”
ผู้พิทักษ์เหลียนกดหัวไหล่ขวา ตรงนั้นมีรอยแผลเก่าอยู่หนึ่งรอย แม้จะหายสนิทแล้ว แต่หากกดแรงๆ ก็ยังเจ็บปวดเป็นบางครั้ง
“ไม่ใช่ตรงนั้น ตรงนี้ต่างหาก!” เย่ว์หวาชี้ลำคอของนางอย่างไม่สบอารมณ์
ผู้พิทักษ์เหลียนลูบผ้าพันแผลบนลำคอ
เย่ว์หวาถลึงตาใส่นาง “นึกออกแล้วใช่หรือไม่ หืม”
ผู้พิทักษ์เหลียนวางมือลง “เจ้าลัทธิเล่า”
เย่ว์หวากลอกตาใส่นาง “เจ้าช่างจงรักภักดีเสียจริงนะ!”
ผู้พิทักษ์เหลียนลุกขึ้นมานั่ง นางประคองศีรษะที่ยังมึนงงแล้วถามอย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้าลัทธิเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่ว์หวาตอบอย่างฉุนเฉียว “นอกจากอาการหนักขึ้น ก็ยังไม่เป็นอะไร”
ก่อนหน้านี้แค่เหมือนคนใกล้ตาย แต่ตอนนี้กลายเป็นคนใกล้ตายจริงๆ แล้ว
เย่ว์หวาโมโหชนิดที่ว่าไม่รู้จะโมโหมากกว่านี้เช่นไรแล้วจริงๆ “ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าเลิกก่อเรื่อง! ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เจ้าลัทธิอาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้แล้วด้วยซ้ำ!”
ผู้พิทักษ์เหลียนพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…เลือดของจั๋วหม่าน้อยไม่ได้ผลหรือ”
เย่ว์หวาตอบว่า “ข้าจะไปเตรียมการเรื่องหลังจากที่เจ้าลัทธิสิ้นใจ แล้วก็จะถือโอกาสประกาศเรื่องการสืบต่อตำแหน่งของเจ้าลัทธิน้อยด้วย แน่ใจนะว่าเจ้าลัทธิรุ่นต่อไปคือยิ่นอ๋อง ไม่ใช่องค์ชายสาม”
ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารอเดี๋ยวก่อน”
เย่ว์หวาเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก ดูสิเจ้าทำร้ายเจ้าลัทธิจนกลายเป็นสภาพไหนแล้ว! เริ่มตั้งแต่ที่เจ้าบอกว่าโหราจารย์น้อยรักษาเจ้าลัทธิได้ เจ้าลัทธิก็ไม่เคยดีขึ้นสักครั้ง! ข้าไม่ผลักเจ้าออกไปบอกว่าเจ้ากับอวิ๋นจูเป็นพวกเดียวกันก็ยอมให้เจ้ามากแล้ว!”
ผู้พิทักษ์เหลียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเจ้าลัทธิได้”
เย่ว์หวาต่อว่าอย่างเย็นชา “เจ้าพอเสียทีผู้พิทักษ์เหลียน อย่าคิดว่าเจ้าลัทธิเชื่อใจเจ้า แล้วข้าจะไม่กล้าทำอันใดกับเจ้านะ! ตอนนี้ในลัทธิมีคนไม่พอใจเจ้าอยู่มาก ทั้งหมดต่างสงสัยว่าเหตุการณ์จักรพรริดอสูรเมื่อตอนนั้นเจ้าใช่เล่ห์กลอุบายอันใดหรือไม่ ข้าพูดส่งๆ เพียงประโยคเดียวก็ทำเจ้าจบเห่ได้แล้ว!”
ผู้พิทักษ์เหลียนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ข้าอยากจะถ่ายพิษออกจากร่างของเจ้าลัทธิ”
เย่ว์หวายิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นจักรพรรดิอสูรหรือเฮ่อหลันชิง เจ้ามีพลังลมปราณล้ำลึกถึงขั้นนั้นหรือ”
“ข้าจะแลกโลหิต” ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยขึ้นมา
เย่ว์หวาตกตะลึง “อะไรนะ”
ผู้พิทักษ์เหลียนสีหน้าเหม่อลอยนิดๆ “ถ่ายเลือดของข้าให้เจ้าลัทธิ ถ่ายเลือดของเจ้าลัทธิให้ข้า”
เย่ว์หวารู้สึกหนาวสะท้านหันไปมองนาง “เจ้า…เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ”
กล่าวตามตรงวิธีแลกเลือดก็ไม่นับเป็นวิธีใหม่อะไรนัก ก่อนหน้านี้ก็มียอดฝีมือไม่น้อยเคยลองทำมาก่อน เพียงแต่ว่าวิธีการนี้อันตรายยิ่ง คนส่วนใหญ่ตายไปทั้งคู่ คนที่รอดมาได้จริงๆ มีน้อยนัก
บางคนเป็นบิดาบุตร พี่น้องท้องเดียวกันแท้ๆ แต่เลือดกลับไม่เข้ากันจึงตาย แต่บางคนแม้แต่หน้ายังไม่เคยพบแท้ๆ แต่กลับรอดมาได้คนหนึ่งอย่างน่าประหลาด
หากใช้วิธีการนี้ถ่ายพิษออกจากร่างอวิ๋นซู่ หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ทั้งสองคนก็คงตายตกไปด้วยกัน แต่ต่อให้อวิ๋นซู่โชคดีรอดชีวิตมาได้ ผู้พิทักษ์เหลียนก็คงต้องรับพิษจากในร่างอวิ๋นซู่จน…
สรุปก็คือนี่เป็นวิธีการที่จะช่วยอวิ่นซุ่ได้หรือไม่ยังไม่แน่ แต่ผู้พิทักษ์เหลียนต้องตายอย่างแน่นอน
เย่ว์หวาหันไปมองผู้พิทักษ์เหลียนอย่างไม่เข้าใจ รังร่วงลงมาแล้วย่อมไม่มีไข่ใบใดอยู่รอดปลอดภัยนี่เป็นหลักการที่ใครก็เข้าใจ หากอวิ่นซู่ตาย คนสนิทอย่างพวกเขาย่อมไม่มีผู้ใดได้ผลประโยชน์ เขาก็หวังจะให้อวิ๋นซู่อยู่รอดปลอดภัยเช่นกัน แต่หากการที่อวิ๋นซู่รอดจะต้องแลกมาด้วยการเอาชีวิตของเขาไปแทน เขาก็ยังต้องลังเลอยู่บ้าง
เย่ว์หวาหรี่ตาลง “เจ้ากับเจ้าลัทธิ….มีความสัมพันธ์อะไรกันแน่”
ผู้พิทักษ์เหลียนไม่ตอบคำถามของเขา แต่เอ่ยขึ้นมาว่า “ไหนบอกว่าเจ้าลัทธิคงทนได้ไม่พ้นคืนนี้ไม่ใช่หรือ ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่รอดอยู่แล้ว ให้ข้าลองสักหน่อยจะเป็นอันใดไป”
เย่ว์หวาบื้อใบ้
หลังจากนั้นเย่ว์หวาก็ลุกขึ้นเดินออกไป เขามุ่งหน้าไปที่ร้านทำโลงศพ สั่งทำโลงศพเพิ่มมาอีกหนึ่งใบ
…
[1] สวมหมวกเขียว สำนวนหมายความว่านอกใจ