หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 79-2 ที่อยู่ของเด็กน้อย
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 79-2 ที่อยู่ของเด็กน้อย
ตอนที่ 79-2 ที่อยู่ของเด็กน้อย
กงซุนฉางหลีจำไม่ได้ว่าตนเองหลับไปเช่นไร เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกหนก็พบว่าตนเองซบไหล่ของคนผู้หนึ่งอยู่ ปลายจมูกมีกลิ่นอายของบุรุษและกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคย คิ้วของเขากระเด้งขึ้นไปบนหน้าผา ก หยัดร่างกายลุกขึ้นนั่งทันใด!
“ตื่นแล้วหรือ” จีหมิงซิวถาม
กงซุนฉางหลีหลุบตาลง คว้าถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ แล้วงึมงำตอบว่า “อืม”
จีหมิงซิวหันไปมองเขา แววตาฉายแววสงสัยจางๆ “กงซุนฉางหลี”
กงซุนฉางหลีหัวใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง “หืม”
“เจ้า…”
จีหมิงซิวเพิ่งจะเอ่ยปาก นอกรถม้าก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น เสียงนี้ไม่ใช่เสียงคนแปลกหน้าสำหรับทั้งสองคน
“ที่นี่หรือ” เสียงนั้นถาม
“ใช่แล้วขอรับ” สารถีเอ่ยตอบ
“ประคองข้าลงไป” เสียงนั้นสั่งการ
สารถีจอดรถม้า เด็กหนุ่มอายุน้อยแต่งกายเยี่ยงจอมยุทธ์สองคนเปิดประตูด้านหลังของรถม้า แล้วยกแผ่นไม้ออกมาวาง ก่อนจะเข็นรถเข็นของเย่ว์หวาลงมาอย่างช้าๆ
จีหมิงซิวส่งสัญญาณให้องครักษ์หนุ่มจอดรถม้าที่ตรอกด้านข้าง หลังจากนั้นเขาก็กระโดดลงจากรถม้า กงซุนฉางหลีคล้ายได้ปลดภาระหนักอึ้งลงจากบ่า รีบเดินตามไปด้วย
เย่ว์หวาจอดรถอยู่ที่ร้านอัญมณีร้านหนึ่ง ทั้งสองคนจึงเดินไปที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้ามของร้านอัญมณี แล้วจับจ้องการเคลื่อนไหวฝั่งนั้นตาไม่กะพริบจากหน้าต่างห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง
แม้จะไม่ได้ยินว่าเย่ว์หวาคุยกับผู้ดูแลว่าอะไรบ้าง แต่พวกเขาก็มองเห็นเย่ว์หวาหยิบแม่กุญแจอายุยืนที่เหมือนกับที่พวกเขามีในมือออกมาชิ้นหนึ่ง หลังจากเปิดแม่กุญแจอายุยืนออกก็มีแก้วนิลกาฬที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการชิ้นหนึ่ง
แรกเริ่มทั้งสองคนสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อขบคิดดูแล้วก็เข้าใจ อวิ๋นชิงให้คนทำแม่กุญแจอายุยืนขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งมอบให้บุตรชายคนเล็ก อีกชิ้นหนึ่งมอบให้อวิ๋นซู่ สิ่งที่ทำให้กงซุนฉางหลีไม่เข้าใจก็คือเหตุไฉนพวกเขาจึงรู้ว่าเด็กคนนั้นมีแม่กุญแจอายุยืนแบบเดียวกันอยู่อีกชิ้นหนึ่ง
จีหมิงซิวตอบว่า “ผู้พิทักษ์เหลียนอยู่กับอวิ๋นชิงมาเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ก่อนหน้านี้อาจไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร แต่ในเมื่อตอนนี้ความลับเปิดเผยออกมาแล้ว นางคงจะนึกย้อนไปพบเงื่อนงำอะไรบางอย่างเข้า”
“หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเย่ว์หวากำลังตามหาเด็กคนนั้นอยู่เหมือนกัน” กงซุนฉางหลีเอ่ยขึ้นมา “จะให้เขาตามหาพบก่อนไม่ได้ หากเขาหาพบ จะต้องพาเด็กคนนั้นไปซ่อนแน่นอน”
