หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 81-2 ความจริงกระจ่าง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 81-2 ความจริงกระจ่าง
ตอนที่ 81-2 ความจริงกระจ่าง
หัวหน้าพรรคเฉียวอุ้มคนเข้าไปในห้องอย่างง่ายดาย นางจับชีพจรตรวจร่างกายให้อีกฝ่าย เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร เพียงตกใจมากเกินไปจนหมดสติเท่านั้น นางก็หันกลับมามองจีหมิงซิวด้วยท่าทางเย็นชา “นางเป็นผู้ใด”
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีตอบว่า “ลูกสะใภ้ของผู้พิทักษ์เหลียน”
“ลูกสะใภ้ของผู้พิทักษ์เหลียนหรือ” เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นางสบสายตากับฟู่เสวี่ยเยียนที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอวิ๋นจู “ภรรยาของราชันอสูรหรือ”
ราชันอสูรที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเบิกตาโตจนเท่าตาวัว
ใต้เท้าเจ้าสำนักกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กำลังเดินตามเข้ามาในห้องด้วย
อวิ๋นจูเพิ่งกลับมาจากเทือกเขาหมั่งฮวง นางยังไม่ทันทำความเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงหันไปมองเฉียวเวยอย่างไม่เข้าใจ “ภรรยาของราชันอสูร…หมายความว่าอย่างไร ราชันอสูรเคยแต่งงานมาแล้วหรือ”
ราชันอสูร “!”
เฉียวเวยมองใต้เท้าเจ้าสำนักกับเยี่ยนเฟยจวี๋ย “หมิงเยี่ยกับลุงเยี่ยนบอกว่าอย่างนั้น บอกว่าท่านราชันอสูรก็คือลูกชายของผู้พิทักษ์เหลียน ตอนนี้หมิงซิวบอกว่านางคือลูกสะใภ้ของผู้พิทักษ์เหลียน ถ้าเช่นนั้นนางก็ต้องเป็นภรรยาของท่านราชันอสูรไม่ใช่หรือ”
อวิ๋นจูหันไปมองทั้งสองคน ใต้เท้าเจ้าสำนักแสร้งเสตามองฟ้า ส่วนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กระแอมไม่หยุด ไม่ทันไรราชันอสูรก็หิ้วทั้งสองคนออกไปจากห้อง หลังจากนั้นท้ายเรือนมีเสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดดังลอยมา เฉียวเวยได้ยินก็เบ้ปากอย่างห้ามตนเองไม่ทัน
หนึ่งเค่อหลังจากนั้นใต้เท้าเจ้าสำนักกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็จมูกเขียวหน้าบวมนั่งอยู่ท่ามกลางลมหนาว ร่ำไห้ไปพลาง ตัวสั่นระริกไปด้วย
…
“แต่จะว่าไปแล้ว หากราชันอสูรกับผู้พิทักษ์เหลียนไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเขาต้องขโมยภาพของผู้พิทักษ์เหลียนมาด้วยเล่า” หลังจากบุรุษทั้งหลายออกจากห้องไปแล้ว เฉียวเวยก็เอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา
ฟู่เสวี่ยเยียนมองอวิ๋นจู แล้วหันไปมองเฉียวเวย จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ
เฉียวเวยลูบคาง ทำท่าครุ่นคิด “หรือว่าบนภาพวาดภาพนี้จะมีคนอื่นที่เขารู้จัก”
ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปมองด้านนอกแล้วชี้ศีรษะของตน ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “สมองของเขาพังไปแล้ว จนแม้แต่เหยาจวิ้นก็จำไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
“ไหนดูภาพซิ” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบม้วนภาพวาดออกมากางบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย แล้วเบิ่งตาโตเพ่งพิจนิจวิเคราะห์ภาพผืนนี้ด้วยกันกับเฉียวเวย ทว่าภาพวาดชิ้นนี้กลับไม่มีสิ่งใดพิเศษ ฝีมือการวาดภาพไม่เลวก็จริง แต่ฝีมือระดับนี้ ฟู่เสวี่ยเยียนเองก็วาดได้ง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจีหมิงซิว
เฉียวเวยพึมพำอย่างไม่พอใจ “เหตุใดราชันอสูรต้องขโมยภาพวาดภาพนี้มากันแน่ ขโมยเล่นตามใจอย่างนั้นหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนเปรยขึ้นมาว่า “ศิษย์หญิงพวกนี้ก็หน้าตาไม่เลวนะ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ศิษย์ชายก็ใช่ย่อย”
“…” ฟู่เสวี่ยเยียนเหล่มองเฉียวเวย
เฉียวเวยกะพริบตาปริบ “อะไร เขาอาจจะชอบบุรุษก็ได้นี่ ไม่เคยเห็นเขาสนใจสตรีนางไหนเลยไม่ใช่หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนสำลัก
“คนนี้ก็หน้าตาไม่เลว คนนี้ก็เข้าที…คนนี้…คนนี้…คนนี้…” เฉียวเวยยื่นนิ้วไล่ชี้ไปทีละคน
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่หากพูดถึงรูปโฉม บนภาพวาดมีบุรุษหลายคนที่หน้าตางดงามมากกว่าพวกศิษย์หญิงจริงๆ แล้วสายตาของเฉียวเวยก็หยุดบนแผ่นหลังสง่างามดุจต้นหยกเล่นลมร่างหนึ่ง แม้จะมีเพียงแผ่นหลัง แต่บรรยากาศรอบตัวประหนึ่งวาโยโชยพัดใต้แสงจันทร์กระจ่างนั่นทำให้คนที่ได้ยลเหมือนวิญญาณได้รับการชำระล้าง
เฉียวเวยอุทานอย่างคิดไม่ถึง “บุรุษผู้นี้คือผู้ใดกัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนขยับเข้ามา “รูปร่างสูงอยู่พอสมควร” โ
“รูปร่างสูง…” นัยน์ตาของเฉียวเวยวูบไหว ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในสมอง “คงไม่ใช่ราชันอสูรหรอกกระมัง”
หากบนภาพวาดภาพนี้มีตัวราชันอสูรอยู่ ถ้าเช่นนั้นเขาจะถือว่าภาพวาดเป็นของตนเองก็ฟังดูมีเหตุผลแล้ว
“ข้าดูหน่อย” ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบภาพวาดขึ้นมาเพ่งพิจดู “อืม…รูปร่างก็ดูคล้ายอยู่นะ”
เฉียวเวยถอนหายใจออกมาจากใจจริง “คิดไม่ถึงว่าสมัยราชันอสูรยังหนุ่มจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ขนาดแผ่นหลังยังทำให้คนมองไม่อาจละสายตา เฮ้อ คนเช่นนี้เคยทำให้แม่นางมากมายเพียงใดคิดถึงจนลืมไม่ลงกันนะ”
ราชันอสูรเดินเข้ามาในห้อง ตอนนั้นเองเฉียวเวยก็มองเห็นอะไรบางอย่าง นางชี้บนภาพวาดแล้วพูดขึ้นมาว่า “เอ๊ะ เจ้าคนตัวดำเหมือนถ่านด้านข้างเขานี่มันใครกัน”
ราชันอสูรทำหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
ฮือฮือ
เจ้าก้อนดำเหมือนถ่านก้อนนั้นคือเขาเอง…
…
อวิ๋นฮูหยินตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องเพลงประหลาด นางลืมตาขึ้นมาก็พบแม่นางน้อยงามดุจหยกสลักคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเตียง แม่นางน้อยเบิกดวงตากลมโตฉ่ำวาวมองนางตาไม่กะพริบ ปากน้อยๆ ของนางยู่นิดๆ เหมือนกำลังฮัมเพลงอะไรอยู่
ชั่วพริบตาที่นางลืมตาตื่น เสียงฮัมเพลงของแม่นางน้อยก็หยุดลง นางกะพริบดวงตากลมโตแวววาวคู่นั้น แล้วถามนางเสียงใส “ท่านตื่นแล้วหรือ”
แสงอบอุ่นสาดส่องจากหน้าต่างตกต้องบนร่างของแม่นางน้อยชวนให้นางดูเหมือนเทพธิดาน้อยผู้มีรัศมีศักดิ์สิทธิ์ หัวใจของอวิ๋นฮูหยินอุ่นวาบ มุมปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างห้ามตนเองไม่ได้ “เจ้าคือผู้ใดหรือ”
แม่นางน้อยไม่กลัวคนแปลกหน้าสักนิด นางตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้ามีนามว่าวั่งซู”
อวิ๋นฮูหยินพึมพำ “’จันทราเทพเยื้องย่างนำ มฤคินทร์ปักษีกรีดกรายตาม[1]’ เป็นนามที่ดีจริงๆ”
วั่งซูฟังเข้าใจแต่ประโยคสุดท้าย “ใช่แล้วๆ ข้าก็คิดว่าเป็นนามที่ดีเช่นกัน!”
อวิ๋นฮูหยินถูกแม่นางน้อยคนนี้ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจจนต้องแย้มรอยยิ้ม นางยกมือขึ้นลูบดวงหน้าน้อยขาวนุ่มนิ่มของนาง บนใบหน้าปรากฏรอยหวนคะนึงอันเศร้าสร้อย “เดิมทีข้าก็อยากตั้งนามนี้ให้ลูกสาวข้าเช่นกัน”
วั่งซูถามว่า “แล้วท่านได้ตั้งหรือไม่”
อวิ๋นฮูหยินสะอื้นพลางส่ายหน้า
“ท่านตั้งนามว่าอะไรหรือ” วั่งซูถามอย่างไร้เดียงสา
อวิ๋นฮูหยินส่ายหน้าอีกครั้ง
“วั่งซู” เฉียวเวยยกยาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ เดินเข้ามา
วั่งซูหันหน้าไปหาแล้วโถมเข้าใส่มารดาของตนเองอย่างดีอกดีใจ “ท่านแม่!”
