หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 81-3 ความจริงกระจ่าง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 81-3 ความจริงกระจ่าง
ตอนที่ 81-3 ความจริงกระจ่าง
หลังจากพักรักษาตัวหนึ่งวัน สภาพจิตใจของอวิ๋นฮูหยินก็มั่นคง นางเก็บข้าวของเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับจีหมิงซิวและอวิ๋นจู
นางไม่สนใจความแค้นระหว่างอวิ๋นชิงกับอวิ๋นจู แล้วก็ไม่สนใจว่าผู้ใดคือเจ้าลัทธิตัวจริงของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ นางเพียงต้องการให้สามีของนางได้กลับบ้าน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ลัทธิศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าจีหมิงซิวกับอวิ๋นจูจะกลับมาอีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลับมารวดเร็วเพียงนี้ เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงสองวัน มีหลักฐานใหม่แล้วเช่นนั้นหรือ
เมื่อเทียบกับหนแรกที่มีเพียงผู้พิทักษ์กับหัวหน้าผู้ดูแลมาชุมนุมเพียงประปราย ตำหนักใหญ่ในวันนี้ถูกศิษย์ทั้งหลายของลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่มายืนออจนเต็มแน่น ผู้พิทักษ์ หัวหน้าผู้ดูแล ผู้ดูแลและศิษย์เอกที่มีคุณสมบัติพอทุกคนต่างเบียดกันเข้ามาด้านใน แม้แต่ประมุขเฒ่าสองคนที่ ‘ปลดเกษียณกลับบ้าน’ ไปหลายปีแล้วก็ยังให้บรรดาลูกหลานใช้เสลี่ยงไม้ไผ่แบกตนเองมาประชุมด้วย
ทั้งสองคนดำรงตำแหน่งประมุขตั้งแต่สมัยจักรพรรดิอสูรยังเป็นเจ้าลัทธิ ตอนที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เกิดเรื่อง ทั้งสองคนบังเอิญออกเดินทางไปฝึกวิชาข้างนอกพอดีจึงพลาดเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนั้น ต่อมาทั้งสองคนรู้สึกละอายใจจึงลาออกจากตำแหน่งประมุข ใช้ชีวิตด้วยการละทิ้งนามเดิมนับแต่นั้น
หนนี้ผู้พิทักษ์เจิงเป็นคนออกไปตามหาครอบครัวของทั้งสองคนเพื่อซักถามเหตุการณ์ในอดีตกับพวกเขา ทั้งสองคนตกตะลึงที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตขนาดนี้
ทั้งสองคนไม่ใช่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว พวกเขาย่อมไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่สาเหตุที่มาเยือนวันนี้เป็นเพราะว่าต้องการทราบความจริงในอดีตให้ชัดเจนเท่านั้น ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่มีการลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
คนรุ่นเก่าๆ จำนวนหนึ่งรู้จักประมุขสองคนนี้ พวกเขาต่างต้องการสละที่นั่งของตนเองให้ ทว่าทั้งสองคนปฏิเสธอย่างอ้อมๆ พยายามสื่อว่าตนเองเดินทางมาสังเกตการณ์ในฐานะประชาชนเมืองอวิ๋นจงเท่านั้น สุดท้ายทั้งสองคนจึงได้นั่งถัดจากผู้พิทักษ์ทั้งหลาย
คนที่ออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วแต่หวนกลับมาชมเรื่องสนุกไม่ได้มีเพียงสองคนนี้ เพียงแต่ว่าศิษย์คนอื่นฐานะไม่ถึงระดับนี้จึงได้แต่ยืนอยู่ในลานตำหนัก ลานกว้างอันกว้างขวางถูกเบียดเสียดจนน้ำมิอาจลอดผ่านในเวลาเพียงชั่วพริบตา
ยิ่นอ๋องเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าน่าเกรงขาม หลายวันนี้ผู้พิทักษ์เหลียนยุ่งอยู่กับการรักษาอาการบาดเจ็บ เย่ว์หวาก็ยุ่งอยู่กับการสืบเรื่องราว งานจิปาถะในลัทธิจึงตกมาใส่หัวเขาทั้งหมด นี่ทำให้เขาได้หน้าอยู่ไม่น้อย
หลังจากเขามาถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนก็ก้มหัวคำนับ จากนั้นจึงเชิญจีหมิงซิว อวิ๋นจูกับผู้พิทักษ์เหลียนเข้ามา สภาพของผู้พิทักษ์เหลียนย่ำแย่ยิ่งกว่าครั้งก่อน แต่นางเป็นสตรีผู้แข็งแกร่งและทรหดคนหนึ่ง แม้ตนเองจะทรมานมากเท่าใดก็ไม่มีวันเผยสภาพผิดปกติออกมาให้เห็นชัดต่อหน้าผู้คน
นางถือไม้เท้าเดินเข้ามาในโถงตำหนักด้วยสีหน้าหยิ่งยโส นำขบวนศิษย์มาอย่างยิ่งใหญ่ มีศิษย์หญิงเกือบร้อยนางของเกาะอิ๋นหูเดินตามด้านหลังนางมา ย้อนกลับมาดูฝั่งอวิ๋นจู ข้างกายนางมีเพียงจีหมิงซิวคนเดียวเท่านั้น
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้นางกลับยังคงเดียวดายยิ่งกว่าอวิ๋นจูเช่นเดิม
ท่าทางที่จีหมิงซิวปกป้องอวิ๋นจูเหมือนกำลังปกป้องเด็กน้อยคนหนึ่งทำให้สายตาของผู้พิทักษ์เหลียนหม่นแสง
อวิ๋นจูหันหน้ามามองนางแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “เจ้ามาแล้ว”
ผู้พิทักษ์เหลียนถือไม้เท้าเดินออกมาสองสามก้าว นางคำนับยิ่นอ๋องจากนั้นจึงก้มหัวคำนับประมุขเฒ่าทั้งสองคน หลังจากนั้นจึงหันไปมองอวิ๋นจู เอ่ยอย่างไม่ยำเกรงว่า “พวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก ใส่ร้ายข้าหนหนึ่งยังไม่พอ ยังจะมาใส่ร้ายข้าหนที่สองอีกอย่างนั้นหรือ”
“ใส่ร้าย เจ้ายังมีมโนธรรมเหลืออยู่หรือไม่” อวิ๋นจูไม่ถูกนางจูงจมูก นางเปิดปากตรงเข้าประเด็น “ข้าตามหาหลักฐานที่เจ้าลักลอบคบหากับอวิ๋นชิงพบแล้ว วันนี้ข้ามาเพื่อทำให้เจ้าสารภาพ ยอมรับความผิดที่เจ้าทำต่อข้าและบิดาของข้าด้วยปากของตนเอง”
ผู้พิทักษ์เหลียนมองอวิ๋นจูด้วยแววตาซับซ้อน
อวิ๋นจูรับกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งมาจากมือของจีหมิงซิวแล้วเปิดออก นางหยิบแม่กุญแจอายุยืนสีเงินอันประณีตชิ้นหนึ่งขึ้นมา “สิ่งนี้ ค้นเจอจากตัวเย่ว์หวา เป็นของอวิ๋นซู่สินะ”
ผู้พิทักษ์เหลียนส่งสายตาให้ศิษย์หญิงด้านข้าง
ศิษย์หญิงก้าวออกไปรับแม่กุญแจอายุยืนมาจากมืออวิ๋นจูแล้วส่งให้ผู้พิทักษ์เหลียน
ผู้พิทักษ์เหลียนมองวันเวลาตกฟากบนนั้น แล้วตอบอย่างไม่ยี่หระ “ใช่แล้วอย่างไร พวกเจ้าทำอันใดกับประมุขเย่ว์หวา”
อวิ๋นจูเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าอย่ามาเบี่ยงประเด็น ตอนนี้สิ่งที่พวกเราคุยกันอยู่คือเรื่องระหว่างเจ้ากับอวิ๋นชิง”
นิ้วมือของผู้พิทักษ์เหลียนกำแน่น โ
อวิ๋นจูรับกล่องใบที่สองมาจากมือของจีหมิงซิวต่อ นางหยิบแม่กุญแจอายุยืนที่เหมือนกันทุกประการออกมา
นัยน์ตาของผู้พิทักษ์เหลียนหดวูบ!
อวิ๋นจูอธิบายว่า “แม่กุญแจอายุยืนชิ้นนี้ต่างหากที่เป็นของลูกชายของเจ้า ลูกชายของเจ้าเกิดช้ากว่าอวิ๋นซู่สองวัน วันเวลาตกฟากที่เขียนไว้บนนี้คือปีซินเหม่า เดือนสิบ วันที่สิบเก้า ยามอิ๋น”
จีหมิงซิวมองผู้พิทักษ์เหลียน แล้วพูดต่อว่า “หลังจากข้าไปร้านอัญมณีที่ขายแม่กุญแจอายุยืนคู่นี้ เจ้าเดาสิว่าข้าค้นพบอะไร แต่เดิมแม่กุญแจอายุยืนชุดนี้ไม่ได้สั่งทำมาเป็นคู่ ตอนแรกเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงสั่งทำชิ้นนี้ที่อยู่ในมือข้า ซึ่งเป็นของลูกชายคนเล็กเท่านั้น ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผ่านไปไม่กี่วันเขาจึงวิ่งมาสั่งทำอีกชุดหนึ่ง แต่วันเวลาตกฟากกลับต่างกันตั้งสองวัน”
“สิบเก้าหรือ ซู่เอ๋อร์เกิดวันที่สิบเจ็ดไม่ใช่หรือ” หญิงรับใช้ถามอย่างงุนงง
อวิ๋นชิงรีบรับแม่กุญแจอายุยืนมา “ใช่แล้ว ข้า…บอกว่าสิบเจ็ดแท้ๆ แต่ช่างทำกุญแจกลับฟังผิด แกะสลักเป็นเลขสิบเก้า ข้ากำลังจะไปหาเขา! ข้าจะรีบกลับมาก่อนวันฉลองครบร้อยวันของซู่เอ๋อร์ จะได้มอบกุญแจอายุยืนให้เขา!”
