หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 83-1 ทารุณฆาตดอกบัวขาว (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 83-1 ทารุณฆาตดอกบัวขาว (2)
ตอนที่ 83-1 ทารุณฆาตดอกบัวขาว (2)
พวกเขาเดินทางออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์มาได้ครึ่งชั่วยามแล้ว สิ่งที่ควรพูด พวกเขาล้วนพูดไปหมดสิ้นแล้ว ผู้พิทักษ์เหลียนก็ยอมรับผิดแล้ว สมควรจะทำอย่างไร ในใจลัทธิศักดิ์สิทธิ์ย่อมรู้ดี
ก่อนขึ้นรถม้าผู้พิทักษ์เจิงไล่ตามพวกเขามาอย่างรีบร้อน “คุณหนู!”
เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าของอวิ๋นจูหยุดชะงักแล้วรั้งเท้ากลับมายืน นางหันกลับไปมองเขา “มีอะไร”
ผู้พิทักษ์เจิงกระแอมอย่างอับอาย แล้วโค้งตัวคำนับนางอย่างนอนน้อม เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ข้ามีตาหามีแววไม่ ปล่อยให้คุณหนูต้องกล้ำกลืนความอยุติธรรม…”
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยก็หยุดเท้าของตนเองหันกลับมามองทั้งสองคนด้วย
อวิ๋นจูตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ล้วนแต่ผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขึ้นมาอีก”
ผู้พิทักษ์เจิงเอ่ยอย่างละอายใจ “ประมุขเฒ่าทั้งสองคนกำลังคุกเข่าอยู่นอกตำหนักใหญ่เพื่อขอขมาคุณหนูกับจักรพรรดิอสูร!”
อวิ๋นจูไม่ตอบว่าอภัยหรือไม่ นางเพียงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่งว่า “ผู้เฒ่าทั้งสองคนอายุมากแล้ว เจ้าให้พวกเขากลับไปเถิด”
ร่างกายของผู้พิทักษ์เจิงก้มลงต่ำกว่าเดิม “คุณหนูกับจักรพรรดิอสูรโปรดกลับมาเถิด!”
อวิ๋นจูเงยหน้าขึ้นมองลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใต้ท้องนภา แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าก็อยากให้เขากลับมา แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาไปที่ใดแล้ว”
ผู้พิทักษ์เจิงตกตะลึง “ยังตามหาจักรพรรดิอสูรไม่พบหรือขอรับ นี่มัน…”
มันก็ผ่านไปหลายวันแล้ว โ
อวิ๋นจูส่ายหน้า
ผู้พิทักษ์เจิงถอนหายใจยาว “ข้าได้ฟังเรื่องของจักรพรรดิอสูรมาแล้ว จักรพรรดิอสูรธาตุไฟเข้าแทรกเช่นนั้นสินะ ข้าคิดว่าเขาต้องกลัวพลาดพลั้งทำร้ายคุณหนูจึงไปหาสถานที่สักแห่งหลบซ่อนตัวแน่นอน…”
กล่าวถึงตรงนี้ ผู้พิทักษ์เจิงก็อยากจะตบบ้องหูตนเองแรงๆ สักหน เจ้าลัทธิผู้นิสัยเช่นนี้ ตอนนั้นสมองของเขาถูกลาถีบพังแล้วหรือไรจึงเชื่อคำโกหกของสตรีนางนั้น เชื่อว่าเขาสังหารหมู่ศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าครึ่ง
ผู้พิทักษ์เจิงเอ่ยอย่างละอายใจสุดแสน “คุณหนูโปรดวางใจ วันนี้ข้าจะพาคนออกไปตามหาจักรพรรดิอสูร ข้าจะต้องตามหาเขากลับมาให้จงได้!”
อวิ๋นจูไม่ปฏิเสธ “รบกวนแล้ว” นางกล่าวจบก็หมุนตัวจากมา
ผู้พิทักษ์เจิงเอ่ยเรียกนางไว้อีกหน “คุณหนู…”
“ยังมีเรื่องใดอีกหรือ” อวิ๋นจูถาม
ผู้พิทักษ์เจิงเหลือบมองอวิ๋นฮูหยินที่นั่งอยู่บนรถม้าอีกคันไม่ไกลนัก แล้วเปิดปากอย่างลำบากใจว่า “ข้าพูดออกมาแล้วบางทีคุณหนูอาจไม่ชอบฟัง แต่ตอนที่คุณหนูถูกขังอยู่ในตำหนักพิทักษ์กฎ หลักฐาน…หลักฐานแน่นหนามาก ตำหนักพิทักษ์กฎเดิมทีต้องการจะประหารคุณหนู แต่เจ้าลัทธิอวิ๋นชิงบอกว่า…เขายินดีไม่รับตำแหน่งเจ้าลัทธิ แต่ขอให้ละเว้นคุณหนู”
อวิ๋นจูตอบกลับมาว่า “เขารู้ว่าข้าถูกใส่ร้าย เพียงเพราะเขาเคยขอความเมตตาให้ข้าหนหนึ่ง ข้าก็สมควรอภัยให้เขาหรือ”
ผู้พิทักษ์เจิงเริ่มพูดจาเรียงลำดับไม่ถูก “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงคิดว่า…ในอดีตเจ้าลัทธิอวิ๋นชิงเองก็คงถูกผู้พิทักษ์เหลียนข่มขู่เช่นกัน ความจริงเขาไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าลัทธิถึงเพียงนั้น…เขาก็คงมีความลำบากบางประการ…ข้าไม่รู้ว่าความลำบากของเขาคือสิ่งใด…ข้าเข้าใจว่าไม่อาจอภัยให้เขาได้ แต่อวิ๋นอวี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าหวังว่าคุณหนูจะอนุญาตให้อวิ๋นอี้ได้กลับมาฝังร่างที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
เรื่องนี้อวิ๋นจูไม่มีสิ่งใดแย้ง “อวิ๋นอวี้ถูกเผาไปแล้ว ไม่มีศพ มีเพียงเถ้ากระดูก เจ้าไปคุยกับอวิ๋นฮูหยินเถิด”
ผู้พิทักษ์เจิงรีบก้าวไปหาอวิ๋นฮูหยิน บราวนี่ออนไลน์
ยิ่นอ๋องผู้ยืนมองภาพนี้อยู่ไม่ไกลขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เรื่องรับคนกลับเข้าตระกูลเรื่องนี้ไม่สมควรหารือกับเจ้าลัทธิน้อยเช่นเขาคนนี้ก่อนหรือไร ยิ่นอ๋องหันหลังจะเดินกลับไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์
ชั่วพริบตาที่เขาหมุนตัวกลับมานั่นเอง ศิษย์สองคนที่เดินตามมาก็เหมือนตกใจกลัวบางอย่าง พวกเขากระโดดโหยงเหยงหลบทางให้เขา ยิ่นอ๋องมองทั้งสองคนอย่างฉงนงงงวย จากนั้นก็หันไปมองคนที่เดินลาดตระเวนอยู่ด้านหน้า เขาพบว่าทุกคนต่างหวาดกลัวเขาจนเงียบกริบราวกับจักจั่นหน้าหนาว
ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่สนใจเจ้าลัทธิน้อยคนนี้หรือ
ยิ่นอ๋องเลิกคิ้วแล้วม้วนแขนเสื้อ เชิดหน้ายืดอก “ดูท่าวันนี้ข้าสร้างบารมีได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก…”
ริมทะเลสาบ ยอดหญิงงามงมศพที่ถูกกัดแทะจนเหลือเนื้อติดกายเพียงนิดเดียวร่างหนึ่งขึ้นมาแล้วก็กดลงไปอีก ดึงขึ้นมาแล้วก็กดลงไปอีก “นี่ จะกินหรือไม่กิน ยังมีเนื้อเหลืออยู่เลยนะอย่างเปลืองสิ…”
ศิษย์ที่รายล้อมอยู่รอบด้านหวาดกลัวจนปัสสาวะราดพร้อมกันเป็นหมู่คณะ!
