หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 80-2 ความจริงของเด็กน้อย
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 80-2 ความจริงของเด็กน้อย
ตอนที่ 80-2 ความจริงของเด็กน้อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหล่มองเฉียวเวย “อะไรกัน เจ้าไม่เชื่อหรือ”
“ข้า…” เฉียวเวยก็ไม่รู้ว่าสมควรจะอธิบายอย่างไร นางรู้สึกว่าเจ้าทึ่มพูดได้มีเหตุผลอย่างยิ่ง นิสัยอย่างอวิ๋นซู่คงจะทำเรื่องทารุณโหดร้ายเช่นนั้นออกมาได้อย่างแน่นอน “แต่ว่า…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ “แต่อะไรเล่า ราชันอสูรเก็บตัวฝึกฝนวิชาเสร็จก็หายตัวไป เขาต้องนึกชาติกำเนิดของตนเองออกแล้วจึงวิ่งไปหาผู้พิทักษ์เหลียนแน่ๆ!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหน้าถอดสี “ถ้าเช่นนั้นยังจะนิ่งอยู่ทำอะไรเล่า รีบไปตามเขากลับมาสิ! จะปล่อยให้เขาไปยอมรับนับถือนางปีศาจเฒ่าคนนั้นเป็นมารดาไม่ได้เด็ดขาด!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่พูดพร่ำพุ่งตัวออกไปจากห้องทันที
ขาที่บาดเจ็บของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังไม่หายดี ทว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เขาไม่มีเวลาสนใจอะไรมากมายถึงเพียงนั้น เขาเข็นรถเข็นขลุกๆ ตามหลังไปด้วย
ทั้งสองคนขึ้นไปนั่งบนรถม้า เพราะวิ่งมาเร็วเกินไป ทั้งสองคนจึงมีเหงื่อออกท่วมตัว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกพัดขึ้นมาพัด “ร้อนนักเชียวๆ!”
ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักก็กระพือคอเสื้อ “ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”
ทันใดนั้นลมเย็นหอบหนึ่งก็พัดผ่านหูของทั้งสองคน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยครางออกมาเพราะความรู้สึกสบายตัว เขาหลับตาลงแล้วขยับไปด้านข้าง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ขยับเข้าไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพราะรู้สึกสบายตัวเช่นกัน
เอ๊ะ อะไรแข็งๆ เย็นเฉียบเหมือนเกราะเหล็ก
ตอนนั้นเองเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งก็ดังเลือนรางที่ริมหูของทั้งสองคน “โฮกกก”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “!”
ทั้งสองคนลืมตาโพลง ขนลุกซู่กลิ้งเสียงดังขลุกๆ ลงจากรถม้าพร้อมกัน
…
ประตูไม้ของเรือนอันเงียบสงัดเปิดออกดัง แกรก!
คนที่มาเปิดประตูคือฮูหยินวัยกลางคนผู้หนึ่ง นางหน้าตางดงามเกลี้ยงเกลา รูปร่างผอมบาง สวมเสื้อตัวยาวสีน้ำตาลดูเรียบง่ายตัวหนึ่ง จับคู่กับกระโปรงคาดเอวกับสายคาเอวสีขาว เนื้อผ้าไม่นับว่าเป็นของราคาแพง แต่กิริยาท่าทางอันอ่อนโยนของนางดูคล้ายคุณหนูตระกูลผู้ดี
นางมองกงซุนฉางหลีกับจีหมิงซิวที่อยู่นอกประตูแล้วถามอย่างฉงน “ทั้งสองท่านคือผู้ใดหรือ…”
จีหมิงซิวคำนับให้นางอย่างมีมารยาท นางค้อมกายคำนับจีหมิงซิวกลับ
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “ขอถาม…ที่นี่คือบ้านของคุณชายอวิ๋นใช่หรือไม่”
ฮูหยินไม่ตอบคำถามของเขา แต่มองสำรวจจีหมิงซิวขึ้นๆ ลงๆ แล้วถามว่า “ท่านคือผู้ใด…”
จีหมิงซิตอบด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา “ข้าแซ่จี เป็นขุนนางจากต้าเหลียง”
กงซุนฉางหลีมีฐานะพิเศษ เขาจึงไม่เอ่ยแนะนำอีกฝ่าย
“ขุนนาง…จากต้าเหลียง” แววตาสงสัยในดวงตาของสตรีนางนี้ยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิม
จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “แม้เป็นขุนนางต้าเหลียง แต่เป็นหลานชายของน้องสาวของอวิ๋นชิง”
สีหน้าของฮูหยินนางนี้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทันใด ครู่หนึ่งหลังจากนั้นจีหมิงซิวกับกงซุนฉางหลีก็ได้เข้ามานั่งในห้องโถงดื่มชาภายในเรือน
ด้านในเรือนเก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย ไม่มีเครื่องเรือนฟุ่มเฟือยอันใด บนพื้นที่ปัดกวาดจนไม่มีฝุ่นสักเม็ดมีโต๊ะน้ำชาตัวน้อยตั้งอยู่หนึ่งตัวกับเบาะกลมอีกสามอัน บนกำแพงห้องแขวนภาพตัวอักษรไว้หลายแผ่น ด้านล่างของภาพตัวอักษรฝั่งตะวันออกมีตู้ฝาปิดหนึ่งตัว เหนือตู้วางแจกันดอกไม้ที่ประดับดอกไม้สดดอกหนึ่ง
ภายในห้องไม่ได้จุดไฟใส่ท่อมังกรดิน อากาศจึงเย็นฉ่ำ
“คุณชายทั้งสองหนาวหรือไม่เจ้าคะ” ฮูหยินจับกรอบหน้าต่างพลางถามขึ้นมาเบาๆ
จีหมิงซิวเหลือบมองกงซุนฉางหลี กงซุนฉางหลีตอบว่า “ไม่หนาว”
ฮูหยินจึงเปิดหน้าต่าง สายลมหนาวพัดเข้ามาเบาๆ พากลิ่นหอมรวยรินของดอกเหมยเข้ามาด้วย ทั่วทั้งห้องพลันเกิดบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงาม
ฮูหยินยกอุปกรณ์ชงชาเดินมา นางไม่ใช้ใบชาอัดก้อนแบบของเยี่ยหลัว แต่เป็นใบชาหลงจิ่งของจงหยวน จากนั้นฮูหยินก็ลงมือชงชา แต่เดิมจีหมิงซิวก็เป็นผู้ชำนาญในเรื่องชาอยู่แล้ว ในวงการชาคนที่ชงชาเข้าตาเขาได้มีอยู่ไม่มาก แต่ต้องนับฮูหยินตรงหน้าไปคนหนึ่ง
ฮูหยินส่งชาที่ชงเสร็จแล้วให้จีหมิงซิวกับกงซุนฉางหลีตามลำดับ ทั้งสองคนยื่นสองมือออกมารับ
พวกเขานั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนฮูหยินนั่งคุกเข่าอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ นางชงชาเสร็จก็ยกขนมฝีมือประณีตหลายจานออกมาจากกล่องอาหารต่อ “ไม่ทราบว่าจะมีแขกมาเยือน ตอนเช้าจึงทำแต่อาหารง่ายๆ เอาไว้เท่านั้น ขอคุณชายอย่าได้รังเกียจ”
“ไม่ทราบควรเรียกขานฮูหยินเช่นไรดี” จีหมิงซิวเอ่ยถาม
ฮูหยินตอบว่า “ข้าแซ่หลี่ สามีแซ่อวิ๋น”
จีหมิงซิวเรียกขานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อวิ๋นฮูหยิน”
อวิ๋นฮูหยินค้อมกายให้เขา
“ความจริงแล้ววันนี้ข้ามาเยือนเพราะต้องการถามเรื่องเกี่ยวกับคุณชายอวิ๋นจากฮูหยินสักเล็กน้อย” จีหมิงซิวบอกพลางหยิบภาพวาดของอวิ๋นชิงออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “ฮูหยิน…รู้จักเขาหรือไม่” โ
อวิ๋นฮูหยินมองดูภาพวาด ดวงตาฉายแววคาดไม่ถึงออกมาเล็กน้อย แต่นางกลับไม่เสียกิริยา ตอบเสียงเบาว่า “เขาก็คือพ่อสามีของข้า”
นางเหมือนดอกกล้วยไม้ในหุบเขาลึกดอกหนึ่งทำให้จีหมิงซิวสงบตามไปด้วย เขาถามเสียงอ่อนโยนอย่างช้าๆ “อวิ๋นฮูหยินทราบหรือไม่ว่าพ่อสามีของตนเองคือผู้ใด”
อวิ๋นฮูหยินลังเลเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
จีหมิงซิวมองนาง “หากกล่าวเช่นนี้ ท่านก็คงรู้ว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็รู้ว่าสามีของท่านเป็นบุตรชายของเจ้าลัทธิ”
“อืม” ฮูหยินพยักหน้าอีกหน เมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงเงยสายตานิ่งสงบดุจผืนน้ำคู่นั้นขึ้นมามองจีหมิงซิวกับกงซุนฉางหลีแล้วเอ่ยว่า “วันนี้พวกท่านมาเยือน ต้องการ…”
นางยังไม่ทันเอ่ยคำพูดท่อนท้ายออกมา จีหมิงซิวก็จับเสียงที่เพี้ยนจากปกติของนางได้แล้ว เขารีบบอกว่า “ฮูหยินอย่าเข้าใจผิด ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ส่งพวกเรามา ข้ากับท่านยายของข้าสงสัยเรื่องบางอย่างในอดีต ดังนั้นจึงมาเยี่ยมเยือนอวิ๋นฮูหยินเพื่อถามข้อมูลสักหน่อยเท่านั้น ขอถาม…คุณชายอวิ๋นอยู่หรือไม่”
อวิ๋นฮูหยินหลุบตาลง “พวกท่านมาสายไปแล้ว”
ทั้งสองคนมองนางอย่างไม่เข้าใจ
อวิ๋นฮูหยินจึงบอกว่า “สามีข้าจากโลกนี้ไปแล้ว”
จีหมิงซิวมองสำรวจนางตาไม่กะพริบ “จากโลกไปเมื่อใดหรือ”
เสียงของอวิ๋นฮูหยินเริ่มมีเสียงสะอื้นแทรกมาเบาๆ “หลายปีแล้ว”
จีหมิงซิวชะงัก “ข้าขอล่วงเกินถามสักคำได้หรือไม่ว่าเขาจากโลกไปเพราะเหตุใด”
อวิ๋นฮูหยินข่มกลั้นอารมณ์ “เขาป่วยตาย”
อุตส่าห์ลำบากลำบนวุ่นวายตามหาเกือบครึ่งเมืองเยี่ยเหลียง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถูกฝังลงดินไปแล้ว
กงซุนฉางหลีจิบชาคำหนึ่งอย่างเงียบๆ แล้วถามขึ้นมาว่า “พวกท่านมีลูกหรือไม่”
อวิ๋นฮูหยินยิ้มอย่างขมขื่น “แต่ก่อนเคยมี…ต่อมาก็ไม่มีแล้ว”
เหตุใดจึงไม่มีแล้ว นางไม่อยากพูด ทั้งสองคนก็ไม่ถามแทงใจต่อ
จีหมิงซิวหยิบแม่กุญแจอายุยืนชิ้นนั้นออกมาจากอกเสื้อ “ขอถามท่าน นี่คือของของคุณชายอวิ๋นใช่หรือไม่”
อวิ๋นฮูหยินหยิบแม่กุญแจอายุยืนไปถือไว้ในมือ ขอบตาแดงระเรื่อ “แม่กุญแจอายุยืนของสามีข้าเหตุใดจึงไปอยู่ในมือพวกท่านได้”
จีหมิงซิวบอกว่า “ข้าพบมันจากสิ่งของที่เจ้าลัทธิอวิ๋นชิงทิ้งเอาไว้ ข้าสงสัยบางสิ่ง ในเมื่อแม่กุญแจอายุยืนชิ้นนี้เป็นของของคุณชายอวิ๋น เหตุไฉนจึงไปอยู่ในมือเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงได้”
อวิ๋นฮูหยินขอบตาแดงระเรื่อ “ก่อนพ่อสามีข้าจะจากไปไม่นาน สามีของข้าเขา…เคยไปเยี่ยมพ่อสามีที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์หนหนึ่ง หนนั้นเองที่เขาทิ้งแม่กุญแจอายุยืนไว้ที่นั่น แล้วก็เป็นหนนั้นที่เขา…” อวิ๋นฮูหยินเล่าต่อไม่ไหว
“เขาเป็นอะไรไปหรือ” จีหมิงซิวถาม
อวิ๋นฮูหยินร่ำไห้พูดไม่ออก กงซุนฉางหลีจึงส่งผ้าเช็ดหน้าสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งให้นาง
นางรับไปทั้งน้ำตา “ขอบคุณคุณชาย”
กงซุนฉางหลีส่ายหน้าให้จีหมิงซิว
จีหมิงซิวปล่อยวางความสงสัยนี้ลงชั่วคราวแล้วถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “ขอกล่าวตามตรงไม่ปิดบัง พวกเราตามหาที่นี่พบเพราะแม่กุญแจอายุยืนชิ้นนี้ คุณชายอวิ๋นเคยนำมันไปซ่อมที่ร้านแล้วทิ้งที่อยู่เอาไว้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเราที่กำลังตามหาสามีของท่านอยู่ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังตามหาอยู่ด้วยเช่นกัน”
อวิ๋นฮูหยินชะงัก “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะตามหาสามีของข้าไปทำไม”
จีหมิงซิวถามขึ้นมาว่า “ท่านกับสามีของท่านทราบหรือไม่ว่ามารดาของเขาคือผู้ใด”