สมองของผู้พิทักษ์เหลียนกระหวัดนึกไปถึงบทสนทนาในอดีต ร่างกายนิ่งอึ้งในพริบตา
ยิ่นอ๋องให้คนนำแม่กุญแจอายุยืนสองชิ้นมาดูอย่างละเอียดพร้อมกับผู้พิทักษ์ทั้งหลายรวมไปถึงอดีตประมุขที่ลาออกจากตำแหน่งแล้วสองคนนั้น พวกเขาพบว่าแม่กุญแจอายุยืนทั้งสองชิ้นไม่ว่าจะเป็นฝีมือการทำ วัสดุ ลวดลายล้วนเหมือนกันทุกประการ แม้แต่แก้วนิลกาฬสีรุ้งด้านในก็ถูกเจียรไนเป็นขนาดและลักษณะเหมือนกันทุกย่าง
หากจะบอกว่าบังเอิญก็บังเอิญมากเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นแม่กุญแจอายุยืนของอวิ๋นซู่ถูกผู้พิทักษ์เหลียนนำมาเก็บรักษาไว้ในตู้ตั้งแต่ตอนเขาอายุสิบสองปีแล้ว แม้แต่กงซุนฉางหลีก็ไม่เคยเห็นของชิ้นนี้มาก่อน ต่อให้จีหมิงซิวต้องการทำเลียนบบก็ไร้หนทาง
ผู้พิทักษ์เหลียนลอบกลืนน้ำลายพริบตาหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นช “ร้านค้าเปิดกิจการทำการค้า พวกเขาทำหนึ่งชิ้นได้ก็ย่อมทำสองชิ้นได้ มีสิ่งใดแปลกกัน เจ้าไปทำของที่หน้าตาคล้ายกันมาชิ้นหนึ่งแล้วจะมาอ้างว่าเป็นของที่อวิ๋นชิงมอบให้ลูกชายข้าได้หรือ ไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นสักหน่อย! เจ้าลัทธิอวิ๋นชิงทั้งชีวิตมีลูกชายเพียงคนเดียว นั่นก็คืออวิ๋นซู่!”
“เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นของเหล่านี้เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร” จีหมิงซิวดึงแบบคัดลายมือกับกระดาษคัดลายมือปึกหนาออกมาจากหีบใบน้อยที่เขาพกติดตัวมาด้วย แบบคัดลายมือส่วนหนึ่งเป็นชนิดที่เขียนขึ้นมาเอง ส่วนกระดาษคัดลายมือเป็นลายมือของเด็กน้อย ดูจากลายมือในแบบคัดลายมือยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นลายมือของอวิ๋นชิง ส่วนบนกระดาษคัดลายมือของเด็กคนนั้นก็มีลายมือตั้งแต่เริ่มหัดจนชำนาญ
นอกจากนี้จีหมิงซิวยังหยิบภาพตัวอักษรและภาพวาดของอวิ๋นชิงจำนวนมากออกมาด้วย บนภาพและผลงานเขียนอักษรแต่ละชิ้นมีลายมือของเด็กน้อยคนนั้นอยู่ทั้งหมด ดูจากความเก่าของกระดาษน่าจะมีอายุไม่น้อยแล้ว
จีหมิงซิวมองผู้พิทักษ์เหลียนด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม “ทุกเดือนเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงจะไปเยี่ยมเยือนเด็กน้อย สอนเขาอ่านหนังสือ สอนเขาเขียนตัวอักษร กระดาษที่เขาใช้เมื่อสิบปีก่อนคือกระดาษเฟิ่งหวงของเมืองเฟิ่งหวงแห่งเยี่ยหลัว กระดาษชนิดนี้ผลิตออกมาน้อยยิ่งนัก มีเพียงเชื้อพระวงศ์เยี่ยหลัวจึงจะมีสิทธิซื้อ แต่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์มีการติดต่อทำการค้าอย่างลับๆ กับโรงงานเช่นกัน ดังนั้นจึงซื้อกระดาษเฟิ่งหวงชนิดนี้มาได้ด้วย กระดาษเฟิ่งหวงสมัยก่อนจะมีสีเหลืองจางๆ เพราะสีไม่บริสุทธิ์มากพอจึงเลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน”