หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 87 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 87 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
ตอนที่ 87 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว
รถม้าแล่นเร็วยิ่งนัก เพียงในคืนวันเดียวกันก็เดินทางมาถึงเมืองเฟิ่งหยาง หลังออกจากเมืองเฟิ่งหยางหากเลือกใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด ใช้เวลาราวเจ็ดแปดวันก็จะไปถึงชายแดนเผ่าซยงหนีว์ คืนวันนี้ทุกคนพักค้างแรมที่เมืองเฟิ่งหยาง
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวพักห้องหนึ่ง ฮองเฮาเยี่ยหลัวต้องดูแลองค์ชายสามจึงนอนที่ห้องของเขา ส่วนอวิ๋นจูพาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนไปอยู่ด้วย ฟู่เสวี่ยเยียนจะอุ้มมู่เหยียนน้อยมานอนด้วย แต่ถูกใต้เท้าเจ้าสำนักงอแงรั้งเอาไว้
สือชีกับอาต๋าเอ่อร์เดินทางไปสำรวจเส้นทางเบื้องหน้า ขณะที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในห้อง ระหว่างเดินทางอยู่ข้างนอกทุกคนไม่พิถีพิถันอะไรมากนัก ห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงบังเอิญถูกจัดไว้ข้างห้องของอวิ๋นจู
ไม่รู้ว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกเหมือนราชันอสูรอยากจะซ้อมเขา!
หลังอาหารเย็น จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูแวะไปหาน้องสาวตัวน้อย ส่วนเฉียวเวยยกยาถ้วยหนึ่งไปที่ห้องของสวินหลัน
สภาพของสวินหลันย่ำแย่กว่าที่จินตนาการเอาไว้ แม้เป็นร่างหยินบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่คุณสมบัติบางประการของนางกลับเหนือกว่าศิษย์พี่รอง การถือกำเนิดของเม็ดยาพิษในร่างนางไม่อาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว ดูจากความเร็วที่มันก่อกำเนิด ประมาณวันพรุ่งนี้นางก็คงต้องจากโลกนี้ไปแล้ว
เฉียวเวยไม่สงสารนางหรอก แต่เฉียวเวยรับปากนางไว้แล้วว่าจะให้นางได้เห็นหน้าหลิวเกอร์สักหนก่อนตาย หัวหน้าพรรคเฉียวย่อมเป็นคนรักษาสัจจะ
“ข้าจะเข้าไปแล้วนะ” เฉียวเวยบอกกล่าวก่อนคำหนึ่งแล้วผลักประตูเข้าไปวางถ้วยยาบนโต๊ะก่อนจะหันไปจุดตะเกียง แสงสลัวส่องสว่างครึ่งค่อนห้องจนเห็นสวินหลันที่นอนหดหู่อยู่บนเตียง
เฉียวเวยยกถ้วยยาเดินเข้าไปหาแล้วก้มมองนางจากด้านบน “ดื่มยา”
สวินหลันพลิกกายตะแคงหันหลังให้เฉียวเวยพลางตอบว่า “ยานี่ไม่มีประโยชน์”
“ไม่ใช่ยาที่ช่วยเจ้ากดพลังของเม็ดยาพิษ แต่เป็นยาที่จะปกป้องเม็ดยาพิษต่างหาก หากเจ้าตาย มันจะได้ไม่เสียหายทันที”
สวินหลันโกรธจนพลิกตัวกลับมาถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างเย็นชา
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “มองข้าเช่นนั้นทำอะไร ตั้งแต่แรกก็ตกลงกันแล้วว่าเจ้าจะเก็บเม็ดยาพิษไว้”
สวินหลันผินหน้าหนี “ข้ายังไม่ได้พบหน้าหลิวเกอร์ ข้าไม่ยกเม็ดยาพิษให้เจ้า”
เฉียวเวยรู้ว่านางจะพูดเช่นนี้ “หลิวเกอร์กำลังรีบเดินทางมา เที่ยงคืนก็จะมาถึงแล้ว”
สวินหลันดวงตาเป็นประกาย “คำพูดนี้จริงหรือ”
เฉียวเวยส่งถ้วยยาไปด้านหน้า “ข้าจะหลอกเจ้าทำอะไร รีบดื่มตอนยังร้อน ในยานี้มีหนอนดินอยู่ด้วย หากปล่อยให้เย็นมันจะคาวมาก”
สวินหลันลังเลครู่หนึ่งก็ยื่นมือไปรับถ้วยยา ทว่าตอนที่ถ้วยยากำลังจะแตะถูกริมฝีปาก นางก็ยกมือกลับลงมา “หลิวเกอร์มาแล้วข้าค่อยดื่ม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รับปากเจ้าแล้ว ขอเพียงได้พบหน้าเขา ข้าไม่มีวันตระบัดสัตย์”
ยามนี้ราชันอสูรอยู่บนจุดสูงสุดของขั้นเจ็ดแล้ว หากเขาอาศัยเม็ดยาพิษที่ควักอออกมาจากร่างพิษร่างหนึ่งเมื่อวันนั้นย่อมก้าวข้ามไปสู่ขั้นแปดได้อย่างไม่มีปัญหา โ
ระหว่างขั้นแปดกับจักรพรรดิอสูรห่างกันประหนึ่งมหาสมุทรทั้งผืนกั้นขวาง แต่หากได้เม็ดยาพิษจากร่างหยินบริสุทธิ์สักเม็ด มหาสมุทรก็หดกลายเป็นอ่างน้ำน้อยใบหนึ่งได้
ความจริงจะบังคับควักออกมาก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่สภาพร่างกายของนางตอนนี้ มีความเสี่ยงมากพอสมควร…
เฉียวเวยตัดสินใจใช้ไม้อ่อนต่อ “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปถามว่าหลิวเกอร์มาถึงไหนแล้ว” กล่าวจบเฉียวเวยก็วางถ้วยยาไว้แล้วก้าวออกไป
จังหวะที่นางก้าวข้ามธรณีประตู เสียงกระซิบแทบจะไม่ได้ยินของสวินหลันก็ดังมาจากด้านหลัง “เฉียวซื่อ ชาตินี้เจ้ามีเรื่องที่นึกเสียใจหรือไม่”
เฉียวเวยหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง “ชาตินี้น่ะหรือ ไม่มีหรอก”
ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชาตินี้ไม่ว่าดีร้ายล้วนควรค่าให้นางจดจำและทะนุถนอม
มนุษย์ย่อมเคยทำผิดพลาด ทว่าแทนที่จะจมอยู่กับอดีต มิสู้เพียรพยายามมองไปข้างหน้า
ทว่าคนบางคนมิอาจมองไปเบื้องหน้า เพราะพวกเขาไม่มีอนาคตเหลืออยู่แล้ว
“ข้ามี” สวินหลันสะอื้น
เฉียวเวยรู้ว่านางนึกเสียใจแล้วจริงๆ เพียงแต่เงินพันตำลึงทองก็ไม่อาจซื้อยาย้อนอดีตได้ ไพ่ดีๆ ที่นางวางทิ้งไป นางไม่มีโอกาสเก็บขึ้นมาอีกแล้ว
…
กลางดึกรถม้าใหญ่โตคันหนึ่งแล่นเข้ามาในเมืองชิงเฟิง บนรถม้ามีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งที่เหน็ดเหนื่อยจนหน้าซีดจากการรีบเร่งเดินทางมาหลายวันกำลังจมอยู่ในห้วงนิทรา ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยขาวผ่องนุ่มนิ่ม รูปโฉมงดงามน่ารักเสียยิ่งกว่าแม่นางน้อย แพขนตายาวหนากระพือไหวดุจปีกผีเสื้อตามจังหวะลมหายใจสม่ำเสมอของเขา
บนรถม้ายังมีบุรุษสวมอาภรณ์หรูหรานั่งอยู่ด้วยอีกสองคน คนหนึ่งอายุค่อนข้างมากแล้ว กิริยาท่าทางแลดูสุขุม ส่วนอีกคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลา สง่างามดุจต้นหยกเล่นลม ทั้งสองคนเร่งเดินทางมาเป็นเวลาไม่น้อย ค่อนข้างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง จึงกำลังหลับตาเอนกายพิงผนังรถพักอยู่
รถม้าแล่นไประยะหนึ่ง สารถีก็เอ่ยว่า “หัวหน้าพรรค ม้าวิ่งไม่ไหวแล้ว หาสถานที่สักแห่งให้อาหารพวกมันสักนิดก่อนเถิด”
บุรุษอายุมากเปิดผ้าม่านมองโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านหน้า “พักหนึ่งชั่วยาม จองห้องชั้นดีหนึ่งห้อง”
“ขอรับ!”
สารถีจอดรถม้าหน้าโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมเข้ามาต้อนรับอย่างดีอกดีใจ
บุรุษอายุมากอุ้มเด็กน้อยที่หลับสนิทลงมาจากรถม้า ตอนที่ทั้งสามคนเข้าไปในโรงเตี๊ยม ‘ศัตรู’ ที่อยู่บนห้องส่วนตัวที่ชั้นสองก็บังเอิญเห็นเข้าอย่างจัง
ศัตรูผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาก็คือมู่ชิวหยางที่หายตัวไปนานแล้ว
หากจีหมิงซิวกับเฉียวเวยอยู่ที่นี่จะต้องตกตะลึงอย่างยิ่งแน่นอน เพราะในห้องไม่ได้มีเพียงมู่ชิวหยางนั่งอยู่คนเดียว แต่ยังมีกงซุนฉางหลีที่จากไปโดยไม่ลาอยู่ด้วย
มู่ชิวหยางรินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้กงซุนฉางหลีแล้วเอ่ยด้วยท่าทีมีมารยาทอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินว่าเจ้าหอกงซุนกับจีหมิงซิวเป็นสหายเก่ากัน”
เรื่องที่จีหมิงซิวมียอดฝีมือทั้งเจ็ดเป็นลูกน้อง คนในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่ทราบทั้งหมด แต่มู่ชิวหยางมีข้อได้เปรียบตรงที่เคยอยู่ในสำนักซู่ซินจง เขาจึงสืบมาได้ลึกมากกว่า
กงซุนฉางหลีจิบชาด้วยสีหน้าเฉยชา
มู่ชิวหยางเห็นเขาไม่สนใจตนเองก็ไม่โมโห ไม่ว่าอย่างไรตลอดเส้นทางที่ผ่านมากงซุนฉางหลีก็มีสีหน้าไม่สนใจไยดีใครทั้งนั้นมาตลอด เขาชินชาเสียแล้ว
เขาหัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหอดูสิ สองคนด้านล่างนั่นคือจีอู๋ซวงกับอี้เชียนอินไม่ใช่หรือ พวกเขาพาเด็กน้อยคนหนึ่งมาด้วย…ข้าดูแล้วเด็กคนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็หน้าตาเหมือนน้องชายของจีหมิงซิวอยู่นะ”
กงซุนฉางหลีสีหน้าเรียบเฉยตอบว่า “มืดเกินไป มองไม่ชัด”
มู่ชิวหยางขยับเข้าไปใกล้กงซุนฉางหลีช้าๆ มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้ม “เจ้าลัทธิรู้ว่าดวงตาท่านมองไม่ค่อยชัดหรือไม่”
กงซุนฉางหลีเหล่มองเขานิ่งๆ “เจ้าลัทธิรู้ว่าเจ้าเข้ามาใกล้ชิดข้าเช่นนี้หรือไม่”
มู่ชิวหยางมุมปากระตุกแล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้
เขาลำบากมากกว่าจะเข้ามาตีสนิทกับอวิ๋นซู่ได้ ดังนั้นจะมาโยนอนาคตของตนทิ้งลงสุสานเพราะเรื่องเล็กน้อยขี้ประติ๋วเช่นนี้ไม่ได้
เขาล่วงเกินกงซุนฉางหลีไม่ได้ แต่เขาจะทำสิ่งใด กงซุนฉางหลีก็ยุ่งไม่ได้เช่นกัน
เขากับคนตระกูลจีมิอาจอยู่ร่วมฟ้า ในเมื่อพานพบน้องชายกับลูกน้องของจีหมิงซิวที่นี่ เขายังจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปอีกหรือ
มู่ชิวหยางเค้นรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจออกมา “เจ้าหอเชิญทานไปก่อน ข้ายังมีธุระ ขอตัวกลับห้องก่อน”
กงซุนฉางหลีมองเงาแผ่นหลังที่หายไปอย่างรวดเร็วของมู่ชิวหยาง แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาสาดลงไปนอกหน้าต่าง!
อี้เชียนอินถูกสาดจนเปียกโชกทั่วตัว เขาโมโหเงยหน้าขึ้นมองด้านบนทันที “ใครมัน…เอ๋”
เมื่อเขาเห็นกงซุนฉางหลี แววตาก็ชะงักไปวูบหนึ่ง
กงซุนฉางหลีส่งสายตาให้เขา
อี้เชียนอินหัวใจสะท้านวูบ รีบลากจีอู๋ซวงที่กำลังจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมมาทางตนเอง
จีอู๋ซวงขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอันใดไป”
อี้เชียนอินมองขึ้นไปบนหน้าต่างชั้นสองอีกหน แต่ที่ตรงนั้นไม่มีเงาของกงซุนฉางหลีแล้ว
ทว่าน้ำเย็นที่เปียกอยู่ทั่วตัวเตือนเขาว่าภาพเมื่อครู่ไม่ใช่เขามองผิดไปเอง เขาปลดผ้าคลุมกันลมพลางกระซิบเสียงเบา “พวกเราถูกคนจ้องเล่นงานอยู่ รีบไปจากที่นี่เร็ว!”
จีอู๋ซวงรีบกอดหลิวเกอร์ที่ยังหลับสนิทขึ้นรถม้า อี้เชียนอินกระโดดขึ้นรถม้าตามแล้วสั่งสารถีว่า “ไป!”
ตอนที่มู่ชิวหยางพานักรบมรณะหลายคนพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม พวกจีอู๋วงก็จากไปแล้ว เขาไล่ตามรถม้าไปจนเข้าไปในตรอกเส้นหนึ่ง รถม้าจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น เขาชักกระบี่ยาวออกมาฟันปราณกระบี่ดุดันสายหนึ่งสะบั้นหลังคารถหลุดไปทั้งยวง ในเวลาเดียวกันนั้นเองเขาก็เหินร่างไปที่รถม้า ทว่ากลับต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าในรถไม่มีใครอยู่สักคน!
มู่ชิวหยางวิ่งออกมาจากตรอก เขาชะเง้อมองซ้ายขวาก็เห็นจีอู๋ซวงขี่อาชาตัวหนึ่งมุ่งหน้าไปทางสุดปลายถนนอย่างรวดเร็ว ข้างกายจีอู๋ซวงมีขาเล็กๆ ของเด็กน้อยโผล่ออกมาแกว่งไกวกลางอากาศอยู่รางๆ
มู่ชิวหยางพานักรบมรณะสามคนไล่ตามจีอู๋ซวงไป ส่วนนักรบมรณะอีกสองคนที่เหลือให้ไล่ตามไปทิศทางตรงข้าม
เมื่อคนทั้งหลายออกไปพ้นตรอกแล้ว อี้เชียนอินจึงอุ้มหลิวเกอร์ที่ถูกจี้จุดนิทราปีนออกมาจากใต้ท้องรถอย่างเชื่องช้า เมื่อครู่เขาอุ้มหลิวเกอร์เกาะอยู่ใต้ท้องรถ หากมู่ชิวหยางสังเกตอย่างละเอียดอีกสักหน่อย เขาก็คงซ่อนตัวไม่สำเร็จแล้ว
อี้เชียนอินไม่กล้ารั้งอยู่นาน เขาหยิบกรงนกออกมาจากบนรถแล้วจับวิหคส่งสารตัวหนึ่งออกมา เขาเขียนแถบกระดาษเสร็จก็ปล่อยมันบินไปทางเมืองเฟิ่งหยาง
เมืองเฟิ่งหยางอยู่ไม่ไกล เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงได้รับกระดาษข้อความจากอี้เชียนอินอย่างรวดเร็ว เขาไปที่ห้องของจีหมิงซิวทันที “พวกเขาถูกคนจ้องเล่นงานที่เมืองชิงเฟิง จีอู๋ซวงกำลังล่อพวกมันออกไปอยู่ อี้เชียนอินกำลังพาหลิวเกอร์มาที่นี่”
“ผู้ใด” จีหมิงซิวถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “อี้เชียนอินมองไม่ชัด แต่…มีนักรบมรณะอยู่หลายคน”
เฉียวเวยแววตาชะงักไปวูบหนึ่ง “คนของอวิ๋นซู่”
จีหมิงซิวหันไปมองเฉียวเวย “ข้าจะเดินทางไปกับราชันอสูร เจ้ารอข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม”
เฉียวเวยส่งผ้าคลุมกันลมให้เขา “เดินทางระวังตัวด้วย”
หลังจากนั้นจีหมิงซิวก็ออกเดินทางไปกับราชันอสูร ทั้งสองคนมาถึงเมืองชิงเฟิงอย่างเร็วที่สุด คนหนึ่งไปรับอี้เชียนอิน อีกคนหนึ่งไปรับจีอู๋ซวง
ตอนที่ราชันอสูรตามหาอี้เชียนอินพบ อี้เชียนอินเพิ่งจะถูกนักรบมรณะฝีมือร้ายกาจสองคนไล่ตามทันพอดี บนร่างเขามัดเด็กน้อยคนหนึ่งเอาไว้กับตัวจึงยากจะใช้กระบวนท่าออกมาได้ ขณะที่ดาบยาวของนักรบมรณะกำลังจะฟันลงบนแผ่นหลังของเขา เงาดำร่างหนึ่งก็เหินลงมาจากท้องนภา
อากาศคล้ายจะหยุดนิ่งไปชั่วพริบตา
ไม่ต้องพูดถึงการหลีกหลบ แม้แต่หายใจอี้เชียนอินก็ยังทำไม่ได้
ดีเลวเขาก็เป็นยอดฝีมือที่เคยกินผลสองภพมาแล้ว แต่เจ้าหมอนี่เป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่ ถึงกดข่มเขาจนเกือบต้องคุกเข่า!
เห็นชัดว่านักรบมรณะสองคนนั้นถูกกลิ่นอายนี้ข่มขวัญ ดวงตาของพวกเขาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่สุด สัญชาตญาณสั่งให้พวกเขาหนี ทว่าเพิ่งจะหันหลังกลับ ศีรษะก็ระเบิดดัง โพล๊ะ!
โลหิตกับสมองกระเซ็นเปื้อนเต็มหน้าอี้เชียนอิน
อี้เชียนอินตกใจจนนิ่งค้างอยู่กับที่ สมองเขาหยุดทำงานจนถึงขั้นที่เผลอเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมาแย่งชิงเด็กน้อย จึงยื่นหลิวเกอร์ให้ทันที “ให้ท่าน!”
ราชันอสูร “…”