หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 77-2 ความจริง จิ่งอวิ๋นน้อยผู้เกรียงไกร (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 77-2 ความจริง จิ่งอวิ๋นน้อยผู้เกรียงไกร (1)
ตอนที่ 77-2 ความจริง จิ่งอวิ๋นน้อยผู้เกรียงไกร (1)
อวิ๋นชิงตามหานางพบ แล้วก็ตามหาลูกของนางพบด้วย
นาง…นางเชื่อเช่นนั้นมาตลอด
เย่ว์หวาเอ่ยอย่างโมโหโทโส “ข้าพูดไปมากมายขนาดนี้แล้วที่แท้เจ้าเห็นหรือไม่เห็นกันแน่ หากเจ้าจะรนหาที่ตายก็อย่าลากข้าลงไป…”
“ฮือออ” ดวงใจประหนึ่งแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ โลกทั้งใบพังครืนลงมา ผู้พิทักษ์เหลียนปิดหน้าร่ำไห้ตัวสั่นระริก
…
การเดินทางไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ใช้เวลามากนัก ตอนจีหมิงซิวกับอวิ๋นจูกลับมาถึงเมืองเยี่ยเหลียงเพิ่งจะเป็นยามบ่าย ฮูหยินได้องครักษ์คุ้มครองกลับไปส่งที่บ่อน จีหมิงซิวกับอวิ๋นจูซื้อถังหูลู่หลายไม้จากตลาดกลับมาที่จวนอ๋อง
วั่งซู จิ่งอวิ๋น ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์รับถังหูลู่ไปแทะกร้วมๆ!
อวิ๋นจูกลับมาพักผ่อนที่ห้อง แต่พักได้ไม่นานเท่าไร นางก็ถือธนูจันทร์โลหิตออกไปจากจวนอ๋อง
ทุกคนรู้ดีว่านางจะออกไปตามหาจักรพรรดิอสูร
เฉียวเวยถามเรื่องอวิ๋นซู่กับจีหมิงซิว “….ไม่ใช่บุตรชายที่ผู้พิทักษ์เหลียนคลอดออกมาจริงหรือ ถ้าเช่นนั้นมารดาที่แท้จริงของอวิ๋นซู่คือผู้ใดกันเล่า แล้วลูกชายของผู้พิทักษ์เหลียนไปอยู่ที่ใดแล้ว”
จีหมิงซิวนิ่งไปครู่หนึ่ง “คำถามข้อนี้ เกรงว่าคงมีเพียงอวิ๋นชิงที่ตอบได้”
บางทีอวิ๋นซู่อาจจะรู้อยู่บ้าง แต่คนที่รู้ชัดเจนที่สุดก็ยังเป็นอวิ๋นชิงอยู่ดี
เฉียวเวยจิ๊ปาก ถอนหายใจ “อวิ๋นชิงช่างซุกซ่อนความลับได้ลึกจริงๆ”
นางคิดมาตลอดว่าอวิ๋นชิงเป็นฝ่ายที่ถูกผู้พิทักษ์เหลียนข่มขู่บังคับแกมเอาผลประโยชน์เข้าล่อ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาเป็นฝ่ายเสแสร้งแกล้งเป็นหมูคอยจับเสือกินต่างหาก เขาหลอกผู้พิทักษ์เหลียนตั้งแต่ต้นจนจบ
สตรีหนอ ฉลาดอีกเท่าใด เมื่อพบบุรุษที่หลงรักก็กลายเป็นคนโง่เง่า
เฉียวเวยยกสองมือขึ้นมาเท้าคางแล้วเปรยถามอย่างไม่เข้าใจอย่างยิ่ง “ท่านว่าอวิ๋นชิงคนนั้นไม่มีความรู้สึกให้ผู้พิทักษ์เหลียนแม้สักน้อยนิดเลยหรือ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” จีหมิงซิวอมยิ้มถามนาง
“ข้าคิดว่านะ ต้องไม่มีแน่นอนอยู่แล้ว” เฉียวเวยลูบคางสองสามหน แรกเริ่มอาจมีความรู้สึกดีๆ ให้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ตกหลุมพรางของสตรีนางนั้นอย่างไม่ทันป้องกัน ทว่าสตรีนางนี้ใจละโมบยิ่งกว่างูที่คิดจะกินช้าง นางบีบบังคับอวิ๋นชิงหนแล้วหนเล่าจนแตะเส้นขีดความอดทนของอวิ๋นชิง สุดท้ายยังขับไล่อวิ๋นจูออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อีก
อวิ๋นชิงชอบอวิ๋นจูถึงเพียงนั้น เขาต้องไม่พอใจการกระทำของผู้พิทักษ์เหลียนมากอย่างแน่นอน
เรื่องบางเรื่องต่อให้ไม่มีหลักฐาน ลางสังหรณ์ก็ยังร้องบอกความจริง ตัวอย่างเช่นความรู้สึกที่อวิ๋นชิงมีต่ออวิ๋นจู เฉียวเวยเชื่อว่าอวิ๋นชิงชอบนางจริงๆ
