หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 80-1 ความจริงของเด็กน้อย
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 80-1 ความจริงของเด็กน้อย
ตอนที่ 80-1 ความจริงของเด็กน้อย
หลังจากที่ราชันอสูรหายไปจากห้องลับ เฉียวเวยก็ไปตามหาที่ห้องน้ำ แต่ที่ห้องน้ำก็ไม่มี เฉียวเวยจึงกลับไปหาที่เรือนฟางชุ่ยหยวน แต่ที่เรือนฟางชุ่ยหยวนก็ไม่มีเช่นกัน
“แปลก ไปที่ใดกันนะ” เฉียวเวยมุ่นคิ้วพึมพำกับตนเอง
“ท่านแม่!” วั่งซูวิ่งตึงตังโถมเข้ามาหา เจ้าเด็กซนคนนี้ร้องเพลงอยู่ครึ่งค่อนคืน แต่เสียงยังดังกังวานอย่างน่าเหลือเชื่อ เฉียวเวยหยิกพวงแก้มของนาง “ท่านพ่อราชันอสูรของเจ้าเล่า”
วั่งซูผายมือ “ไม่ทราบจ้าค่ะ! ข้าไม่ได้พบเขามาตั้งนานแล้ว!”
ไม่ได้มาหาวั่งซูด้วยหรือ เฉียวเวยยิ่งฉงนกว่าเดิม
วั่งซูมองท้องของมารดาตาปริบๆ “น้องสาวยังอยู่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเวยยิ้ม “ยังอยู่ดี”
เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นน้องสาวฮึ หากเป็นน้องชายขึ้นมาเล่า
วั่งซูตบหน้าอกเล็กๆ ของตนเองอย่างโล่งใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าไปหาพี่ชายกับเสี่ยวไป๋ก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปร้องเพลงให้พวกเขาฟัง”
เท้าข้างแรกของนางเพิ่งจะเหยียบเข้าไปในเรือน จิ่งอวิ๋นกับเสี่ยวไป๋ก็รีบชักเท้าวิ่งหนีทันที!
วั่งซูไม่เห็นพวกเขา “ถ้าเช่นนั้นข้าไปหาจูเอ๋อร์ก็ได้”
จูเอ๋อร์กำลังส่องกระจกแต้มเครื่องประทินโฉมสีเหลืองให้ตนเองอยู่ แต่จู่ๆ มันก็ขนลุกซู่ โยนของในมือทิ้งแล้วพุ่งทะลุหน้าต่างออกไปอย่างเร็วไว!
ไม่นานอินทรีทองก็กระพือปีกพรึ่บพรั่บบินหนีไปด้วย
มีเพียงต้าไป๋ผู้งีบหลับจนเพลินที่หนีไม่ทัน ถูกวั่งซูจับได้อย่างจัง วั่งซูกอดต้าไป๋ นางลูบขนเพียงพอนอ่อนนุ่มของต้าไป๋พลางร้องเพลงเสียงสูงน้ำเสียงเศร้าสลด “สองเรามัวเมาในความรักความแค้น เมื่อใดหนอท่านจะถึงที่ตายยย”
ต้าไป๋สองตาเหลือกลอย สองขาถีบดิ้น จากนั้นก็หมดสติไม่รับรู้เรื่องราวอีกต่อไป…
เฉียวเวยยังคิดไม่ออกว่าราชันอสูรไปที่ใดแล้ว นางถือภาพเหมือนเดินไปที่ห้องของใต้เท้าเจ้าสำนัก บิดามารดาของมู่เหยียนน้อยอยู่กันทั้งคู่ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็อยู่ด้วย เขามาศึกษากล่องเหล็กใบนั้นด้วยกันกับใต้เท้าเจ้าสำนัก
กล่องเหล็กใบนั้นมีอักขระทั้งหมดสี่สิบเก้าตัว แต่ละครั้งที่จับกลุ่มอักขระได้ถูกต้องสามคู่กล่องก็จะเปิดออก ทว่าอักขระที่จับกลุ่มแต่ละครั้งล้วนไม่เหมือนกัน นี่เท่ากับเป็นรหัสลับที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว รหัสลับที่เคยใช้ไปแล้วจะไม่อาจใช้ได้อีกเป็นหนที่สอง แน่นอนว่าเจ้าเด็กประหลาดจิ่งอวิ๋นคนนั้นจะกี่ครั้งๆ เขาก็เปิดออก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโมโหแทบจะวางวาย
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นตัวนี้” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับคู่อักขระ
“ไม่ใช่ ข้าว่าอันนี้” ใต้เท้าเจ้าสำนักเปลี่ยนมาเป็นอักขระอีกตัวหนึ่ง โ
ทว่าไม่ว่าจะเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหรือใต้เท้าเจ้าสำนักก็เปิดกล่องไม่ออก ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ฟู่เสวี่ยเยียนเพิ่งเปลี่ยนผ้าอ้อมของมู่เหยียนน้อยเสร็จ นางหันกลับมามองเฉียวเวยที่เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้ามึนงง แล้วรีบถามนางว่า “เจ้าเป็นอะไรไป”
เฉียวเวยนั่งลงตรงโต๊ะที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับใต้เท้าเจ้าสำนักอยู่ ข้อศอกเท้ากับโต๊ะ มือเท้าคางอย่างเอื่อยเฉื่อยจนตนเองกลายเป็นกระรอกอ้วนตัวหนึ่ง “ราชันอสูรหายไปแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนงุนงง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดขึ้นมาว่า “เขาเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ไม่ใช่หรือ”
“นั่นสิก็อยู่ในห้องลับอย่างไรเล่า” ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยบ้าง
เฉียวเวยส่ายหน้า “ข้าไปหามาแล้ว เขาไม่อยู่ ในห้องไม่มีใครอยู่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามว่า “ไปห้องน้ำหรือไม่”
เฉียวเวยตอบว่า “ไปหามาแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกบ้าง “สวนดอกไม้เล่า”
เฉียวเวยตอบอีก “ไม่มี”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามขึ้นมาอีกหน “อยู่กับวั่งซูกระมัง”
“สองเรามัวเมาในความรักความแค้น เมื่อใดหนอท่านจะถึงที่ตายยย”
คนที่อยู่ในห้องสะดุ้งโหยงขึ้นมาเกือบจะหน้าคว่ำจากเก้าอี้!
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินเข้ามารินชาร้อนถ้วยหนึ่งให้เฉียวเวย ตาเหลือบมองของที่อยู่ในแขนเสื้อของนาง “นี่คือสิ่งใดหรือ”
เฉียวเวยหยิบม้วนภาพวาดออกมาคลี่บนโต๊ะแล้วบอกว่า “เมื่อครู่ไปเก็บห้องของราชันอสูร เจอมันอยู่ในหมอนของเขา”
ทุกคนหันมามองภาพวาดบนโต๊ะอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาล้วนเคยไปเยือนเกาะอิ๋นหูมาก่อน มองปราดเดียวก็รู้ว่าฉากหลังของภาพวาดคือตำหนักหลังหนึ่งบนเกาะอิ๋นหู
ในภาพวาดมีผู้คนอยู่ไม่น้อย เหมือนจะกำลังขนของลงจากเรือ มีคนเรือ มีศิษย์ชายของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็มีศิษย์หญิงของเกาะอิ๋นหู ตรงกลางหมู่ศิษย์หญิงมีสตรีนางหนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวคาดสายคาดเอวสีม่วง แขนเสื้อกับชายกระโปรงเย็บเก็บริมผ้าด้วยด้ายสีม่วง ดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด
นางกำลังตรวจสอบหีบที่ขนลงมาจากบนเรือทีละใบๆ ในภาพวาดเห็นใบหน้าตรงของนางทำให้มองออกอย่างง่ายดายว่าเป็นผู้ใด
“นี่…นี่มันนางเฒ่าแห่งเกาะอิ๋นหูคนนั้นไม่ใช่หรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชี้แล้วถามขึ้นมา
“ผู้พิทักษ์แซ่เหลียนคนนั้นน่ะหรือ” ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่เคยไปเยือนลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเคยได้ยิน ‘วีรกรรม’ ของนางมาบ้าง แต่ชื่อเสียงกับหน้าตาดูเป็นคนละเรื่องอยู่เล็กน้อย
“ใช่แล้ว นี่คือผู้พิทักษ์เหลียนคนนั้น!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองคนบนภาพวาดอย่างละเอียดแล้วสูดหายใจเบาๆ บอกว่า “นี่เป็นภาพเหมือนสิบกว่าหรือยี่สิบปีก่อนสินะ ผู้พิทักษ์เหลียนตอนนั้นยังเยาว์วัยอยู่พอสมควร” แน่นอนถึงจะใช้คำว่าเยาว์วัย แต่จะบอกว่าเป็นแม่นางน้อยก็เหมือนจะไม่ใช่ ดูไปแล้วเหมือนหญิงงามวัยกลางคนมากกว่า
บนภาพวาดไม่มีข้อความเขียนไว้ ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนวาดและไม่รู้ว่าวาดขึ้นมาเมื่อใด ทั้งภาพวาด คนที่โดดเด่นที่สุดก็คือผู้พิทักษ์เหลียน แล้วพวกเขาก็บังเอิญรู้จักแต่ผู้พิทักษ์เหลียนคนเดียว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามอย่างฉงน “ราชันอสูรมีภาพวาดของผู้พิทักษ์เหลียนได้อย่างไรกัน”
เฉียวเวยครุ่นคิดแล้วก็บอกว่า “จำหนแรกที่พวกเราบุกเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ข้าแปลงโฉมเป็นอูมู่ตัวเข้าไปสืบข่าวในลัทธิศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับราชันอสูรและสือชี ราชันอสูรไม่ทันระวังเปิดเผยตัวตนของตนเองก็เพื่อขโมยภาพวาดภาพหนึ่งมา”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตาโตอ้าปากค้าง “เขา เขา ตอนนั้นที่ขโมยมาก็คือภาพวาดภาพนี้หรือ”
เฉียวเวยขมวดคิ้วบอกว่า “นอกจากภาพวาดภาพนี้ ข้าก็ไม่เห็นภาพวาดอื่นในห้องของเขาอีกแล้ว”
คนในห้องเงียบงันไปพร้อมกัน
ฟู่เสวี่ยเยียนพึมพำขึ้นมาว่า “เขาขโมยภาพวาดของผู้พิทักษ์เหลียนมาทำอะไรกัน เขารู้จักผู้พิทักษ์เหลียนหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขารู้จักหรือไม่ หนแรกที่พบเขา เขาอยู่ในมือของเหยาจวิ้นและใกล้จะเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูร แต่…ท่านยายบอกว่าเขาเคยถูกคนทำลายจุดตันเถียนมาก่อน เป็นไปได้มากว่าอาจจะเคยถูกคนควักเอาเม็ดยาพิษไปหนหนึ่งแล้ว ข้ากำลังคิดว่าเม็ดยาพิษของเขามีโอกาสแปดในเก้าส่วนที่จะถูกอวิ๋นซู่ควักเอาไป อวิ๋นซู่ดูดซับกำลังภายในของเขาเสร็จแล้วแต่เห็นเขาไม่ตายจึงโยนเขาไปให้เหยาจวิ้นต่อ”
นี่ไม่ใช่การคาดเดาอย่างไร้หลักการ แต่ดูจากพลังของราชันอสูร คนธรรมดาย่อมทำอันใดเขาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะควักเม็ดยาพิษของเขาไป มีแต่นักเวทศักดิ์สิทธิของลัทธิศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นที่มีหนทางขังเขาเอาไว้ได้ ดังนั้นมีโอกาสมากที่ผู้กระทำการจะเป็นลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ทว่าหากไม่มีคำสั่งของอวิ๋นซู่ นักเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายย่อมไม่ลงมือทำให้ราชันอสูรคนหนึ่งตายโดยพลการ เมื่อใคร่ครวญและตัดความเป็นไปได้ทิ้ง อวิ๋นซู่ก็เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง หากราชันอสูรเป็นนักรบมรณะของลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาตลอด ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่เขาจะรู้จักผู้พิทักษ์เหลียนมาก่อน
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา “แต่ว่า ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ว่ามีแต่เหยาจวิ้นกับพวกนักเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกราชันอสูรได้หรือ ผู้พิทักษ์เหลียนทุ่มเททั้งใจให้กับเกาะอิ๋นหู ตามหลักแล้วนางไม่ควรมีความเกี่ยวข้องกับราชันอสูร รานีอสูร นักรบมรณะกับพวกร่างพิษถึงจะถูกสิ”
เฉียวเวยลูบคาง “หรือว่าระหว่างพวกเขามีความเชื่อมโยงอย่างอื่นอยู่”
“อ้อ! ข้ารู้แล้ว!” ใต้เท้าเจ้าสำนักตบโต๊ะอย่างแรงจนถ้วยชาบนโต๊ะสั่นดังกริ๊กๆ
ทั้งสามคนหันไปมองเขา
เขาเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “เขาจะเป็นเด็กคนนั้นหรือไม่ ลูกแท้ๆ ของผู้พิทักษ์เหลียนอย่างไรเล่า”
ทั้งสามคนกะพริบตาปริบๆ อย่างประหลาดใจ
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยต่อว่า “ไม่มีผู้ใดรู้ความเป็นมาของเขา หรือก็คือความเป็นมาของเขาไม่ชัดเจน”
เฉียวเวยถูกลากให้เริ่มคล้อยตามเล็กน้อย นางรู้สึกอยู่เลือนรางว่าคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง แต่ชั่วขณะนั้นนางบอกไม่ถูกว่ามันไม่ถูกต้องตรงที่ใด
“แต่…เหตุใดเขาจึงไปอยู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เล่า” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ “นั่นยังต้องพูดอีกหรือ ก็ต้องเป็นอวิ๋นชิงทิ้งเขาไว้ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์น่ะสิ ไม่เคยได้ยินหรือว่าที่ๆ อันตรายที่สุดก็คือที่ๆ ปลอดภัยที่สุด นางปีศาจเฒ่าคนนั้นต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าอวิ๋นชิงจะซ่อนลูกชายแท้ๆ ของนางไว้ใต้หนังตาของนางเอง…ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่รู้ว่าอวิ๋นซู่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง ต่อให้เห็นเด็กคนนี้ก็ไม่มีทางนึกสงสัย”
เฉียวเวยถามอย่างคลางแคลง “เดี๋ยวก่อน เขาเป็นลูกแท้ๆ ของทั้งสองคน อย่างไรก็ต้องหน้าตาเหมือนทั้งสองคนอยู่บ้างกระมัง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเถียง “บนโลกนี้ก็มีเด็กบางคนที่หน้าตาไม่เหมือนพ่อแม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นด้วยอย่างยิ่ง ตัวเขาเองก็หน้าตาไม่เหมือนบิดามารดาสักนิด
เฉียวเวยยังไม่ค่อยเชื่อนัก “ได้ ตอนนี้สมมุติว่าเขาหน้าตาไม่เหมือนใครทั้งนั้น แต่ในเมื่อเขาถูกอวิ๋นชิงซ่อนไว้ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงถูกจับไปฝึกเป็นนักรบมรณะเล่า อวิ๋นชิงไม่ใช่คนที่จะทำร้ายลูกของตนเองสักหน่อย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “อวิ๋นชิงไม่ทำ แต่อวิ๋นซู่ย่อมทำ! ตอนที่อวิ๋นชิงตายอวิ๋นซู่ก็เติบใหญ่แล้ว เขามีสิทธิสั่งประหารคนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ความจริงเขารู้ตัวตนของน้องชายต่างแม่คนนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ติดที่อวิ๋นชิงจึงไม่มีหนทางลงมือ เมื่ออวิ๋นชิงตาย เขาจึงอดรนทนรอไม่ไหวที่จะจับน้องชายมาฝึกเป็นนักรบมรณะ”
เฉียวเวยลูบคางแล้วถามต่อว่า “เหตุใดต้องเอาเขามาฝึกเป็นนักรบมรณะเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองเฉียวเวยด้วยแววตาที่ราวกับจะพูดว่า ‘เหตุใดเจ้าจึงโง่เช่นนี้’ แล้วตอบว่า “แน่นอนก็เพราะกลัวว่าเขาจะแย่งตำแหน่งเจ้าลัทธิของตนเองไปอย่างไรเล่า! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางปีศาจเฒ่าคนนั้นมีความสามารถมากขนาดไหน หากปล่อยให้นางรู้ว่าลูกชายที่ตนเองส่งเสริมสนับสนุนมานานหลายปีคนนี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่อีกคนต่างหากที่ใช่ นางจะทำอย่างไร นางจะไม่แย่งชิงทุกสิ่งที่สมควรจะเป็นของลูกชายตนเองคืนมาอย่างนั้นหรือ”
เฉียวเวยเหมือนจะเข้าใจแล้ว “ที่พูดมาก็มีเหตุผลอยู่นะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยัน “ดังนั้นหลังจากอวิ๋นชิงตาย อวิ๋นซู่ที่ค้นพบน้องชายคนนี้ก่อนจึงจับน้องชายไปฝึกเป็นนักรบมรณะ แต่คิดไม่ถึงว่าน้องชายของเขาจะมีพรสวรรค์ขนาดนั้น ฝึกจนกลายเป็นราชันอสูร เขากลัวว่าสักวันหนึ่งน้องชายจะรู้ความจริงแล้วกลับมาทวงแค้นกับตนเอง ดังนั้นจึงควักเม็ดยาพิษของน้องชายออกมา”
เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ “หลังจากควักเม็ดยาพิษไปแล้ว เขาก็สมควรจะรู้ว่าน้องชายยังไม่ตายสิ เหตุใดจึงไม่ฆ่าเขาเสียเลยเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาใส่เฉียวเวย “เจ้าโง่หรือไร น้องชายคนนี้ร้ายกาจขนาดนี้ ปล่อยให้เขาสร้างเม็ดยาพิษเม็ดที่สองออกมาแล้วค่อยควักออกมาอีกรอบไม่ดีกว่าหรือไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฟังแล้วรู้สึกขนลุกซู่อยู่ในใจ
เฉียวเวยขมวดคิ้วไม่ตอบอะไร