อวิ๋นฮูหยินส่ายหน้า “พ่อสามีไม่เคยพูด แต่สามีเคยบอกว่ามารดาของเขาก็น่าจะเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
จีหมิงซิวพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว นางเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ตอนนี้เรื่องที่นางลักลอบมีความสัมพันธ์กับเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ขาดเพียงหลักฐานที่แน่ชัดเท่านั้น หากสามีของท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่เป็นอะไร บางทีเขาอาจปกป้องท่านได้ แต่เขาดันจากไปแล้ว ท่านกลายเป็นพยานเพียงคนเดียว คนกลุ่มนั้นไม่มีทางเมตตาท่านเป็นแน่ ทางที่ดีที่สุดท่านเก็บข้าวของไปกับพวกเราเถิด”
อวิ๋นฮูหยินพลันมองจีหมิงซิวด้วยสายตาหวาดระแวง “เหตุใดข้าต้องเชื่อพวกท่าน”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ “ท่านจะไม่เชื่อก็ได้ แต่หากเป็นเช่นนั้น สามีของท่านก็จะไม่อาจหวนคืนตระกูลกลับสุสานบรรพบุรุษได้ชั่วนิรันดร์ ความจริงแล้ว…สามีของท่านก็อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างสง่าผ่าเผยกระมัง”
ร่างกายของอวิ๋นฮูหยินสั่นเทา นางเปิดปาก “พวกท่านให้เวลาข้าขบคิดสักครู่”
จีหมิงซิวบอกว่า “มีเวลาไม่มากแล้ว ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ตามมาจนถึงเมืองเยี่ยเหลียงแล้ว ท่านตามพวกเราไปก่อน สิ่งอื่นค่อยขบคิดระหว่างทาง ข้าจะไม่บังคับให้ท่านทำสิ่งใดที่ท่านไม่อยากทำ หากท่านอยากจากไป ข้าพร้อมปล่อยท่านไปทุกเวลา ถึงขนาดที่ว่าหากท่านอยากไปจากเยี่ยหลัว ไปใช้ชีวิตที่อื่น ข้าก็พร้อมทำให้ท่านสมปรารถนา”
อวิ๋นฮูหยินริมฝีปากสั่นระริก “ท่านพูดจริงหรือไม่”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้าขอใช้ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าเหลียงรับปากท่าน ว่าจะไม่มีวันทำร้ายท่าน ไม่มีวันบีบบังคับท่านอย่างเด็ดขาด”
อวิ๋นฮูหยินสะอื้น “พ่อสามีของข้าเขา…เขาจะมาเยี่ยมสามีของข้าเดือนละหน ก่อนที่ข้าจะแต่งเข้ามาก็เป็นเช่นนี้ พ่อสามีจะสอนสามีคัดอักษร วาดภาพ แต่งบทกวี…ในห้องหนังสือมีตัวอักษรกับภาพวาดที่พ่อสามีวาดไว้ไม่น้อย แล้วก็ยังมีงานแกะสลักที่สามีของข้าทำเองกับมือด้วย…”
ฝ่ามือใหญ่ของจีหมิงซิวกุมมือนาง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ของพวกนี้ล้วนขนไปด้วย ต้องการให้ช่วยหรือไม่”
ฮูหยินส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ไม่ต้อง ข้าเก็บเองได้ พวกท่านรอข้าอยู่ที่นี่เถิด”
จีหมิงซิวกับกงซุนฉางหลีรอนางอยู่ที่ห้องโถงดื่มชาตามที่นางว่า
อวิ๋นฮูหยินไปที่ห้องหนังสือเก็บของทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอวิ๋นชิงมาด้วย นางเก็บสัมภาระเรียบร้อยจำนวนหนึ่งแล้วก็กลับไปที่ห้องนอนของตนเอง คิดจะเก็บของที่ระลึกที่สามีเคยมอบให้ตนเองไปด้วย
คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะก้าวเข้าไปในห้องก็เห็นบุรุษดวงหน้างดงามเกลี้ยงเกลากิริยาท่าทางนุ่มนวลคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น กำลังมองนางด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม