หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 76-2 เปิดโปงผู้พิทักษ์เหลียน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 76-2 เปิดโปงผู้พิทักษ์เหลียน
ตอนที่ 76-2 เปิดโปงผู้พิทักษ์เหลียน
หลังจากจีหมิงซิวกลับมาที่จวนก็บอกเรื่องพยานที่พบกับอวิ๋นจู แม้จะมีเพียงคำพูดของฮูหยินคนนั้นเพียงฝ่ายเดียว แต่ยามนี้เดิมทีลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็มีเรื่องมากมายอยู่แล้ว เรื่องมารโลหิตยังไม่ทันเงียบหาย หากมีพยานโผล่มาบอกว่าผู้พิทักษ์เหลียนกับอวิ๋นชิงเคยมีลูกด้วยกัน ชีวิตในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของผู้พิทักษ์เหลียนก็คงไม่สบายเหมือนเดิมอีกต่อไป
จีหมิงซิวไม่เคยเป็นคนที่รอหลักฐานครบถ้วนแล้วค่อยไปถามหาความผิด เขาอยากจะให้ผู้ใดอยู่อย่างยากลำบาก คนผู้นั้นก็อย่าคิดจะอยู่สบายแม้แต่วันเดียว
“ท่านยายไหวหรือไม่” ระหว่างทางมุ่งหน้าไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ จีหมิงซิวถามอวิ๋นจูอย่างเป็นห่วงเป็นใย
อวิ๋นจูตอบว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”
นางปล่อยวางคนที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปนานแล้ว อวิ๋นชิงจะมีลูกกับผู้ใดก็ไม่สำคัญ ไม่เกี่ยวข้องกับนางทั้งนั้น
จีหมิงซิวกุมมือของอวิ๋นจู “คนที่รังแกท่านยาย อีกเดี๋ยวพวกเราจะรังแกพวกเขากลับทีละคนๆ!”
อวิ๋นจูขยับมุมปากยกยิ้มอย่างโล่งใจ
รถม้ามาถึงลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
จีหมิงซิวกับอวิ๋นจูลงจากรถม้า ไม่นานฮูหยินก็ลงมาจากรถม้าอีกคันด้วย
ฮูหยินมองปราสาทโบราณตรงหน้าแล้วตาค้างพูดไม่ออก กลิ่นอายความยิ่งใหญ่โบราณโถมเข้ามาใส่ใบหน้าจนนางตะลึงนิ่งค้างไปทั้งตัว
กงซุนฉางหลีตระเตรียมทุกสิ่งเอาไว้พร้อมแล้ว จีหมิงซิว อวิ๋นจู ไห่สือซานกับฮูหยินจึงเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ฮูหยินอุทานโอ้โหไปตลอดทาง
เมื่อพวกเขาเข้ามาในตำหนักประชุมของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ยิ่นอ๋องที่ได้ข่าวแล้วก็รีบเร่งมาถึงพร้อมกับสีหน้าลนลาน เขาหันไปมองอวิ๋นจูกับจีหมิงซิวที่อยู่กลางตำหนัก แววตาเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก อวิ๋นจูก็เดินมาหาเขา
อวิ๋นจูหยุดยืนเบื้องหน้าเขาแล้วมองเขาอย่างอ่อนโยน “เรื่องหนก่อน ขอบคุณเจ้ามาก”
ยิ่นอ๋อง “…”
อวิ๋นจูเอ่ยต่อว่า “มารดาของเจ้าคิดถึงเจ้ามาก เมื่อใดเจ้าจะไปเยี่ยมนางบ้าง”
ยิ่นอ๋องเอ่ยตะกุกตะกัก “วัน วันหลังก็แล้วกัน”
อวิ๋นจูตอบว่า “ดี ข้าจะรอเจ้า”
ยิ่นอ๋องอยากจะกัดตนเองให้ตายนัก วันหลังอะไรกัน สมควรจะพูดว่าไม่ไปสิจึงจะถูก!