…
การเจรจาระหว่างผู้พิทักษ์เจิงกับอวิ๋นฮูหยินไม่ราบรื่นนัก อวิ๋นฮูหยินเพียงรับปากว่าจะคิดดู แต่ไม่บอกว่าจะคิดดูนานเพียงใด ผู้พิทักษ์เจิงไม่สะดวกจะใช้ไม้แข็งจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินจากมา
อวิ๋นฮูหยินกอดป้ายวิญญาณของอวิ๋นอวี้กลับมานั่งบนรถม้า นางเพิ่งนั่งลง ผ้าม่านก็ถูกเปิด เฉียวเวยเดินเข้ามา นางยิ้มน้อยๆ “หมิงซิวมีอะไรจะคุยกับท่านยาย อวิ๋นฮูหยินคงไม่ถือสาหากข้าจะนั่งรถม้ากลับไปกับท่านกระมัง”
อวิ๋นฮูหยินได้ยินก็รู้ทันทีว่านี่คือข้ออ้าง แต่นางก็ไม่ปฏิเสธ ยกมือตบที่นั่งข้างตนเอง เฉียวเวยจึงไปนั่งติดกับนาง
รถม้าโขยกเขยกออกเดินทาง เฉียวเวยถอดผ้าคลุมที่ใช้ตรวจศพกับถุงมือจับปลาออก นางมองอวิ๋นฮูหยินอย่างขออภัยแล้วพูดว่า “คงเหม็นไปไม่ถึงท่านกระมัง”
อวิ๋นฮูหยินส่ายหน้า
เฉียวเวยหาห่อผ้าห่อหนึ่งมามัดของใส่จนเรียบร้อยแล้วถามขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจ “เมื่อครู่ผู้พิทักษ์เจิงมาหาท่าน อยากจะให้คุณชายอวิ๋นได้กลับมาฝังร่างที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์สินะ”
อวิ๋นฮูหยินกอดป้ายวิญญาณแน่น
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร ท่านเป็นภรรยาของเขา เขาฝังอยู่ที่ใด ไม่ฝังที่ใด ท่านล้วนเป็นคนตัดสินใจ คนอื่นไม่อาจตัดสินใจได้ ท่านไม่ต้องกังวลว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะบุกมาแย่ง พวกเขาไม่กล้าหรอก”
อวิ๋นฮูหยินสีหน้าผ่อนคลายลง ร่างกายที่เกร็งเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลงด้วย ไม่นานนางก็ก้มหน้าบอกว่า “คิดว่าข้าคนนี้พูดจากลับไปกลับมา ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่”
“หืม” เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างฉงน “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า”
อวิ๋นฮูหยินเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยประหนึ่งสูญเสียบางสิ่ง “ตอนยังมีชีวิตอยู่เขาอยากกลับมาที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อย่างสง่าผ่าเผยเสมอ ข้าถือเอาเรื่องนี้เป็นความปรารถนาที่ยังติดค้างของเขา แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็กลับไปได้แล้ว แต่ข้ากลับ…”
คำพูดต่อจากนั้น นางไม่พูดออกมา
“กลับตัดใจไม่ลงใช่หรือไม่” เฉียวเวยถามเสียงเบา
อวิ๋นฮูหยินสะอื้นพลางพยักหน้า
เฉียวเวยถอนหายใจเงียบๆ เฝ้าดูแลมานานปีขนาดนี้ย่อมกลายเป็นความยึดติดของตนเอง ไหนเลยบอกให้ปล่อยวางก็จะปล่อยวางได้ทันทีเล่า ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นยังเป็นสถานที่อันไม่คุ้นเคย จะมีคนทุ่มเทใส่ใจเฝ้าดูแลสิ่งของของอวิ๋นอวี้เฉกเช่นนางจริงหรือไม่
นางปล่อยวางไม่ลงพราะความยึดติด แต่ก็ไม่ใช่เพราะความยึดติดทั้งหมด
เฉียวเวยตบหลังมือของอวิ๋นฮูหยินเบาๆ
อวิ๋นฮูหยินเอ่ยอย่างขมขื่น “ตระกูลของข้าล่มจม ตอนที่พบกับอวิ๋นอวี้ตระกูลของข้าไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว แม้แต่ปิ่นที่พอดูใช้ได้สักเล่มก็ยังไม่มี แม้เขาจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ทว่าขอเพียงเขาปรารถนา เขาจะตบแต่งสตรีที่ดีกว่าข้าสิบเท่า ร้อยเท่าก็ได้”
อวิ๋นฮูหยินเล่าไป ดวงตาก็เริ่มแดงก่ำ “เขาไม่เคยรังเกียจข้า…เขาดีต่อบิดามารดาของข้ายิ่งนัก…ก่อนที่บิดาของข้าจะจากโลกนี้ไป เขานอนป่วยอยู่บนเตียงตั้งห้าปี ห้าปีนี้…เขาคอยดูแลบิดาของข้า…มากกว่าที่ตัวข้าดูแลบิดาของข้าเองเสียอีก…เขาเป็นคนดีถึงเพียงนี้…เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใดชั่วชีวิตจึงทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น…”
เฉียวเวยเงียบงัน
นางก็อยากถามเช่นกันว่าเหตุใดคนดีมักจะถูกพรากวันเวลาอันมีค่าไปอย่างเสียเปล่า