หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 85-1 ค้นพบชาติกำเนิด (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 85-1 ค้นพบชาติกำเนิด (2)
ตอนที่ 85-1 ค้นพบชาติกำเนิด (2)
เฉียวเวยกับยอดหญิงงามรีบเร่งไปที่ตำหนักบรรทมขององค์ชายสามทันที
เมื่อครู่องค์ชายสามชมหิมะไม่ทันระวังจึงพลัดตกลงมาจากบันได ร่วงลงมาศีรษะกระแทกเลือดไหลไม่หยุด นักปรุงโอสถของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต่างอับจนปัญญา องค์ชายสามเจ็บจนน้ำตาไหลพราก แต่เขาเสียเลือดมากเกินไปจนแม้แต่เรี่ยวแรงจะร่ำไห้คร่ำครวญก็ไม่มี
เฉียวเวยรีบตรวจดูบาดแผลของเขาแล้วก็พบว่ามันร้ายแรงกว่าที่จินตนาการไว้มาก ไม่แปลกที่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะอับจนหนทาง นี่มันเหมือนถูกคนฟาดจนกะโหลกแตก ต่อให้เป็นนาง นางก็ไม่มั่นใจเต็มที่เช่นกัน
“ฮือออ…” องค์ชายสามเจ็บจนร้องไห้
ยอดหญิงงามกอดเขาไว้ในอ้อมแขน
องค์ชายสามอยากจะถูไถศีรษะกับหน้าอกของพี่สะใภ้รองแต่กระดิกตัวไม่ได้ เขาเสียเลือดมากเกินไป สติของเขาเริ่มเลือนรางลงทีละน้อย
เฉียวเวยดูรอยแตกเปื้อนเลือดที่ศีรษะของเขา แววตาของนางวูบไหวแล้วก้มมองมือของตนเอง นางกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “มีอะไรก็ต้องใช้ไปก่อนแล้ว!”
เฉียวเวยดึงกริชออกมาใช้เหล้าฆ่าเชื้อ จากนั้นกรีดฝ่ามือของตนเอง โลหิตไหลออกมา นางใช้ถ้วยรองเอาไว้จนได้ครึ่งถ้วย จากนั้นจึงป้อนให้องค์ชายสาม ความจริงเฉียวเวยก็ไม่แน่ใจว่าวิธีการนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าต้องทำเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงทำเช่นนี้จริงๆ
ผลปรากฏว่าภาพที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงพลันบังเกิด โลหิตที่ไม่ว่าอย่างไรก็หยุดไม่ได้บนศีรษะขององค์ชายสามค่อยๆ แข็งตัวทีละน้อย แม้บาดแผลจะไม่หายดีในทันที แต่ก็ไม่มีเลือดทะลักออกมาอีก
เฉียวเวยรีบเปิดล่วมยา หยิบยาจินชวงกับอุปกรณ์ผ่าตัดออกมา เตรียมจะจัดการบาดแผลให้องค์ชายสาม ทว่าหลังจากรื้อค้นของครู่หนึ่งนางก็ขมวดคิ้ว
“เกิดอันใดขึ้น” ยอดหญิงงามถาม
เฉียวเวยตอบว่า “ลืมพกผงยาชาติดมาด้วย ข้าต้องเย็บแผลให้เขา เกรงว่าเขาจะ…”
‘ทนไม่ไหว’ สามคำนี้ยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก ท่อนแขนล่ำหนาของยอดหญิงงามก็ยกขึ้นฟันคอองค์ชายสามสลบไปอย่างงดงาม
ยอดหญิงงามบอกว่า “ตอนนี้ก็ทำได้แล้ว”
เฉียวเวย “…”
เฉียวเวยจัดการบาดแผลให้องค์ชายสามเสร็จก็ก็ถามศิษย์หญิงที่คอยรับใช้ว่าองค์ชายสามบาดเจ็บได้อย่างไร จึงได้ทราบจากปากของศิษย์หญิงว่าองค์ชายสามต้องการจะไปชมหิมะแล้วก็ร่วงลงมาเอง ตอนนั้นไม่มีใครเข้าใกล้เขาเลย
ระหว่างที่อยู่ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์องค์ชายสามมีแต่กินๆ เล่นๆ ไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น จึงไม่มีทางล่วงเกินผู้ใดอย่างแน่นอน แม้วันนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็นสอง แต่เขาเป็นบุตรชายของอวิ๋นซู่ คนฝั่งของอวิ๋นซู่ย่อมไม่สร้างความลำบากให้เขา ขณะเดียวกันเขาก็เป็นหลานชายของอวิ๋นจู คนของฝั่งอวิ๋นจูก็ย่อมไม่ลอบทำร้ายเขาเช่นกัน
เมื่อคิดดูเช่นนี้ ก็มีโอกาสแปดเก้าในสิบส่วนที่เจ้าเด็กคนนี้จะแค่เคราะห์ร้ายจริงๆ
เฉียวเวยพันแผลให้องค์ชายสามเสร็จ จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า “สภาพของอวิ๋นซู่เป็นเช่นไรบ้าง”
ยอดหญิงงามร้องอ้อ แล้วบอกว่า “ใกล้ตายแล้วกระมัง!”
เฉียวเวยถามต่อ “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์รู้เรื่องแล้วหรือยัง”
ยอดหญิงงามตอบว่า “อืม ตอนนี้รู้แล้ว”
กระดาษห่อไฟไม่มิด เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นอวิ๋นซู่ยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมา หากไม่คิดว่าเขาใกล้ตายแล้วก็คงคิดว่าเขาหนีไปแล้ว
เฉียวเวยบ่น “มิน่าบ่าวรับใช้พวกนั้นจึงหย่อนยานเช่นนี้”
เฉียวเวยจะวางใจให้องค์ชายสามอยู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต่ออีกได้อย่างไร ในเมื่ออวิ๋นซู่ใกล้ตายแล้วย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขวางนางอีก บ่ายวันนั้นเฉียวเวยจึงพาองค์ชายสามกลับจวนอ๋อง
เท้าข้างแรกของนางเพิ่งเหยียบเข้าไปในเรือนฟางชุ่ยหยวน อาต๋าเอ่อร์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าลนลาน “สวินซื่อใกล้จะไม่ไหวแล้ว”
หลายวันมานี้วุ่นวายอยู่กับเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จนเกือบลืมไปแล้วว่าสวินหลันยังอาศัยอยู่ในเรือนเล็ก แน่นอนว่าศิษย์พี่รองย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว บางทีอาจเพราะมีศิษย์พี่รองไปอยู่ร่วมกับนาง เฉียวเวยจึงยิ่งไม่กังวลใจ ทำให้ยากจะนึกถึงนางขึ้นมาสักหน โ
ตอนที่เฉียวเวยเข้ามาในห้อง เฉียวเจิงเพิ่งจะฝังเข็มให้สวินหลันเสร็จ เมื่อเห็นลูกสาวจะเข้ามา เฉียวเจิงก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้นาง เฉียวเวยรั้งเท้าที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูกลับมา นางรอเฉียวเจิงเดินออกมาแล้วค่อยเดินไปที่เรือนด้วยกันกับเขา
เฉียวเวยประคองแขนบิดาตน แล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ นางเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉียวเจิงส่ายหน้า “เม็ดยาพิษใกล้จะก่อตัวสมบูรณ์แล้ว ควบคุมพิษไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
“เหลือเวลาอีกกี่วัน” เฉียวเวยถาม
“คงจะในสองสามวันนี้” เฉียวเจิงตอบ
เฉียวเวยนิ่งไปครู่หนึ่งก็ถามต่อว่า “ศิษย์พี่รองเล่า นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เฉียวเจิงบุ้ยปากตอบว่า “นางยังทนได้อีกเจ็ดแปดวันกระมัง หาตำราพบแล้วหรือยัง”
เฉียวเวยตอบว่า “กำลังหาอยู่ น่าจะใกล้แล้ว”
เฉียวเจิงถามอย่างฉงน “ไม่ใช่ว่าเกาะอิ๋นหูมีหอคำราลับอีกแห่งหนึ่งหรือ ตำราน่าจะอยู่ที่นั่น ยังหาไม่พบหรือ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เฉียวเวยก็จนปัญญาเล็กน้อย ผู้พิทักษ์เหลียนเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ตั้งแต่ที่อวิ๋นจูพาฮูหยินจากร้านยาไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์หนนั้น นางก็เดาได้แล้วว่าตนเองน่าจะเผชิญเรื่องร้ายมากกว่าดี ก่อนออกมาจากเกาะ นางจึงเปิดค่ายกลบนเกาะเอาไว้ หอตำราลับกับตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจาหมิงบังเอิญอยู่ในค่ายกลพอดี
