หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 88-2 ความตายของสวินหลัน (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 88-2 ความตายของสวินหลัน (1)
ตอนที่ 88-2 ความตายของสวินหลัน (1)
เฉียวเวยอุ้มหลิวเกอร์เดินเข้ามาในห้อง แล้วถามอย่างฉงน “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงตื่นมาได้เล่าเจ้าคะ”
เฮ่อหลันชิงหาวท่าทางเหมือนไม่ใคร่จะใส่ใจ “ดึกดื่นเที่ยงคืน หนวกหูนัก”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันชิงเหล่มองนางกับเด็กน้อยในอ้อมแขนของนางอย่างไม่สนใจนัก แล้วบอกว่า “นอนให้เร็วหน่อยล่ะ”
เฉียวเวยตอบรับอย่างเป็นเด็กดี “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันชิงกลับไปที่ห้อง
ฟู่เสวี่ยเยียนพรูลมหายใจออกมายาวๆ พลางเช็ดเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากแล้วบอกว่า “เมื่อครู่เกือบไปแล้วจริงๆ หากจั๋วหม่ามาไม่ทัน นางคงสิ้นลมแล้ว”
เฮ่อหลันชิงรำคาญไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ ปกตินางไม่สนใจไถ่ถามถึงสวินหลัน คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญกลับลงมือ แทนที่จะบอกว่านางเวทนาสวินหลัน ไม่สู้บอกว่านางไม่อยากให้เฉียวเวยลำบากเสียเปล่าดีกว่า
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเฉียวเวยอย่างอิจฉาวูบหนึ่ง มีมารดาคอยรักช่างดีจริงๆ
หลิวเกอร์นอนหลับสบายนัก เขาไม่รู้ว่าตนเองถูกอุ้มจากบนรถม้ามาถึงข้างกายมารดาบังเกิดเกล้าแล้ว
สวินหลันรู้สึกตัวขึ้นมาช้าๆ เมื่อตื่นมาก็พบว่าเฉียวเวยอุ้มเด้กน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ขอบเตียง แววตาของนางเป็นประกายขึ้นมาทันควัน “หลิวเกอร์หรือ”
เฉียวเวยส่งเด็กน้อยไปให้อย่างแผ่วเบา
สวินหลันตื่นเต้นยินดีผุดลุกขึ้นนั่ง นางเอื้อมมืออันสั่นเทาไปอุ้มลูกชายเข้ามาในอ้อมแขน ชั่วพริบตาที่ร่างกายเล็กๆ นั่นแนบชิดกับนาง ร่างกายของนางก็สั่นเทาเบาๆ
จำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้กอดเขามานานเท่าใด…เขาตัวโตขนาดนี้แล้ว…ตัวหนักแล้ว…สูงขึ้นแล้ว…แก้มพองๆ แบบทารกก็ลดลงไปไม่น้อยแล้ว ใบหน้ารูปงามขึ้น…นิ้วก็ยาวขึ้น…
มือข้างหนึ่งของสวินหลันกอดร่างเล็กๆ ของบุตรชายเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งลูบดวงตากับคิ้ว บนใบหน้าของบุตรชาย…สุดท้ายก็กุมมือน้อยๆ ที่ต้องลมหนาวจนเริ่มเย็นของเขา นางจับมือน้อยๆ ของเขามาวางแนบริมฝีปากแล้วจุมพิต หยดน้ำตาร่วงพรูลงมา
ฟู่เสวี่ยเยียนปิดประตูห้องอย่างเชื่องช้า
เฉียวเวยถามสวินหลันว่า “จะปลุกเขาหรือไม่”
สวินหลันเอนกายพิงหัวเตียง นางอุ้มหลิวเกอร์ไว้ประหนึ่งกำลังอุ้มเด็กทารก นางแบะเสื้อออกแล้ววางมือน้อยที่เย็นเฉียบของเขาลงบนท้องที่อบอุ่นของตนเอง จากนั้นจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายเล็กๆ ของเขา
นางก็อยากปลุกเขาเช่นกัน แต่สภาพของนางตอนนี้…
สวินหลันมองกระจกทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ไม่ไกล ในกระจกมีหญิงชราหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เส้นผมของนางกลายเป็นด่างดวงสีขาว ดวงตาของนางแดงก่ำราวกับมารร้าย…
สวินหลันส่ายหน้าอย่างปวดใจ นางกอดบุตรชายไว้แน่น แนบแก้มลงกับหน้าผากของเขา ทว่าแม้แต่การขยับตัวเท่านี้ นางก็ไม่กล้าออกแรง กลัวว่าจะปลุกเขาตื่น กลัวเขาจะเห็นว่าสภาพของนางในตอนนี้แล้วหวาดกลัว
มนุษย์ยามมีอยู่มักไม่รู้จักรักษา ยามเมื่อสูญเสียไปแล้วจึงมานั่งเสียใจ โ
หลังจากหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างจนได้นึกทบทวนอดีตแต่ละเรื่อง นางจึงเพิ่งตระหนักว่าสิ่งที่ตนเองตัดใจสูญเสียไม่ลงที่สุดก็คือบุตรชายที่อุ้มท้องมาสิบเดือน
สิ่งที่นางนึกเสียใจที่สุดในตอนนี้ก็คือตอนอยู่ตระกูลจีไม่ได้ใช้เวลาอยู่เคียงข้างเขาให้ดีๆ หากรู้ก่อนว่าตนเองจะมีวันนี้ ทุกวันนางจะอยู่เคียงข้างเขา ตกกลางคืนก็จะกอดเขาไว้…
‘ท่านแม่ข้านอนกับท่านได้หรือไม่’
‘ฟ้าผ่า ข้ากลัวมาก’
‘มึดนักเชียว’
‘ข้าปวดท้อง’
หัวใจของสวินหลันบีบรัดด้วยความเจ็บปวด นางกอดบุตรชายแน่น ร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดแทบขาดใจ
เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดโศกเศร้าที่ยากจะพรรณนาจากตัวนาง ความเจ็บปวดของการพลัดพรากจากเลือดเนื้อของตนเองนั่น นางเข้าอกเข้าใจเสมือนหนึ่งเกิดกับตนเอง
เฉียวเวยส่งผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้ “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ปลุกเขา เขาไม่อ่อนแอเช่นที่เจ้าคิดหรอก เจ้าคือมารดาแท้ๆ ของเขา เขาไม่มีทางหวาดกลัวเจ้า”
สวินหลันส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ข้าไม่อยากให้เขาจดจำข้าในสภาพนี้”
“ข้าช่วยเจ้า…” เฉียวเวยอยากจะบอกว่าข้าช่วยเจ้าแปลงโฉมสักหน่อยดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดทบทวนอีกหน แปลงโฉมใบหน้าอาจจะไหว แต่มือเล่า ดวงตาเล่า เมื่อเทียบกับการเสียเวลาแปลงโฉม นางคงปรารถนาจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายกับบุตรชายมากกว่ากระมัง
เฉียวเวยลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปเอาของกินเล็กน้อยมาให้เจ้า”
สวินหลันไม่หิว นางมองออกว่าเฉียวเวยเพียงหาข้ออ้างให้นางได้อยู่กับหลิวเกอร์ตามลำพัง ในจังหวะที่เฉียวเวยหมุนตัวหันหลัง สวินหลันก็เรียกนางไว้ “ข้าเสียใจ…ข้าเสียใจแล้วจริงๆ…ข้าไม่ควรทำเช่นนั้นกับจีหว่าน…ไม่ควรวางแผนร้ายเล่นงานเจ้าเช่นนั้น…ไม่ควรเพ้อฝันถึงสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง…”
เฉียวเวยชะงักเท้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบ สวินหลันก็อุ้มหลิวเกรอ์ลงไปคุกเข่าดังตุ้บ
เฉียวเวยหันกลับมามองนางอย่างไม่เข้าใจ “นี่เจ้าจะทำอันใด”
สวินหลันสะอื้น “ข้าขอขมาพวกเจ้า…จะให้ชดใช้ความผิดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น…พวกเจ้าจะทุบตีข้า ด่าทอข้าก็ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น…”
เฉียวเวยไม่เคยเห็นท่าทางก้มหัวยอมจำนนเช่นนี้ของสวินหลันมาก่อน ในอดีตนางเชิดศีรษะสูงเพียงใด ยามนี้ก็ก้มศีรษะต่ำเท่านั้น แต่น่าเสียดาย ทุกสิ่งสายเกินไปแล้ว
เฉียวเวยย่อตัวลงประคองนางขึ้นมา “ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ สวินหลัน”
สวินหลันอึ้งไปครู่หนึ่ง นางมองเฉียวเวยด้วยดวงตาที่พร่ามัวด้วยน้ำตา “แม้แต่เจ้าก็ช่วยไม่ได้หรือ เจ้ากินเม็ดโลหิตของมารโลหิตเข้าไปไม่ใช่หรือไร องค์ชายสามบาดเจ็บถึงขนาดนั้นก็ยังถูกช่วยเอาไว้ได้ เลือดของเจ้าทำให้คนตายฟื้นกลับเป็นได้ไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “เม็ดโลหิตของมารโลหิตรักษาได้เฉพาะอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่อาการของเจ้าไม่นับว่าเป็นอาการบาดเจ็บ ข้าช่วยไม่ได้”
สวินหลันถามอย่างไม่ยอมแพ้ “ตำ…ตำราลับเล่า ไม่ใช่บอกว่าหาตำราลับที่แปรสภาพเม็ดยาพิษได้พบแล้วหรือ ข้าฝึกวรยุทธ์ได้หรือไม่”
เฉียวเวยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนาง ตอบอย่างไม่หลบสายตาสักนิด “ไม่ทันแล้ว เจ้าต้องฝึกกำลังภายในให้ได้เท่าศิษย์พี่รองจึงจะมีหนทางใช้ตำรา ทว่านั่นก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี ยี่สิบปีหรือนานกว่านั้น ต่อให้ข้ายกผลสองภพทั้งหมดให้เจ้ากิน เจ้าก็ฝึกไม่ทันแล้ว”
ความจริงสวินหลันรู้ผลลัพธ์อยู่ก่อนแล้ว นางเพียงรู้สึกไม่ยินยอม ยิ่งได้กอดบุตรชายก็ยิ่งไม่ยินยอมจะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
นางยังไม่ทันได้เห็นเขาเติบใหญ่ ไม่ทันได้เห็นเขาแต่งงาน ไม่ทันได้ยินเขาเรียกนางว่าท่านแม่เป็นหนสุดท้าย…
เฉียวเวยตบหัวไหล่ของนางเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง
ค่ำคืนนี้เฉียวเวยไม่ได้เดินกลับเข้าไปอีก ยามท้องนภาทอแสงสลัว สวินหลันก็อุ้มเด็กน้อยออกมา นางส่งหลิวเกอรไว้ในมือของเฉียวเวยอย่างช้าๆ จากนั้นเดินไปเคาะประตูห้องของเฉียวเจิงโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
เฉียวเจิงหิ้วหีบเครื่องมือผ่าตัดออกมา ขณะที่สวินหลันเดินกลับเข้าไปในห้อง แล้วนอนลงด้านหลังฉากกันลมอย่างนิ่งสงบ
เฉียวเวยอุ้มหลิวเกอร์มายืนอยู่ที่ประตูอย่างเงียบๆ
สวินหลันผินหน้ามองลอดช่องว่างของฉากกันลม เห็นหลิวเกอร์ใช้มือน้อยขยี้ตาจากนั้นซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวยอย่างไม่รู้ตัว
นี่เป็นภาพสุดท้ายที่สวินหลันได้เห็นในชีวิตนี้
สวินหลันยิ้มจางๆ
เฉียวซื่อ ขอบคุณที่ครานั้นเจ้าไม่พ่ายแพ้ข้า