หากไม่ชอบ เขาคงไม่มีทางปล่อยให้อวิ๋นจูจากไป
ได้ยินว่ายามนั้นอวิ๋นจูเคยช่วยจักรพรรดิอสูรหลบหนีจนทำให้ทุกคนทั้งระดับบนล่างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรียกร้องให้ประหารอวิ๋นจู แต่อวิ๋นชิงกลับเผชิญหน้ากับความโกรธของทุกคนแล้วปล่อยอวิ๋นจูไปแทน
เฉียวเวยหรี่ตาลงเอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนนี้ดูท่า เรื่องที่อวิ๋นจูช่วยจักรพรรดิอสูรหลบหนี แปดส่วนก็น่าจะเป็นฝีมือของผู้พิทักษ์เหลียน นางอยากจัดการอวิ๋นจูให้ตาย”
นิ้วชี้ของจีหมิงซิวเคาะเบาๆ บนผิวโต๊ะสองสามหน “เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบอีกหน่อย ประเดี๋ยวข้าจะเดินทางไปเมืองอวิ๋นจง”
เฉียวเวยกอดแขนของเขาแล้วเอ่ยเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “อื้อ อือ อื้อ อื้อ อื้อ อื๋อ”
ข้าไปด้วยไม่ได้หรือ
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “ไม่ได้”
หัวหน้าพรรคเฉียวตะลึงงัน “แบบนี้แล้วท่านยังฟังออกอีกหรือ”
จีหมิงซิวลูบศีรษะของนาง แล้วจุมพิตริมฝีปากของนางอย่างอ่อนโยน “เป็นเด็กดี รอข้ากลับมา”
เฉียวเวยเถียงอย่างหงุดหงิด “ท่านไปสืบคดี ไม่ได้ไปสังหารคนเสียหน่อย พาข้าไปด้วยจะเป็นอันใดไป ข้าอยู่เฉยๆ จนหญ้าจะขึ้นตัวอยู่แล้ว! ไม่เชื่อท่านดูสิ!”
เฉียวเวยยื่นแขนออกมา
จีหมิงซิวม้วนแขนเสื้อของนางขึ้นแล้วจุมพิตบนท่อนแขนกลมกลึงนวลเนียนของนางสองสามที “กลับมาจะกินเจ้าให้หมดทั้งตัว!”
เฉียวเวยหน้าดำทะมึน
ในที่สุดจีหมิงซิวก็เดินออกไป
เฉียวเวยแล่นไปเคาะประตูห้องของเฮ่อหลันชิง “ท่านแม่ เขาไปสืบคดีคนเดียวอันตรายนัก พวกเราออกไปด้วยเถิด”
เฉียวเวยถูกเฮ่อหลันชิงหิ้วกลับไปที่ห้องของตนเอง
เฉียวเวยวิ่งไปที่ห้องปรุงยาของเฉียวเจิงต่อ “ท่านพ่อ สมุนไพรของท่านใกล้หมดแล้วใช่หรือไม่ พวกเราไปเก็บสมุนไพรกันเถิด”
เฉียวเวยถูกเฉียวเจิงหิ้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“ท่านน้า ท่านไม่ได้เล่นพนันตั้งนานแล้ว พวกเราไปบ่อนกันดีหรือไม่”
“สหายเสี่ยวฟู่ อูมู่ตัวคนนั้นเหมือนจะยังตายไม่สนิท วันนั้นข้าเห็นเขาเดินเตร็ดเตร่อยู่นอกจวนอ๋อง พวกเราไปจับตัวเขากันเถิด”
“หมิงเยี่ย ข้าตัดสินใจแล้ว หนนี้จะพาเจ้าออกไปปฏิบัติการด้วย พวกเราไปสืบคดีกันเถิด”
ผลปรากฏว่าแม้แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักก็หิ้วเฉียวเวยกลับไปที่ห้องด้วย…
หัวหน้าพรรคเฉียวอยากร่ำไห้ยิ่งนัก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นนางน่าสงสารจึงกวักมือเรียกนาง พลางชี้มรดกของอวิ๋นชิงแล้วบอกว่า “มาๆ ท่านมาช่วยข้าจัดการเจ้านี่เถิด”
หัวหน้าพรรคเฉียวทำหน้ารังเกียจ “ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
…
จีหมิงซิวเดินทางไปเมืองอวิ๋นจงเพื่อพบกงซุนฉางหลีในสถานที่ที่นัดกันไว้ก่อน
“ตอนที่อวิ๋นจูถูกขับไล่ออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์…”
“ตอนที่อวิ๋นจูถูกขับไล่ออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์…”
ทั้งสองคนเอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน แล้วก็หยุดชะงักไปพร้อมกันอย่างไม่ได้เตี๊ยมกันไว้
จีหมิงซิวหัวเราะ “เจ้าพูดก่อนก็แล้วกัน”
กงซุนฉางหลีหยุดครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเจ้ามาหาข้าเพราะต้องการสืบเรื่องมารดาบังเกิดเกล้าของอวิ๋นซู่กับที่อยู่ของบุตรชายของผู้พิทักษ์เหลียนเสียอีก”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “คนสองคนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ตามหาพบหรือไม่ก็ไม่สำคัญ”
พูดพลางก็มองกงซุนฉางหลี “เจ้าก็คิดเช่นนี้ไม่ใช่หรือ จึงไปสืบเรื่องอื่นมา”
กงซุนฉางหลีตอบ “อืม”
จีหมิงซิวเท้ามือกับโต๊ะเอนกายเข้าไปใกล้เขา มองลึกลงไปในดวงตาของเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม “เจ้ารู้จักข้าดีจริงนะ”
กงซุนฉางหลีไม่สบตาเขา มือก็ดันใบหน้าที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือของเขาออก
จีหมิงซิวกลับไปนั่งบนนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พูดมาเถอะ เจ้าสืบพบอะไรมาบ้าง”
กงซุนฉางหลีตั้งสมาธิแล้วเล่าว่า “เมื่อครู่ข้าไปสอบถามเรื่องราวในสมัยนั้นจากผู้พิทักษ์เจิง ผู้พิทักษ์เจิงเล่าว่าเพราะอวิ๋นจูไปช่วยปล่อยจักรพรรดิอสูรกลางดึกแล้วถูกคนจับได้คาหนังคาเขา เพื่อหลบหนีนางจึงสังหารศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปอีกสองคน เรื่องนี้จุดเพลิงโทสะให้ทุกคน”
จีหมิงซิวถามขึ้นว่า “ศิษย์ตายในที่เกิดเหตุหรือ”
กงซุนฉางหลีส่ายหน้า “ไม่ใช่ ผู้พิทักษ์เหลียนรักษาไม่สำเร็จจึงเสียชีวิต”
จีหมิงซิวหรี่ตาลงอย่างเย็นชา “ดังนั้น นี่ก็คงเป็นฝีมือของคนแซ่เหลียนสินะ”
กงซุนฉางหลีขมวดคิ้วบอกว่า “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานบ่งบอกว่านางทำ แต่ก็น่าจะเป็นฝีมือนาง อวิ๋นชิงเป็นพยานเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องด้วย แต่น่าเสียดายอวิ๋นชิงตายแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดก้าวออกมาชี้ตัวผู้พิทักษ์เหลียนได้อีก”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างขบขัน “หากพูดเช่นนี้ อวิ๋นชิงก็รู้ว่านางคิดจะบีบอวิ๋นจูให้ถึงที่ตายสินะ”
กงซุนฉางหลีพยักหน้า “ข้าเดาว่าเป็นเช่นนั้น”
จีหมิงซิวครางอืมออกมาคำหนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นอวิ๋นชิงจะตลบหลังนางก็ไม่แปลก เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่ว่าอันใด” กงซุนฉางหลีถาม โ
จีหมิงซิวทำท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิด “เพียงแต่ว่าในเมื่ออวิ๋นชิงเกลียดชังนางถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงยอมนางมาตลอด”
กงซุนฉางหลีเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าระหว่างพวกเขามีการแลกเปลี่ยนบางอย่างไม่ใช่หรือ เรื่องจักรพรรดิอสูรกับมารโลหิตและเรื่องที่อวิ๋นจูสูญเสียความทรงจำ ไม่ว่าอวิ๋นชิงจะเป็นผู้บงการเบื้องหลังหรือไม่ อวิ๋นชิงก็ต้องมีส่วนร่วมอย่างแน่นอน แค่กำจุดอ่อนเหล่านี้ไว้ อวิ๋นชิงก็ไม่อาจแตกหักกับนางได้ทันทีแล้ว”
จีหมิงซิวส่ายหน้า
กงซุนฉางหลีมองเขา “เจ้าคิดว่าไม่ใช่หรือ”
จีหมิงซิวล้มลุกคลุกคลานในราชสำนักมานานหลายปีถึงขนาดนี้ เล่ห์กลอันใดไม่เคยพบพานมาบ้าง “หากเพียงเพราะเรื่องเหล่านี้ อวิ๋นชิงก็สมควรสังหารนางปิดปากเสียจึงจะปลอดภัยที่สุด”
กงซุนฉางหลีถามอย่างคลางแคลง “เจ้าหมายความว่า…อวิ๋นชิงยังมีจุดอ่อนอย่างอื่นตกอยู่ในกำมือของนางหรือ”
จีหมิงซิวพยักหน้า “ไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้นจุดอ่อนประการนี้ยังเป็นกุญแจสำคัญในการเฉลยความจริงทั้งหมดอีกด้วย”
กงซุนฉางหลีส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “ข้าคิดไม่ออกว่าอวิ๋นชิงจะยังมีจุดอ่อนอื่นใดได้อีก…พวกเรามองข้ามสิ่งใดไปหรือ”
จีหมิงซิวแววตาหยุดนิ่งไปวูบหนึ่ง
กงซุนฉางหลีก็ชะงักไปด้วย
ทั้งสองคนแลกสายตากันแล้วเอ่ยออกมาเป็นเสียงเดียว “มรดกของอวิ๋นชิง!”
…
“เฮ้อ กล่องเหล็กผุๆ กล่องนี้เหตุใดจึงแงะไม่ออกกันนะ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโยนกล่องเหล็กทิ้งบนโต๊ะอย่างหมดความอดทน เฉียวเวยที่กินนมแผ่นอยู่ด้านข้างจึงยื่นค้อนเหล็กอันหนึ่งให้เขา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงุนงง “อะไรหรือ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าแงะไม่ออกหรือ ก็ทุบเสียเลยสิ!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหงื่อตก “หากทุบเจ้าสิ่งนี้ได้ข้ายังจะแงะมันทำอะไร กล่องชนิดนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าสลักพันกลไก ด้านในมีกลไกเล็กจิ๋วอยู่หนึ่งพันกลไก หากฝืนเปิดมันออก กลไกก็จะทำงานอย่างรวดเร็วทำให้ของด้านในกล่องกลายเป็นผุยผง”
“หนึ่งพันเชียวหรือ ต้องมากมายปานนั้นเชียว“ เฉียวเวยตกตะลึง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “เฮ้อ ข้าเคยได้ยินอาจารย์ปู่เล่าให้ฟังครั้งหนึ่ง คิดว่าเป็นเพียงตำนานเรื่องหนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้พบมันจริงๆ”
ลูกตาของเฉียวเวยกลอกไปมา “สิ่งที่ใช้กล่องสุดแสนจะร้ายกาจเช่นนี้เก็บไว้คงจะเป็นของที่ปล่อยให้คนพบเห็นไม่ได้ง่ายๆ แน่นอนเลยสินะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “แน่นอนสิ ไม่เช่นนั้นจะยินดีทำลายมันทิ้งเสียดีกว่าให้ตกอยู่ในมือคนอื่นหรือ”
เฉียวเวยพึมพำ “ในหมู่ข้าวของของอวิ๋นชิงเหตุใดจึงมีของประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วยกันนะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจัดการอยู่อีกพักใหญ่ก็ยังเปิดไม่ออก
บนกล่องมีอักขระอยู่ ความจริงหากนำอักขระมาจับกลุ่มกันได้อย่างถูกต้องก็จะเปิดมันออกได้ น่าเสียดายไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะจับกลุ่มอักขระประหลาดเหล่านี้อย่างไร
“ท่านแม่!”
จิ่งอวิ๋นกินถังหูลู่หมดแล้ว เขาล้างมือจนสะอาดแล้วเดินเตาะเตาะเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเข้ามากอด
ตอนนี้นอนกับท่านแม่ไม่ได้แล้ว เขาเศร้าใจยิ่งนัก
เฉียวเวยอุ้มลูกชายขึ้นมาบนตักแล้วหอมแก้มน้อยๆ ของเขา
จิ่งอวิ๋นเหลือบเห็นกล่องเหล็กบนโต๊ะจึงหยิบมันขึ้นมา มือน้อยๆ ขยับอักขระที่อยู่บนนั้นสองสามที ปึง! ทันใดนั้นเองกล่องก็เปิดออก