หมิงซิวกับราชันอสูรไปทำลายค่ากลแล้ว แต่ค่ายกลนั้นมีโลงศพหยกขององค์หญิงเจาหมิงเป็นดวงตาค่ายกล หากฝืนทำลาย ร่างขององค์หญิงเจาหมิงก็จะแหลกสลายไปด้วย แต่ให้เวลาจีหมิงซิวสักเจ็ดแปดวัน เขาก็คงคิดหาหนทางได้ ยังมีทางช่วยศิษย์พี่รองอยู่
ส่วนสวินหลัน…
เฉียวเจิงเหลือบมองสีหน้าของลูกสาวก็รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ แล้วบอกว่า “นางไม่เป็นวรยุทธ์ ต่อให้มีตำราก็ไร้ประโยชน์”
“เรื่องนั้นก็ใช่” เฉียวเวยเลิกคิ้ว นางเดินไปหาสวินหลันอย่างเปิดเผย
พิษของสวินหลันซึมเข้าไปในอวัยวะทั่วร่างแล้ว ใบหน้าขาวผ่องกลายเป็นสีดำคล้ำ ดวงตาสองข้างแดงระเรื่อ ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วง นางเพิ่งจะอาการกำเริบหนึ่งหน แม้จะถูกศิษย์พี่รองควบคุมเอาไว้ได้ แต่เพราะกังวลว่านางจะอาการกำเริบอีก จึงได้แต่มัดสองมือสองเท้าของนางไว้
ตอนนี้นางไม่ชอบแสงแดดมากกว่าเก่า ชั่วพริบตาที่ประตูถูกผลักเปิด นางก็เหมือนถูกเข็มทิ่มแทงเข้ามาในดวงตา นางหลับตาลงทันทีแล้วผินหน้าหลบไปด้านในของเตียง
เฉียวเวยปิดประตูห้องเบาๆ แล้วจุดตะเกียงสลัวๆ ที่วางอยู่บนเชิงเทียน
ศิษย์พี่รองนอนหลับอยู่อีกฝั่งของประตูกั้นห้อง เฉียวเวยไม่ปลุกนาง นางเดินผ่านประตูกั้นห้องอย่างช้าๆ แล้วไปหยุดตรงหน้าเตียงของเสวินหลัน นางวางตะเกียงน้ำมันไว้บนตู้ที่หัวเตียง จากนั้นดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งหน้าเตียง
“สวินหลัน” เฉียวเวยเรียกนาง
สวินหลันได้ยินเสียงของเฉียวเวยก็หันหน้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงหน้าที่เคยงดงามจนผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างตะลึงในรูปโฉมสูญสิ้นความงามเสียแล้ว
ในสมองของเฉียวเวยมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาทันใด ‘ยามสังขารโรยราโฉมสะคราญได้แต่แค้นใจ’
เฉียวเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างนิ่งสงบ สีหน้าไม่ผิดจากปกติแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าคนตรงหน้านางมิได้หน้าตาทรุดโทรม ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังจะใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
สวินหลันเผยอริมฝีปากอย่างอ่อนแรง “ลูกชายของข้าเล่า”
เฉียวเวยตอบตามความจริง “ยังอยู่ระหว่างทาง”
สวินหลันเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าบอกว่า…สิบกว่าวันก็มาถึงไม่ใช่หรือ นี่ผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว…”
เฉียวเวยมองนางนิ่งๆ “สิบกว่าวันคือกรณีที่เดินทางแบบไม่หลับไม่นอน แต่หลิวเกอร์เป็นเด็กอายุน้อยถึงเพียงนั้นเขาจะทนไหวหรือ หรือว่าเพื่อมาพบหน้าเจ้า จะให้เขาทิ้งชีวิตของตนเองหรืออย่างไร”
จากต้าเหลียงมาถึงเยี่ยหลัว ต้องเดินทางผ่านทะเลทรายกว้างใหญ่ เด็กอายุน้อยถึงเพียงนั้น นางหักใจให้เขาลำบากถึงขนาดนั้นไม่ลงจริงๆ!
สวินหลันดิ้นรนเล็กน้อย แต่จนปัญญาที่สองมือถูกมัดไว้แน่นหนา จะทำอย่างไรก็ไร้หนทาง “เจ้าไม่อยากให้ข้าพบเขาใช่หรือไม่”
เฉียวเวยกุมหน้าผาก “สวินหลัน ข้าไม่ต่ำช้าอย่างที่เจ้าคิด”
สวินหลันดวงตาแดงระเรื่อเต็มไปด้วยความเศร้าโศก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงวิงวอนร้องขออย่างที่หาได้ยากต่อหน้าคนที่ชีวิตนี้นางไม่อยากจะก้มหัวให้มากที่สุด “ถือเสียว่าข้าขอร้องเจ้า…เจ้าให้ข้าพบหน้าเขาเป็นหนสุดท้าย…เม็ดยาพิษจะมอบให้เจ้า…จะให้แน่นอน…”
…
เฉียวเวยก้าวออกมาจากเรือน นางมองพสุธาเวิ้งว้างสีขาวโพลนตรงหน้าแล้วสูดหายใจลึกๆ นางไม่สงสารสวินหลัน แต่นางสงสารหลิวเกอร์ หากเป็นไปได้นางก็หวังว่าเขาจะได้พบหน้าสวินหลันเป็นหนสุดท้าย
เฉียวเวยเดินไปที่ห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย นับตั้งแต่ถูกราชันอสูรซัดน่วมไปหนึ่งหน จอมยุทธ์เยี่ยนก็เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด เขาไม่พบหน้าผู้ใดทั้งนั้น ประตูห้องก็ลงกลอนเอาไว้
เฉียวเวยเคาะเบาๆ คิดไม่ถึงว่ากลอนประตูกลับหัก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโกรธจนขนพอง “เจ้าเป็นแม่นางผู้หนึ่ง รู้จักเคาะประตูบ้างหรือไม่!”
เฉียวเวยตอบอย่างผู้บริสุทธิ์ “ข้าก็กำลังเคาะอยู่นี่” แต่ดันไม่ทันระวังเคาะจนมันหักเท่านั้นเอง เรื่องนี้จะมาโทษนางไม่ได้สิ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว จอมยุทธ์เยี่ยนผู้องอาจห้าวหาญมาครึ่งชีวิต ย่อมไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นสภาพยามตนเองจมูกเขียวหน้าบวมเช่นนี้
เฉียวเวยไม่สนใจสภาพอเนจอนาถของเขา แต่ก็ไม่ได้ดึงผ้าห่มของเขาออก นางเพียงยืนอยู่หน้าเตียงถามเสียงเบาว่า “ลุงเยี่ยน หลิวเกอร์จะมาถึงเมื่อใดหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ “ถามเรื่องนี้ทำอะไร คนแซ่สวินนั่นจะไม่ไหวแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว” เฉียวเวยตอบอย่างตรงไปตรงมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดึงผ้าห่มลง เผยใบหน้าที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าผีออกมา
เฉียวเวย “…”
เจ้าคลุมผ้าห่มไว้เถิด…
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอมแล้วยกผ้าห่มขึ้นปิดครึ่งค่อนใบหน้าไว้อย่างเงียบๆ จากนั้นตอบอย่างเกียจคร้าน “อี้เชียนอินกับจีอู๋ซวงเดินทางไปรับเขาแล้ว หากฟ้าเป็นใจ วันมะรืนก็น่าจะมาถึง”
“วันมะรืนหรือ” เฉียวเวยมองท้องฟ้าอันแจ่มใส “น่าจะไม่มีปัญหากระมัง”หลังจากนั้นเฉียวเวยก็กลับไปที่ห้อง
ตอนนี้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปคัดอักษร ต้าไป๋งีบหลับอยู่บนเตียง ภายในห้องไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ทะเลาะกันเพราะเรื่องอะไรอีกแล้ว จูเอ๋อร์ถือกระทะก้นแบนตบเสี่ยวไป๋จนลอยไปกระแทกกำแพง เสี่ยวไป๋แปะอยู่บนกำแพงสองอึดใจเต็มๆ ก่อนจะไหลพรึดลงมา
เสี่ยวไป๋โมโหแล้ว มันแยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้าใส่จูเอ๋อร์!
จูเอ๋อร์ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อกรของเสี่ยวไป๋ มันถูกเสี่ยวไป๋วิ่งไล่ไปทั่วห้อง คว้าอะไรได้ก็โยนอันนั้นใส่
โครม!
ตลับชาดของเฉียวเวยร่วงลงบนพื้น
เพล้ง!
ยาเกล็ดหิมะของเฉียวเวยแตกกระจาย
ต่อจากนั้นเครื่องประดับผมของเฉียวเวย ภาพอักษรของสะสมของจีหมิงซิว ไม่มีชิ้นไหนรอดพ้นสักชิ้น ทุกอย่างถูกเจ้าลิงน้อยตัวนี้หยิบมาเป็นอาวุธลับ
เสี่ยวไป๋หลบซ้ายหลีกขวา ไม่ถูกโจมตีแม้แต่หนเดียว เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋จะพุ่งเข้ามาอีก จูเอ๋อร์ก็ดึงตำราเล่มหนึ่งออกมา เสี่ยวไป๋เผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่จะถูกตีจนหัวแบะ แล้วพุ่งชนจูเอ๋อร์ตกลงไปในอ่างน้ำ
เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้องตอนนี้พอดี