ข่าวการมาเยือนของอวิ๋นจูแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้พิทักษ์ ผู้ดูแลและหัวหน้าผู้ดูแลของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต่างทยอยกันเดินทางมา ผู้พิทักษ์เจิงก็ให้กงซุนฉางหลีปล่อยตนเองออกมาด้วย
ทุกคนล้อมวงอยู่ในตำหนักหลังใหญ่ มองจีหมิงซิวกับอวิ๋นจูที่พาตนเองบุกมาถึงที่อย่างสงสัยใคร่รู้แล้วกระซิบกระซาบกันครู่หนึ่ง ในหมู่พวกเขามีคนจำนวนมากไม่รู้จักอวิ๋นจู ยามนี้พวกเขาสนใจที่จีหมิงซิวกับเจ้าลัทธิน้อยหน้าตาเหมือนกันถึงขนาดนั้นมากกว่า
ไม่นานเย่ว์หวากับปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ก็มาถึง ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์คนใหม่อาการไม่เป็นอะไรมากแล้ว เขาเข็นรถเข็นของเย่ว์หวาเข้ามาในโถงตำหนักอย่างเชื่องช้า
เย่ว์หวามองยายหลานสองคนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วหรี่ตาลงอย่างระแวง “พวกเจ้ามาทำอันใด คงไม่ใช่ว่ายังอยากจะสู้อีกกระมัง”
อวิ๋นจูบอกว่า “ข้ามาวันนี้ไม่ใช่เพราะต้องการจะสู้กับพวกเจ้า แต่ข้าต้องการพบเหลียนซิน”
เย่ว์หวาหัวเราะหยัน “เจ้าจะพบนางทำอะไร”
อวิ๋นจูไม่เคยพูดจาเสแสร้งอ้อมค้อมอยู่แล้ว นางพูดตรงเข้าประเด็นทันที “หลายวันก่อนหลานชายของข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมาจากในเมืองเยี่ยเหลียง บอกว่าเหลียนซินกับอวิ๋นชิงเคยลักลอบคบหากัน จึงสมคบกันทำร้ายบิดาข้า ข้าจะมาถามหาคำตอบจากนาง”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา ภายในตำหนักหลังใหญ่ก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นทันใด
หากอวิ๋นจูมาพูดเช่นนี้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน คงไม่มีผู้ใดเชื่ออย่างแน่นอน แต่ไม่นานก่อนหน้านี้ดันเกิดเหตุการณ์มารโลหิตขึ้นมา ทั่วทั้งลัทธิต่างร่ำลือกันว่าวิธีที่จักรพรรดิอสูรสังหารคนในอดีตก็เป็นวิธีเดียวกัน บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า
หลายปีที่ผ่านมามารโลหิตถูกคุมขังอยู่ก้นทะเลสาบมาตลอด นอกจากผู้พิทักษ์เหลียนก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องทั้งสิ้น เห็นชัดอย่างยิ่งว่าสตรีนางนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่นางแสดงออก
ตอนนี้จู่ๆ อวิ๋นจูก็กระโดดออกมาบอกว่านางกับอวิ๋นชิงเคยลักลอบมีสัมพันธ์กัน…
คนส่วนมากยังไม่เชื่อ แต่นั่นไม่ขัดขวางพวกเขาจากการนินทา
ฝ่ายเย่ว์หวาหลังจากได้ยินคำพูดของอวิ๋นจู สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปมาคาดเดาไม่ออก “อวิ๋นจู อาหารกินส่งเดชได้ แต่วาจาจะพูดส่งเดชมิได้ เจ้าใส่ความผู้พิทักษ์เหลียนยังไม่เป็นไร แต่จะมาใส่ร้ายเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงไม่ได้”
อวิ๋นจูเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าใส่ร้ายผู้ใดหรือไม่ พวกเจ้าก็ให้นางออกมา ข้าจะซักถามนางต่อหน้าเอง”
เย่ว์หวาหรี่ตาลง หันไปกระซิบกับปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ที่อยู่ด้านหลังเบาๆ “สภาพของผู้พิทักษ์เหลียนเป็นเช่นไรบ้าง”
ปรมาจารย์เวทศักดิ์สิทธิ์รุ่นใหม่กระซิบตอบ “ไม่ดีนัก”
ถ่ายพิษของอวิ๋นซู่ไปไว้ในร่างตนเอง ย่อมสภาพดีไม่ได้อยู่แล้ว…เย่ว์หวาปวดหัวนัก!
จีหมิงซิวมองเย่ว์หวาอย่างขบขัน “เป็นอันใดไป นางไม่กล้าออกมาหรือ ไม่ออกมาก็ได้ พวกเราก็จะพูดฝั่งของพวกเรา แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ความยุติธรรมที่สมควรทวงคืนก็ย่อมต้องทวงคืนอยู่วันยังค่ำ”
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว “จีหมิงซิว เจ้าจะทำสิ่งใดกันแน่”
จีหมิงซิวยกมุมปากโค้ง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้านิดหน่อย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของอวิ๋นซู่ ชาติกำเนิดของอวิ๋นซู่ย่อมเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของเจ้าเช่นเดียวกัน”
“เจ้ากำลังพูดอันใดอยู่” คิ้วของยิ่นอ๋องขมวดแน่นกว่าเดิม
“ผู้ใดมาก่อความวุ่นวายที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์” ตอนนั้นเองผู้พิทักษ์เหลียนก็ถือไม้เท้าก้าวเข้ามาในตำหนักอย่างเชื่องช้าพร้อมกับเสียงเข้มทรงอำนาจ นางเปลี่ยนมาสวมชุดของผู้พิทักษ์ตัวหนาหนัก บนศีรษะก็สวมกวานทอง วางสีหน้าเคร่งขรึม หากไม่พินิจให้ดีก็คงมองไม่เห็นใต้ตาดำคล้ำของนางกับร่างกายที่โงนเงนเล็กน้อย
นางเดินเข้ามาพร้อมกับรัศมีอันแข็งแกร่ง สายตาทรงอำนาจกวาดมองใจกลางตำหนักอย่างเชื่องช้า สุดท้ายก็หยุดบนร่างของอวิ๋นจู “คุณหนู ตั้งแต่จากกันสบายดีนะเจ้าคะ”
อวิ๋นจูสีหน้านิ่งสงบตอบว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ตั้งแต่จากกันสบายดีนะ”
คำว่าพี่สะใภ้ใหญ่คำเดียวทำให้ตำหนักใหญ่ที่อุตส่าห์เงียบสงบได้ เกิดเสียงฮือฮาดังกระหึ่มอีกครั้ง
มือที่กำไม้เท้าของผู้พิทักษ์เหลียนบีบแน่น
อวิ๋นจูเอ่ยต่อ “อวิ๋นชิงเป็นพี่ชายบุญธรรมของข้า เจ้าเป็นภรรยาที่ตบแต่งเข้ามาอย่างเปิดเผยของพี่ชายบุญธรรมข้า คำว่าพี่สะใภ้คำนี้ ข้าสมควรเรียกไม่ผิด”
ผู้พิทักษ์เจิงตาโตอ้าปากค้าง “เจ้า…พวกเจ้ากำลังพูดอะไร อดีตฮูหยินไม่ใช่นางเสียหน่อย!”
อวิ๋นจูจ้องเขม็งไปที่ผู้พิทักษ์เหลียน “ไม่ใช่นาง แล้วนางไปที่ใดเล่า เก็บตัวฝึกวิชาก็เป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงนางเปลี่ยนตัวตนมาแต่งงานกับอวิ๋นชิงต่างหาก”
แขนที่ถือไม้เท้าของผู้พิทักษ์เหลียนสั่นเทาเบาๆ “คุณหนู ท่านอย่าพูดจาส่งเดช”
อวิ๋นจูเดินไปหานางอย่างเชื่องช้า “เจ้ากล้าทำ แต่ไม่กล้าให้ข้าพูดหรือ”
ผู้พิทักษ์เหลียนโมโหจนหัวเราะ “คุณหนู ท่านไปฟังข่าวลือไร้สาระอันใดมาจึงวิ่งมาใส่ความข้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าท่านเคียดแค้นข้า…”
แววตาคมกริบของอวิ๋นจูจับจ้องบนใบหน้าของนาง “เหตุใดข้าต้องเคียดแค้นเจ้าเล่า ในตอนนั้นข้าถูกเนรเทศออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ บิดาข้าถูกจองจำไว้บนเกาะอิ๋นหู เจ้าเป็นคนอาสาอยู่ดูแลบิดาของข้า ข้าขอบคุณเจ้ายังแทบไม่ทัน เหตุใดต้องเคียดแค้นเจ้าเล่า”
ผู้พิทักษ์เหลียนบื้อใบ้ทันควัน
อวิ๋นจูเอ่ยต่อ “นอกเสียจากว่าเจ้าทำสิ่งใดที่ผิดต่อข้า ดังนั้นจึงคิดว่าข้าจะเคียดแค้นเจ้า”
ผู้พิทักษ์เหลียนร่างกายโงนเงนวูบหนึ่ง ก่อนหน้านี้อวิ๋นจูไม่มีแรงกดดันมากมายถึงเพียงนี้…
ผู้พิทักษ์เหลียนหันไปมองจีหมิงซิวที่อยู่ไม่ไกล ต้องเป็นเพราะเขาแน่!
อวิ๋นจูขยับตัวมาบังสายตาของผู้พิทักษ์เหลียน “วันนี้ข้ามาเอาคำอธิบายจากเจ้า”
ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “คุณหนูท่านอย่าไปเชื่อข่าวลือไร้สาระ! ข้าไม่เคยทำเรื่องใดผิดต่อท่าน!”
อวิ๋นจูว่าต่ออย่างสบายๆ “เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงแต่งงานกับอวิ๋นชิง เจ้าไม่รู้หรือว่าคนผู้นั้นสมควรเป็นคู่หมั้นของข้า”
ผู้พิทักษ์เหลียนอารมณ์พลุ่งพล่านหลุดปากออกมาว่า “ท่านไม่ต้องการเขาไม่ใช่หรือไร”
อวิ๋นจูร้องอ้อคำหนึ่ง “เจ้ายอมรับว่าเจ้าแต่งงานกับเขาแล้วสินะ”
ผู้พิทักษ์เหลียนชะงัก
อวิ๋นจูเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อน “เจ้าแต่งงานกับอวิ๋นชิง ให้กำเนิดบุตรชายของอวิ๋นชิง…”
“ข้าเปล่า!” ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยขัดอวิ๋นจูเสียงดัง
ยิ่นอ๋องหันไปมองผู้พิทักษ์เหลียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ คงไม่ใช่ว่า…สิ่งที่อวิ๋นจูพูดเป็นความจริง สตรีนางนี้ให้กำเนิดบุตรชายของอวิ๋นชิงจริงๆ ใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นบุตรชายคนนั้นก็คือ…
ยิ่นอ๋องไม่กล้าคิดต่อแล้ว!
อวิ๋นจูพูดเสียงเบา “เจ้าไม่เคยจริงหรือ แต่มีคนเห็นนะ”
จีหมิงซิวส่งสายตาให้ฮูหยิน
ฮูหยินอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก็รวบรวมความกล้าก้าวออกมา “ใช่ๆ ข้าเห็น!”
ผู้พิทักษ์เหลียนมองนางอย่างเย็นชา “เจ้าคือผู้ใดอีก”
ฮูหยินตบหน้าอกพูดว่า “ข้าก็คือเม่ยเหนียงแห่งโรงหมอซิ่งหลินในตอนนั้นอย่างไรเล่า! เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ”
ผู้พิทักษ์เหลียนตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าไม่เคยรู้จักเจ้า!”
“โอ๊ะโอ๋ เจ้าความจำแย่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” ฮูหยินหยิบภาพวาดม้วนหนึ่งในแขนเสื้อกว้างออกมาคลี่ให้นางดู “สามีของเจ้า บุรุษผู้นี้ เจ้ากับเขาเคยมาอาศัยที่โรงหมอของตระกูลเรา ตอนที่เจ้าให้กำเนิดบุตรวันนั้น ข้ากับท่านย่าของข้าเป็นคนทำคลอดให้เจ้า!”
ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยเสียงเย็นชา “เหลวไหลทั้งเพ! ข้าไม่เคยไปโรงหมออะไรนั่นมาก่อน!”
จีหมิงซิวหันไปมองผู้พิทักษ์เจิง “อดีตฮูหยินเคยไปเยือนโรงหมอหรือไม่”
ผู้พิทักษ์เจิงเกาศีรษะตอบว่า “น่าจะเคยไปนะ…ตอนนั้นข้าเป็นคนไปส่งข่าวให้นางที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เอง หลังจากนั้นข้าก็ไปทำงานอย่างอื่นต่อ หลังจากนั้นสองสามวันตอนที่ข้ากลับมายังโรงหมออีกครั้ง เจ้าลัทธิอวิ๋นซู่ก็ถือกำเนิดออกมาแล้ว!”