เฉียวเวยหิ้วนางขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว ป้องกันไม่ให้ยัยหนูคนนี้ทำยาร้อนๆ หกคว่ำจนตัวเองบาดเจ็บ “เจ้าไปหาพี่ชายเจ้าก่อน” วั่งซูเดินออกไปอย่างเชื่อฟัง
“อวิ๋นฮูหยิน” เฉียวเวยยกถ้วยชาเดินเข้ามาหา
“นางมีพี่ชายอีกคนหรือ” อวิ๋นฮูหยินพึมพำถาม
เฉียวเวยงุนงงไปครู่หนึ่งก็ยิ้มตอบว่า “ใช่แล้ว พี่ชายฝาแฝด”
อวิ๋นฮูหยินเหม่อลอยครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝาแฝดชายหญิง ดีจริงๆ”
เฉียวเวยรู้ว่านางสูญเสียลูกไปคนหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าแท้งหรือว่า…
“ตอนนั้นหกเดือนแล้ว” จู่ๆ อวิ่นฮูหยินก็โพล่งขึ้นมา เฉียวเวยหันไปมองนางอย่างประหลาดใจ
นางยิ้มขมขื่น “หากได้เกิดมา คงจะเป็นแม่นางน้อยหน้าตางดงามเฉกเช่นบุตรสาวของเจ้า”
เฉียวเวยไม่รู้ว่าจะปลอบนางอย่างไรดี นางเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เหตุใดจึงแท้งเสียเล่า”
อวิ๋นฮูหยินตอบอย่างขมขื่น “เกิดเรื่องกับสามีข้า ข้าเสียใจมากเกินไปจึงกระทบกระเทือนครรภ์…”
เฉียวเวยปวดใจแทน นางประคองอีกฝ่ายลุกขึ้นนั่ง “อย่านึกถึงเรื่องเศร้าเหล่านั้นอีกเลย ดื่มยาก่อนเถิด”
อวิ๋นฮูหยินรับถ้วยยามา นางมองสำรวจเฉียวเวยแล้วเดาว่า “ท่านคงเป็น…จีฮูหยินสินะ”
เฉียวเวยพยักหน้า
อวิ๋นฮูหยินดื่มยาอย่างให้ความร่วมมือ
เฉียวเวยรับถ้วยยาที่ถูกดื่มจนหมดเกลี้ยงมาแล้วครางอืมในคออย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นนางก็เอ่ยต่อว่า “ห้องครัวเตรียมอาหารเช้าเอาไว้แล้ว หากรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างก็ลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยเถิด”
อวิ๋นฮูหยินมองเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ คล้ายกำลังรอให้นางถามอะไรตนเอง แต่เฉียวเวยไม่ถามสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงจับชีพจรให้นางอีกครั้งแล้วทิ้งยาลูกกลอนไว้สิบเม็ด กำชับว่าหลังอาหารครึ่งชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้นางกินเสีย จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ปลายนิ้วที่กำแขนเสื้ออยู่ของอวิ๋นฮูหยินกำแน่น ชั่วพริบตาที่เฉียวเวยกำลังจะก้าวออกจากประตู นางก็เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม “สามีของข้า…อยากจะกลับไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างสง่าผ่าเผยมาตลอด ตอนเขายังมีชีวิต ไม่อาจทำความปรารถนานี้ให้เป็นจริง…ความจริงหากเขาเอ่ยปากสักนิด โวยวายสักหน่อยก็อาจกลับไปได้…แต่เขาไม่เคยคิดจะบีบบังคับบิดาของตนเองเช่นนั้น…”
เฉียวเวยมองลึกเข้าไปในดวงตาของนางแล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นฮูหยิน ไม่ว่าในอดีตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น สามีของท่านก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ขอเพียงฐานะของเขาเปิดเผยแก่ใต้หล้า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ย่อมยอมรับเขา”
อวิ๋นฮูหยินนึกถึงอันตรายที่เผชิญเมื่อวาน นางสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเขาปอดอย่างขวัญผวา “พวกท่าน…พวกท่านสู้กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไหวหรือ”
เฉียวเวยตอบว่า “พวกเราสู้ไหวหรือไม่เกี่ยวอันใดด้วยเล่า ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าสามีของท่านเป็นเลือดเนื้อของเจ้าลัทธิอวิ๋นชิง ศพของเขา ป้ายวิญญาณของเขาล้วนจะได้หวนคืนลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
…
[1] วั่งซู มาจากบทกวี “หลีเซา” ประพันธ์โดยชวีหยวนกวีชื่อดังชาวแคว้นฉู่ในสมัยจั้นกั๋ว แปลว่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์