หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 78-2 ความจริง จิ่งอวิ๋นน้อยผู้เกรียงไกร (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 78-2 ความจริง จิ่งอวิ๋นน้อยผู้เกรียงไกร (2)
ตอนที่ 78-2 ความจริง จิ่งอวิ๋นน้อยผู้เกรียงไกร (2)
ห้องนอนอันเงียบสงัดเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของยาตลบอบอวล ภายในห้องไม่จุดโคมไฟ มีเพียงแสงจันทราทอดผ่านกระดาษหน้าต่างสีขาวลงมาเป็นลำจางๆ ยามแสงกระทบพื้นแลดูเย็นเยียบ อวิ๋นซู่นอนหลับอยู่บนฟูกเตียงกว้าง เขาสะลึมสะลือ ลมหายใจแผ่วเบา
แกรก!
ประตูถูกผลักเปิดออก แสงจันทร์สาดเข้ามาพร้อมกับเงาคนร่างหนึ่งทาบทับลงมาบนพื้นอันเย็นเฉียบ เงาคนสีขาวพิสุทธิ์ร่างหนึ่งก้าวเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เจ้าของเงากำกริชที่ทอประกายเย็นยะเยือกเล่มหนึ่งอยู่ในมือ
ผู้มาเยือนเดินทีละก้าวจนมาถึงหน้าเตียง เขาเปิดม่านมุ้ง สองตาวาวโรจน์ดุจคบเพลิงจับจ้องอวิ๋นซู่ที่ยังไม่ได้สติ ประกายเย็นเฉียบบนกริชสะท้อนสู่ดวงตาของอวิ๋นซู่
อวิ๋นซู่ผู้อ่อนแรงโต้ตอบไม่ได้สักนิด ผู้มาเยือกกำกริชแน่นแล้วเงื้อมันขึ้นสูง ดวงตาของผู้มาเยือนแดงก่ำขึ้นทีละน้อย ในดวงตามีแววตาชิงชังท่วมท้น
ระหว่างที่นางสับสนอยู่ว่าจะปักกริชลงกลางอกอวิ๋นซู่ดีหรือไม่ เย่ว์หวาก็เข็นรถเข็นบุกเข้ามาพอดี เย่ว์หวาเห็นภาพอันน่าพรั่นพรึงภาพนี้ หัวใจก็เต้นระรัวด้วยความหวาดผวา เขาคว้าก้อนเงินก้อนหนึ่ง ขว้างใส่กริชของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง!
เคร้ง! กริชของอีกฝ่ายหลุดร่วง
นางทรุดลงนั่งข้างเตียง เม็ดเหงื่อเย็นขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดพราย
เย่ว์หวาปิดประตูแล้วเข็นรถเข็นมาตรงหน้าอีกฝ่าย เขาถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นยะเยือก กดเสียงเบาเอ่ยว่า “เจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงวิ่งมาลอบสังหารเจ้าลัทธิ! หากข้ามาสายกว่านี้อีกก้าวเดียว เจ้าก็คงก่อเรื่องร้ายแรงไปแล้วใช่หรือไม่!”
ผู้พิทักษ์เหลียนพิงเสาตรงหัวเตียง น้ำตาไหลคอเบ้า แววตาเหม่อลอยอย่างยิ่ง นางเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเย่ว์หวา เพียงพิงเตียงเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น
เย่ว์หวามองเห็นความสิ้นหวังที่ยากจะปิดบังบนใบหน้าของนาง
เขาไม่เห็นใจสตรีนางนี้หรอก เขาถึงขั้นเคยริษยาสตรีนางนี้เสียด้วยซ้ำ เขาเคยคิดว่าหากนางตาย บางทีตนอาจกลายเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของเจ้าลัทธิ ทว่าแม้จะมีอารมณ์แง่ลบมากมายถึงเพียงนั้นผสมปนเปกันอยู่ แต่เขาก็ยังสะเทือนใจกับความสิ้นหวังบนใบหน้าของนางไปชั่ววูบ
เขาไม่เคยคิดว่าสตรีผู้เย็นชาใจแข็งคนนี้จะมีวันที่ถูกซัดจนล้มคว่ำกับเขาด้วย แล้วคนที่เล่นงานนางจนคว่ำยังไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นบุรุษที่นางเคยใกล้ชิดที่สุด
เย่ว์หวาไม่เคยแต่งงานและไม่เคยมีลูก เขาไม่อาจพูดว่าตนเองเข้าใจนาง แต่เห็นสภาพนางเป็นเช่นนี้ เขาก็ทนดูไม่ได้อยู่เล็กน้อย
“เฮ้ย เจ้าน่ะ…” เย่ว์หวาถอนหายใจ น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าจะทำตัวเช่นนี้ไปไย ต่อให้เจ้าลัทธิไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเจ้า แต่เจ้าก็เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่มากับมือ เรื่องในอดีตไม่ใช่ความผิดของเขา เขาไม่มีทางเลือก เหตุใดเจ้าจึงจะมาชำระความเอากับเขา”
แม้ปากเขาพูดเช่นนี้ แต่ในใจเขารู้ดีว่าเรื่องราวไม่ง่ายดายเช่นนั้น
นี่คือชีวิตที่สมควรเป็นของลูกชายนาง ทว่านางกลับปล่อยให้ลูกชายของผู้หญิงคนอื่นขโมยไป ลูกชายของนางอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบ เป็นตายร้ายดีก็ไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่…นางทุ่มเทแรงกายแรงใจเลี้ยงดูลูกชายของคนอื่น ทำให้เขากินอิ่มนอนอุ่นไร้กังวล ให้เขาได้ครอบครองตำแหน่งอันสูงส่งและอำนาจอันมากล้น สิ่งดีที่สุดที่นางมีรวมทั้งชีวิตของตัวนางเอง นางล้วนยกให้เขาทั้งสิ้น แต่ลูกชายของนางเล่า
ลูกชายของนางไปอยู่ที่ใด
มีคนดูแลอย่างอ่อนโยนเหมือนกันหรือไม่ หรือว่าต้องเติบใหญ่มาอย่างยากจนข้นแค้น
เขาทุกข์ทรมานหรือไม่
มีบิดามารดาหรือไม่
มีผู้ใดรังแกหรือไม่
มี…
คำถามว่ามีหรือไม่มากมายเหลือคณาประหนึ่งดาบแหลมคนทิ่มแทงดวงใจของนางหนแล้วหนเล่าอย่างโหดเหี้ยม นางจะไม่โกรธได้อย่างไร ไม่แค้นได้อย่างไร จะไม่อยากสังหารเจ้าลูกนกเขาที่มาแย่งรังนกสาลิกาตัวนี้ได้อย่างไร
แต่อวิ๋นซู่เป็นเจ้าลัทธิของเขา เขามิอาจเบิ่งตามองอวิ๋นซู่ตายในเงื้อมมือของนางได้ ความจริงอวิ๋นซู่ตายไปก็ไม่เป็นอะไร แต่หากนางเป็นคนฆ่า มีโอกาสแปดส่วนที่เขาจะถูกมองว่าร่วมสมคบคิดกับนางด้วย
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เย่ว์หวาก็ถอนหายใจยาวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผู้พิทักษ์เหลียน ศิษย์พี่เหลียน เจ้าใจเย็นสักหน่อยเถิด ฟังข้าพูดก่อน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วย่อมย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เรื่องที่ยังไม่เกิด ยังแก้ไขได้อยู่”
ผู้พิทักษ์เหลียนมองด้านบนของม่านมุ้งด้วยหัวใจที่มอดดับแล้ว
เย่ว์หวาเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าแน่ใจว่าตอนนั้นตนเองคลอดเด็กออกมาคนหนึ่งใช่หรือไม่ จากที่ข้ารู้จักเจ้าสำนักอวิ๋นชิง เขาไม่มีทางไม่ไยดีเด็กคนนั้น เขาจะต้องแอบพาเด็กไปเลี้ยงดูที่ใดสักแห่งแน่ เขาอาจจะไม่แวะเวียนไปเยี่ยมเขาบ่อยนัก แต่ไม่มีทางที่จะไม่ไป เจ้าลองคิดให้ดีๆ สมัยที่เจ้าลัทธิอวิ๋นชิงยังอยู่ เคยทำเรื่องแปลกประหลาดอันใดบ้างหรือไม่”
แววตาของผู้พิทักษ์เหลียนชะงักไปทันใด
…
เดือนหนึ่ง เกสรดอกเหมยส่งกลิ่นหอมรวยริน เหมันต์ของปีนี้ไม่หนาวเย็นนัก หิมะตกลงมาไม่กี่หน อากาศก็ยังอบอุ่นอยู่เล็กน้อย หญิงรับใช้อุ้มเด้กน้อยอายุสามเดือนคนหนึ่งมานั่งอาบแดดใต้ชายหลังคา ตรงทางเดินใต้ชายหลังคามีเปลวางอยู่หนึ่งตัว
เด็กน้อยนอนหลับอยู่ หญิงรับใช้วางทารกอ้วนจ้ำม่ำลงไปในเปลแล้วไกวเบาๆ ตอนนี้เองอวิ๋นชิงก็หิ้วห่อผ้าเดินออกมาจากด้านในห้อง โ
หญิงรับใช้หันกลับไปมองเขา แล้วเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางอ่อนโยน ก่อนจะมองห่อผ้าในมือของเขา “ศิษย์พี่ ท่านจะไปที่ใดหรือ”
อวิ๋นชิงยิ้มน้อยๆ บอกว่า “ข้ามีธุระบางอย่างต้องลงเขาไปสักครั้ง สองสามวันนี้ให้ซู่เอ๋อร์ไปอยู่ที่เกาะอิ๋นหูเถิด”
หญิงรับใช้ตอบรับด้วยความยินดี “เจ้าค่ะ”
อวิ๋นชิงผงกศีรษะตอบแล้วก้าวยาวๆ จะเดินจากไป
จังหวะที่เดินเฉียดผ่านหัวไหล่ของหญิงรับใช้นั่นเอง หญิงรับใช้ก็รวบรวมความกล้าจับมือของอวิ๋นชิงเอาไว้ แล้วมองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง
อวิ๋นชิงเบนสายตาไปมองลานเรือนที่ถูกเก็บกวาดจนว่างเปล่า แล้วยิ้มถามว่า “มีอันใดหรือ ศิษย์น้อง”
หญิงรับใช้เม้มปากเอ่ยขึ้นมาว่า “ซู่เอ๋อร์ใกล้จะอายุครบร้อยวันแล้ว ศิษย์พี่จะกลับมาทันงานเลี้ยงฉลองร้อยวันใช่หรือไม่”
อวิ๋นชิงหัวเราะ ตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ซู่เอ๋อร์ก็เป็นลูกชายของข้าเหมือนกัน ข้าต้องรีบกลับมาทันแน่”
หญิงรับใช้ยังจับมือเขาไม่ปล่อย อวิ๋นชิงจึงถามว่า “ศิษย์น้องยังมีเรื่องใดหรือ”
หญิงรับใช้ก้มหน้า “ท่าน…ไม่แวะมาหาข้านานแล้ว”
อวิ๋นชิงร้องอ้อถามกลับว่า “ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”
หญิงรับใช้พยักหน้าอย่างเขินอาย “ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นชิงกุมมือนาง “รอกลับมาหนนี้ ข้าจะไปที่ห้องของเจ้า”
หญิงรับใช้หน้าแดงด้วยความเขินอาย
“เจ้าลัทธิ!”
ตอนนั้นเองศิษย์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าร้อนรน ทั้งสองคนรีบปล่อยมือจากกันอย่างรวดเร็ว แต่เพราะออกแรงมากเกินไป ของด้านในแขนเสื้อของอวิ๋นชิงจึงร่วงตกลงมาหนึ่งชิ้น
อวิ๋นชิงไม่ทันเก็บขึ้นมา ศิษย์คนนั้นก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว อีกฝ่ายรายงานอย่างนอบน้อม “รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว เจ้าลัทธิจะออกเดินทางเวลาใด”
อวิ๋นชิงตอบว่า “เจ้าไปรอด้านนอกประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องต้องคุยกับหัวหน้าผู้ดูแลเหลียนสักหน่อย”
“ขอรับ!” ศิษย์ผู้นั้นเดินออกไป
หญิงรับใช้เก็บของที่ร่วงตกพื้นขึ้นมา นางพบว่ามันเป็นแม่กุญแจอายุยืนอันประณีตชิ้นหนึ่ง แม้จะทำจากเงิน แต่ก็ทำขึ้นมาได้งดงามอย่างยิ่ง ด้านหลังแม่กุญแจสลักวันเวลาตกฟากเอาไว้
“สิบเก้าหรือ ซู่เอ๋อร์เกิดวันที่สิบเจ็ดไม่ใช่หรือ” หญิงรับใช้ถามอย่างงุนงง
อวิ๋นชิงรีบรับแม่กุญแจอายุยืนมา “ใช่แล้ว ข้า…บอกว่าสิบเจ็ดแท้ๆ แต่ช่างทำกุญแจกลับฟังผิด แกะสลักเป็นเลขสิบเก้า ข้ากำลังจะไปหาเขา! ข้าจะรีบกลับมาก่อนวันฉลองครบร้อยวันของซู่เอ๋อร์ จะได้มอบกุญแจอายุยืนให้เขา!”
…
“แม่กุญแจอายุยืน” ผู้พิทักษ์เหลียนเอ่ยขึ้นมา
เย่ว์หวางุนงงเล็กน้อย “แม่กุญแจอะไรนะ”
“อวิ๋นชิง…ให้คนทำแม่กุญแจอายุยืนขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นของอวิ๋นซู๋ อีกชิ้นหนึ่งเป็น…” หน้าอกของผู้พิทักษ์เหลียนพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง
เย่ว์หวาวาดมือลง พยายามบอกให้นางอย่าอารมณ์พลุ่งพล่าน “ข้าจะไปหาช่างทำกุญแจเมื่อตอนนั้น เจ้าอยู่ที่เกาะรอฟังข่าวจากข้า อย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
น้ำตาของผู้พิทักษ์เหลียนร่วงผล็อยลงมา “ข้าจะต้องหาเขาให้พบ…”
เย่ว์หวาเข้าใจว่า ‘เขา’ ที่นางพูดหมายถึงใคร เขาพยายามปลอบให้นางสงบ “ข้าจะหาเจอแน่ ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องพาเขากลับมาให้จงได้ เอาล่ะ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ตอนนี้จีหมิงซิวกับอวิ๋นจูต้องกำลังตามหาเขาอยู่เหมือนกันแน่ หากปล่อยให้พวกเขาจับคนไปได้ก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงคงจะซ่อนเอาไว้ไม่ได้แล้ว!”