ผู้พิทักษ์เหลียนเชิดคาง “ข้าไม่เคยไปโรงหมอ แล้วก็ไม่เคยให้กำเนิดบุตรด้วย!”
ฮูหยินตบต้นขาดังฉาด “โถๆ ข้าทำคลอดให้คนมากี่คนแล้ว เจ้าเคยคลอดบุตรหรือไม่ ตั้งแต่ที่เจ้าเดินเข้าประตูมาข้าก็มองออกแล้ว! หากเจ้าไม่เคยคลอดบุตร ข้าจะตัดหัวตัวเองออกมาให้เจ้าเตะเป็นลูกบอลเลย! เจ้ากล้าให้ข้าตรวจร่างกายหรือไม่เล่า”
ดวงตาของผู้พิทักษ์เหลียนมีแววตาตระหนกลนลานพาดผ่านวูบหนึ่ง
อวิ๋นจูเอ่ยเรียบๆ “ไม่กล้าตรวจหรือไร ผู้พิทักษ์เหลียน”
ในร่างผู้พิทักษ์เหลียนมีพิษของอวิ๋นซู่ไหลเวียนอยู่ แต่เดิมนางก็จวนเจียนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว เมื่อถูกยั่วยุเช่นนี้ ลำคอก็มีโลหิตหวานปะแล่มตีขึ้นมาทันใด โ
นางพยายามกลืนมันลงไปสุดชีวิต ฝืนร่างกายอันอ่อนระโหยโรยแรงที่เหมือนจะล้มพับลงไปได้ตลอดเวลา เอ่ยตอบทีละคำ “ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไฉนต้องทนรับการดูหมิ่นหยามเหยียดพรรค์นั้น”
ฮูหยินจิ๊ปาก “ดูหมิ่นหยามเหยียดอันใดกันเล่า ข้าจับท้องเจ้าดูก็รู้แล้ว”
ฮูหยินพูดพลางก็ยื่นมือไปหาผู้พิทักษ์เหลียน แต่ผู้พิทักษ์เหลียนกลับถอยหลังหลบก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ ท่าทางหวั่นกลัวเช่นนี้ทำให้ผู้คนในตำหนักตาค้างไปจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าจะถกกางเกงตรวจอะไรๆ ตรงนั้นเสียหน่อย เพียงแค่จับท้องดูเท่านั้น เหตุใดต้องมีปฏิกิริยาขนาดนี้ด้วยเล่า
อวิ๋นจูเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ “ดูท่าเจ้าจะเคยมีลูกกับอวิ๋นชิงจริงๆ สินะ”
ผู้พิทักษ์เหลียนกำหมัดแน่น
เย่ว์หวาอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่จากนั้นแววตาก็พลันเป็นประกายแย้งขึ้นมาว่า “ต่อให้เคยคลอดบุตรจริง ก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นบุตรของเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงเสียหน่อย”
สายตาของอวิ๋นจูจับจ้องใบหน้าของผู้พิทักษ์เหลียนไม่ละสายตาสักพริบตาเดียว “หากไม่เคยมีลูกกับอวิ๋นชิง เหตุใดนางต้องดีกับอวิ๋นชิงและบุตรชายของเขาปานนี้เล่า”
เย่ว์หวากำมือใต้แขนเสื้อกว้าง ต่อว่าอย่างเย็นชา “เจ้าคาดเดาอย่างไร้หลักฐานชัดๆ! ทุกคนอย่าได้ถูกนางหลอก!”
ฮูหยินโวยวายเสียงดัง “หัวไหล่ขวาของฮูหยินคนนั้นมีบางสิ่งอยู่! ข้าเห็นเองกับตา!”