จีหมิงซิวยิ้มจางๆ “ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายตามหาพบก่อนหรอก”
เย่ว์หวาเดินออกมาจากร้านอัญมณีอย่างรวดเร็วยิ่งนัก สีหน้าผิดหวังอยู่เล็กน้อย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ร้านแห่งนี้คงไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์อะไร จีหมิงซิวกับกงซุนฉางหลีกลับไปนั่งบนรถม้า จากนั้นชิงมุ่งหน้าไปที่ร้านอัญมณีร้านที่สองก่อนเย่ว์หวา
…
ขณะที่ฝั่งจีหมิงซิวกำลังวุ่นกับการตามหาที่อยู่ของเด็กคนนั้น อีกด้านหนึ่งเฉียวเวยก็ไม่ได้อยู่ว่าง นางทำอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้านเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ทอดถั่วเคลือบน้ำตาลให้ราชันอสูรหนึ่งจาน สุดท้ายก็ไปเก็บกวาดห้องให้สือชี
ภายในห้องของสือชีมีแต่ของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของวั่งซูเต็มไปหมด เฉียวเวยเก็บไปพลางก็รู้สึกโมโหแกมขบขันไปด้วย พอเก็บกวาดห้องให้สือชีเสร็จแล้ว นางก็ไปเก็บกวาดห้องให้ราชันอสูรต่อ
ห้องของราชันอสูรสะอาดกว่ามาก กระดาษไม่ใช้สักแผ่นก็ยังไม่มี เฉียวเวยเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้เขา จากนั้นก็เปลี่ยนปลอกหมอน ทันใดนั้นเองนางก็ต้องแปลกใจที่มือลูบไปถูกของแข็งๆ บางอย่าง
เฉียวเวยฉีกหมอนแล้วหยิบมันออกมาดู ปรากฏว่าเป็นภาพวาดม้วนหนึ่ง
“ซ่อนไว้เร้นลับถึงขนาดนี้ เป็นภาพที่เจ้าเด็กอ้วนวาดให้หรืออย่างไร”
เฉียวเวยคลี่ม้วนภาพวาดออกอย่างขบขัน แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่มันไม่ใช่ภาพวาดขยุกขยุยของวั่งซู แต่เป็นภาพวาดจริงๆ
ในภาพวาดมีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง ดูจากสิ่งก่อสร้างบนเกาะเหมือนจะเป็นเกาะอิ๋นหูของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ บนเกาะมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ มีทั้งชายทั้งหญิง พวกเขาล้วนรูปโฉมงดงามไม่เลว ตรงกลางหมู่ชายหญิงกลุ่มนั้นมีสตรีสีหน้าขึงขังคนหนึ่งยืนอยู่
เฉียวเวยมองออกทันทีว่านางคือผู้พิทักษ์เหลียนสมัยยังสาว ก็ไม่สาวขนาดนั้นหรอก ท่าทางน่าจะอายุสามสี่สิบปีแล้ว ทว่ายังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ดูงดงามอย่างยิ่ง
บนภาพวาดไม่มีข้อความเขียนไว้จึงไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนวาด
แน่นอนว่าเฉียวเวยไม่สนใจว่าผู้ใดเป็นคนวาด นางสนใจมากกว่าว่าเหตุใดภาพวาดภาพนี้จึงมาอยู่ในมือของราชันอสูร
นางจำได้เลือนรางว่าหนแรกที่นางลอบเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับราชันอสูร ราชันอสูรขโมยภาพวาดภาพหนึ่งมาจากหอตำราลับของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาขโมยภาพวาด ตัวตนของพวกเขาจึงถูกเปิดโปง
หรือว่าตอนนั้น…สิ่งที่ราชันอสูรขโมยมาก็คือภาพวาดภาพนี้ เขาขโมยภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับผู้พิทักษ์เหลียนมาทำอะไร
ในใจเฉียวเวยเกิดความสงสัย นางจึงหยิบม้วนภาพวาดไปห้องลับที่ราชันอสูรเก็บตัวฝึกฝนวิชาอยู่คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะก้าวเข้าไปในห้องก็พบว่าในห้องลับไม่มีเงาของราชันอสูรอยู่แล้ว
เฉียวเวยมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ตอนยกถั่วเคลือบน้ำตาลมาให้เมื่อครู่ก็ยังอยู่นี่นา…”
…
จีหมิงซิวกับกงซุนฉางหลีสอบถามร้านอัญมณีขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองเยี่ยเหลียงทั้งหลายจนครบแล้ว สวรรค์ไม่ทรยศคนตั้งใจ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เงื่อนงำของแก้วนิลกาฬจากการถามร้านอัญมณีแห่งที่หก
คนที่ออกมาต้อนรับทั้งสองคนคือลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ดูแลร้านของเขาไปตรวจสินค้าที่ซื้อมา เสมียนบัญชีในห้องบัญชีก็มีธุระกะทันหัน เขาจึงเฝ้าร้านอยู่กับลูกจ้างอีกหลายคน
ทุกคนนอกจากเขาล้วนแต่ทำงานมาน้อยกว่าเขา
ลูกจ้างหนุ่มถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “คุณชายทั้งสองท่านต้องการซื้อแต่แม่กุญแจอายุยืนหรือต้องการซื้อแก้วนิลกาฬอย่างเดียว หรือว่าจะซื้อทั้งชุดดีขอรับ”
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ทั้งชุด เอาที่เหมือนกับแบบนี้ทุกอย่าง มีของที่ทำสำเร็จแล้วหรือไม่“
ลูกจ้างหนุ่มตอบว่า “ของที่ทำสำเร็จแล้วไม่มีขอรับ นี่เป็นแบบเก่าเมื่อหลายสิบปีก่อน หากท่านต้องการต้องสั่งทำ แต่ตอนนี้พวกเรามีแม่กุญแจอายุยืนที่ดีกว่าแล้ว”
กงซุนฉางหลีดวงตาเป็นประกาย “แม่กุญแจอายุยืนแบบนี้นอกจากร้านของพวกเจ้า ยังมีร้านอื่นทำได้อีกหรือไม่”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “แม่กุญแจอายุยืนทำง่าย แต่แก้วนิลกาฬชนิดนี้คงไม่มี”
กงซุนฉางหลีมองแม่กุญแจอายุยืนบนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หากกล่าวเช่นนี้ เจ้านี่ก็เป็นของร้านพวกเจ้าเช่นนั้นสิ”
“ใช่แล้วขอรับ คุณชาย” ลูกจ้างหนุ่มดูสีหน้าท่าทางของทั้งสองคนไม่เหมือนมาซื้อของนัก จึงถามหยั่งเชิงประโยคหนึ่งว่า “แม่กุญแจอายุยืนชุดนี้มีปัญหาอันใดหรือขอรับ”
กงซุนฉางหลีตอบว่า “ไม่…”
“ไม่มีปัญหาแล้วพวกข้าจะมาหาถึงร้านหรือ” โจรถ่อยสกุลจีเอ่ยขัดคำพูดของกงซุนฉางหลี แล้วล้วงตราของจวนมู่อ๋องออกมาจากอกเสื้อ
ลูกจ้างหนุ่มเห็นตรานั่นก็ตกใจวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่าง
โจรถ่อยแซ่จีข่มขู่ต่อ “มีคดีฆ่าคนตายคดีหนึ่งเกี่ยวข้องกับแม่กุญแจอายุยืนชิ้นนี้ ตอนนั้นเจ้าขายแม่กุญแจนี้ให้กับผู้ใด หากรู้จักดูสถานการณ์ก็บอกมาตามตรงเสีย หากไม่บอกมา ครึ่งชีวิตที่เหลือของเจ้าคงต้องไปกินข้าวแดงในคุก!”
ชื่อเสียงของมู่อ๋องในเมืองเยี่ยเหลียงดีอย่างยิ่ง ทหารรักษาพระองค์ก็ดี คนของจวนอ๋องก็ดีไม่เคยใช้อำนาจรังแกคนผู้น้อยอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน
ชายหนุ่มอึกอักเอ่ยว่า “พวกท่าน…พวกท่าน…”
โจรถ่อยแซ่จีชักดาบของทหารออกมาปักบนโต๊ะอันเย็นเฉียบ
ลูกจ้างหนุ่มตกใจขวัญหายทันที
จีหมิงซิวเอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ปีซินเหม่าเดือนสิบวันที่สิบเก้าไปจนถึงต้นเดือนหนึ่งของปีต่อมา มีลูกค้าคนหนึ่งซื้อแม่กุญแจอายุยืนที่เหมือนกันทุกประการไปสองชุด ชุดหนึ่งสลักวันเวลาตกฟากไว้ว่าปีซินเหม่า เดือนสิบ วันที่สิบเก้า ยามอิ๋น ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเวลาตกฟากที่สลักไว้น่าจะเป็นปีซินเหม่า เดือนสิบ วันที่สิบเจ็ด ยามเหม่า”
ปกติแล้วแม่กุญแจอายุยืนจะสวมให้เด็กก่อนอายุครบร้อยวัน หรือพูดอีกอย่างก็คือ ช่วงเวลาที่อวิ๋นชิงมาสั่งทำแม่กุญแจอายุยืนอย่างช้าที่สุดย่อมไม่เกินเดือนหนึ่งของปีต่อมา ส่วนอย่างเร็วที่สุดก็ต้องรอให้ลูกคนที่สองถือกำเนิดออกมา รู้วันเวลาตกฟากของพี่น้องสองคนก่อน
ชายหนุ่มค้นบันทึกของปีซินเหม่าอย่างเร่งรีบ แม่กุญแจอายุยืนที่ทำจากเงินแต่เดิมก็ไม่ใช่ของแพงอยู่แล้ว สิ่งที่แพงคือแก้วนิลกาฬทั้งสองชิ้นนั้นต่างหาก แล้วยังซื้อพร้อมกันเป็นคู่อีกด้วย ราคาย่อมต้องน่าตกใจอย่างมากแน่นอน
ชายหนุ่มกวาดตามองหาราคาที่สูงที่สุด ไม่นานก็พบ จำนวน รูปแบบ วัสดุ และวันเวลาตกฟากที่สลักไว้ ทุกสิ่งเหมือนที่จีหมิงซิวบอกไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
“ใช่ ใช่ คนนี้หรือไม่ขอรับ” ชายหนุ่มชี้หน้ากระดาษที่เหลืองมานานแล้ว จากนั้นถามตัวสั่นเทา
จีหมิงซิวกวาดสายตามอง “ถูกต้องแล้ว นี่แหละ แม่กุญแจอายุยืนชิ้นนี้เมื่อตอนนั้นขายให้ผู้ใดไป”
ชายหนุ่มพลิกหน้ากระดาษไปอีกหน้าหนึ่งที่มีข้อความจดบันทึกไว้ “คุณชายแซ่อวิ๋นคนหนึ่งขอรับ”
“อาศัยอยู่ที่ใด” จีหมิงซิวถามเสียงเข้ม
ชายหนุ่มตอบว่า “คุณชายคนนี้มารับสินค้าเองที่ร้าน ไม่ได้ทิ้งที่อยู่เอาไว้…”
จีหมิงซิวชักดาบออกมาอีกหน
“อ้าก ประเดี๋ยวก่อนขอรับ!” ชายหนุ่มร้อง “มีแม่กุญแจอายุยืนชิ้นหนึ่งสายสร้อยขาด! พวกเขาจึงนำมาซ่อมแซม ซ่อมเสร็จแล้วก็ให้พวกเราส่งไปที่บ้าน!”
“ส่งไปที่ใด” จีหมิงซิวถามสีหน้าเย็นชา
ชายหนุ่มสองขาสั่นระริกในใจกรีดร้องคร่ำครวญ แม้แต่บันทึกก็ถือไว้ไม่อยู่
จีหมิงซิวแย่งบันทึกไปดูเองแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ถนนอวี้เฟิง หมายเลขสามสิบสามหรือ”
ถนนอวี้เฟิงเป็นถนนเส้นเก่าแก่ของเมืองเยี่ยเหลียง คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีแต่ประชาชนธรรมดา จะบอกว่าใช้ชีวิตหรูหราก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่ายากจนข้นแค้นก็ไม่ถึงขั้นนั้น
จากบันทึกของที่ร้าน แม่กุญแจอายุยืนชิ้นที่เอามาซ่อมก็คือชิ้นที่อยู่ในมือจีหมิงซิว เวลาที่เอามาซ่อมก็คือราวหนึ่งปีก่อนหน้าที่อวิ๋นชิงจะจากโลกไป หรือก็คือเมื่อยี่สิบปีก่อน ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ผู้ใดก็รับประกันไม่ได้ว่าบ้านหลังนั้นจะยังมีคนอาศัยอยู่หรือไม่
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงหน้าเรือนอันสะอาดสะอ้านหลังหนึ่ง สีบนบานประตูหลุดลอกออกมาบ้างแล้ว เหนือกำแพงก็มีวัชพืชเล็กน้อยที่ถูกกลบทับด้วยหิมะขาวโพลน เหลือต้นหญ้าที่ทนทายาดกระจุกเดียวโผล่ขึ้นมา
จีหมิงซิวเคาะประตูไม้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จีหมิงซิวจึงเคาะอีกหน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีเสียงใดๆตอนที่จีหมิงซิวคิดว่าคงจะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่แล้วนั่นเอง แกรก! บานประตูไม้ก็เปิดออก