ผู้พิทักษ์เหลียนรีบร้อนถอยไปด้านหลัง แต่อวิ๋นจูไม่ให้โอกาสนางทำเช่นนั้น อวิ๋นจูจับหัวไหล่ของนางไว้แล้วกระชากเสื้อนางจนขาด หัวไหล่ขวาของนางเผยออกมาต่อหน้าสายตาของผู้คน บนนั้นมีแผลเป็นน่ากลัวเหมือนตะขาบอยู่แผลหนึ่ง
ขณะเดียวกันฮูหยินก็ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งของมือซ้ายจีบติดกันเป็นวงกลม “บนหัวไหล่ของนางมีปานสีเขียวดวงหนึ่ง! ใหญ่ประมาณนี้!”
พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง
ปานสีเขียวหรือ
นี่ไม่ใช่ปานเสียหน่อย!
นี่มันรอยแผลเป็นชัดๆ!
“เอ๋ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้” ฮูหยินตาค้าง นางขยับไปตรงหน้าผู้พิทักษ์เหลียนแล้วจับหัวไหล่ของนางไว้ เพ่งดูแล้วเพ่งดูอีก “ปานของเจ้าเล่า ไปไหนแล้ว”
ผู้พิทักษ์เหลียนสีหน้าผ่อนคลายลง นางปัดมือของเม่ยเหนียงทิ้ง แล้วเชิดศีรษะอย่างหยิ่งยโส “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เคยพบเจ้า ไม่รู้ว่าผู้อื่นให้ผลประโยชน์อันใดแก่เจ้า เจ้าจึงพูดจาส่งเดชใส่ร้ายข้า”
ฮูหยินขมวดคิ้ว มองภาพวาดในมือ แล้วสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอดเบาๆ “เป็นไปไม่ได้ เจ้ามาคลอดบุตรที่บ้านของพวกเรา บุรุษคนนี้ก็คือสามีของเจ้า! พวกเจ้ามาพักที่บ้านของข้าตั้งหลายวัน! ข้าเห็นเจ้าคลอดลูกเองกับตา!”
ผู้พิทักษ์เหลียนชิงภาพวาดไป “เจ้าคิดว่าเอาภาพวาดมาม้วนเดียวแล้วจะสาดมลทินใส่ข้าได้หรือ”
ฮูหยินอ้ำอึ้งก่อนจะถลึงตาเถียง “เป็นไปไม่ได้…เจ้าเคยคลอดลูกมาแล้วแน่ๆ! โอ๊ะ เดี๋ยวก่อน! เด็กคนนั้นมีตราประทับอันหนึ่งตรงนี้ใช่หรือไม่”
นางคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอี้ยวตัวไปด้านหลัง แล้วชี้บั้นเอวทางซ้ายของตนเอง
คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะถูกสลักตราประทับตั้งแต่เกิด อวิ๋นซู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ความลับเช่นนี้ย่อมไม่มีทางมีคนนอกล่วงรู้ แต่เม่ยเหนียงเป็นคนช่างสงสัยใคร่รู้ นางแอบไปเกาะหน้าต่างมองลอดช่องว่างเข้าไปเห็นเข้าพอดี ความจริงเม่ยเหนียงเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะถูกสตรีนางนี้ไล่ต้อนจนร้อนรน นางก็คงนึกไม่ออก
เย่ว์หวาแค่นสียงหยันดูแคลน “บั้นเอวซ้ายของเจ้าลัทธิอวิ๋นซู่มีตราประทับดอกบัวแดง เรื่องนี้ข้าก็รู้ นี่พิสูจน์สิ่งใดได้เล่า”
ตอนนี้เองจีหมิงซิวก็พูดขึ้นมาว่า “พิสูจน์ได้ว่ามีสตรีนางหนึ่งให้กำเนิดอวิ๋นซู่ที่โรงหมอจริง”
ผู้พิทักษ์เหลียนเลิกคิ้ว
แต่เดิมจีหมิงซิวมีข้อสงสัยบางประการที่ยังข้องใจอยู่ แต่ยามนี้ทุกสิ่งกระจ่างแล้ว
จีหมิงซิวหันไปมองผู้พิทักษ์เหลียน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “หากเจ้าไม่ได้คลอดบุตรที่โรงหมอ ถ้าเช่นนั้นบางทีเจ้าสมควรตั้งคำถามว่า บุตรของเจ้าไปอยู่เสียที่ใดแล้ว”
ประหนึ่งอสนีบาตฟาดกลางฟ้าแจ้งผ่าลงกลางหัวใจ ผู้พิทักษ์เหลียนตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว!