หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 89-1 ความตายของสวินหลัน (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 89-1 ความตายของสวินหลัน (2)
ตอนที่ 89-1 ความตายของสวินหลัน (2)
หลิวเกอร์นอนจนตะวันสายโด่ง เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนฟูกนุ่มนิ่ม
เพดานห้องแห่งนี้ไม่คุ้นตา แต่หูได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวอันคุ้นเคยดังลอยมา เขาหันหน้าไปมองตามเสียงก็เห็นจูเอ๋อร์กับเสี่ยวไป๋ตีกันไปตีกันมาอยู่ท่ามกลางห้องที่สว่างไสว วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นวิ่งไปวิ่งมา ต้าไป๋หมอบอย่างเกียจคร้านอยู่นบเก้าอี้หวาย อินทรีทองยืนอยู่ด้านข้างประหนึ่งรูปสลัก
ความรู้สึกอันยากจะพรรณนาท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจ หลิวเกอร์กะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมองอีกด้านหนึ่ง เฉียวเวยกำลังจัดเสื้อผ้าให้หลิวเกอร์ ส่วนที่ต้องซักแยกออกมา ส่วนที่สะอาดก็พับเรียงกันวางไว้กับของจิ่งอวิ๋น
หลิวเกอร์มองการเคลื่อนไหวที่นิ่งสงบและคล่องแคล่วของเฉียวเวย จากนั้นจึงหันไปมองเสื้อผ้าที่วางไว้รวมกับจิ่งอวิ๋น ดวงตาเบิ่งมองจนกลมโต
เฉียวเวยเหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของหลิวเกอร์ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองมาทางหลิวเกอร์
หลิวเกอร์รีบหลับ
เฉียวเวยรู้ว่าเขาตื่นแล้ว นางวางกางเกงตัวน้อยในมือแล้วลุกขึ้นเดินมาหาเขา “ตื่นแล้วหรือ”
หลิวเกอร์หลับตาปี๋ไม่ยอมตอบ
เฉียวเวยยกมือนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกขึ้นมาลูบหน้าผากเขาเบาๆ
แพขนตาของหลิวเกอร์กระพือไหว
เฉียวเวยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หิวหรือไม่ ข้าจะได้ให้ห้องครัวทำขนมมาให้เจ้า”
หลิวเกอร์ก็ยังไม่ตอบ กำปั้นน้อยที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มกำแน่น
เฉียวเวยดึงผ้าห่มออก มองปราดแรกก็เห็นกำปั้นน้อยของเขา นางนั่งลงตรงขอบเตียง แผ่นหลังผิงเสาเตียงมองเขาอย่างอ่อนโยน “โกรธหรือ”
หลิวเกอร์ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะ
แม้เฉียวเวยจะไม่เคยสัมผัสความรู้สึกผิดหวังยามลืมตาตื่นมาแล้วทุกคนหายตัวไป ทั้งที่ก่อนนอนยังอยู่พร้อมหน้ากัน แต่เฉียวเวยพอจะคาดเดาออกว่าเขากำลังโกรธเรื่องอะไร
เฉียวเวยก้มตัวลงไปหยิกใบหน้าน้อยของเขา “พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะแอบจากมาเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจทิ้งเจ้าไว้ด้วย”
เสียงสะอื้นของหลิวเกอร์ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม “แต่ท่านพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาด้วยนี่!”
เฉียวเวยไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร จะบอกว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถูกคนร้ายจับตัวไปก็คงไม่สำเร็จแน่ จนตอนนี้เจ้าตุ้ยนุ้ยยังไม่รู้เลยว่าตนเองถูกผู้อื่นลักพาตัวไป นางคิดว่าตนเองเดินทางมาเยี่ยมญาติที่เยี่ยหลัว
เฉียวเวยอุ้มหลิวเกอร์ออกมาจากใต้ผ้าห่ม เห็นดวงตาของเขาน้ำตาคลอก็เอ่ยเสียงอ่อน “ข้าก็มารับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ”
เจ้ากระสอบน้ำตาน้อยไม่ซื้อคำปลอบใจนี้ เขานั่งอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวยร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าปลอบอย่างไรก็ปลอบไม่สำเร็จ สุดท้ายวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นอุ้มต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋มาให้เขากอด พอมีเจ้าก้อนขนสีขาวมือขวาหนึ่งตัว มือซ้ายหนึ่งตัวถึงหยุดน้ำตาของเขาได้
…
ปลอบหลิวเกอร์เรียบร้อยแล้ว เฉียวเวยก็เดินไปที่ห้องของเฉียวเจิง เฉียวเจิงดึงเม็ดยาพิษออกมาแล้ว สีหน้าเขาแปลกพิลึกอยู่นิดๆ
เฉียวเวยมองบิดาของนาง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านพ่อ เป็นอะไรหรือ”
เฉียวเจิงสูดลมหายใจแผ่วเบาอย่างอึ้งๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในร่างนางไม่ได้มีเม็ดยาพิษเพียงเม็ดเดียว”
เฉียวเวยตกตะลึง “เม็ดยาพิษไม่ได้มีเพียงเม็ดเดียวหรือ”
เฉียวเจิงเปิดกล่องไม้จันทน์ม่วงที่ใช้ป้องกันการเน่าเปื่อย ด้านในมีขวดหยกเหมันต์ที่รอการปิดผนึกอยู่สองขวด เฉียวเจิงเปิดฝาขวดส่งให้เฉียวเวยดู “เจ้าดูเองเถิด”
เฉียวเวยเคยเห็นเม็ดยาพิษมาแล้ว เม็ดหนึ่งกงซุนฉางหลีเป็นคนส่งมาให้ อีกเม็ดหนึ่งมารดาของนางควักออกมาจากในร่างของรานีอสูร แล้วก็อีกเม็ดหนึ่งตอนราชันอสูรควักออกมาจากในร่างของร่างพิษ ในบรรดาเม็ดยาพิษเหล่านั้นเม็ดยาพิษของรานีอสูรสีสันเข้มที่สุด ตัวเม็ดแข็งแรงอวบอิ่มที่สุด แต่เม็ดยาพิษสองเม็ดนี้เห็นชัดว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่าเม็ดยาพิษของรานีอสูร เพียงดูจากสีก็แตกต่างราวฟ้ากับเหวแล้ว
หนึ่งเม็ดก็ทำให้คนตกตะลึงแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับมีถึงสองเม็ด!
มิน่านางถึงอ่อนแอลงเร็วถึงขั้นนั้น ร่างหยินบริสุทธิ์ที่หล่อเลี้ยงเม็ดยาพิษไว้ถึงสองเม็ดในร่าง ไม่ตายทันทีก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว
เฉียวเจิงถอนหายใจ “ข้าคิดมาตลอดว่ายาไม่มีผลกับนาง เพราะเม็ดยาพิษของนางถือกำเนิดเร็วกว่าแม่นางมู่มาก ข้าเกือบจะให้นางหยุดยาแล้ว ตอนนี้ดูท่าโชคดีแล้วที่ไม่หยุด”
หากหยุดไป ไม่แน่ว่านางอาจจะจากไปตั้งแต่อยู่ที่เมืองเยี่ยเหลียงแล้ว
เม็ดยาพิษเม็ดที่สองนี้เป็นสิ่งที่สวินหลันทิ้งไว้ให้พวกเขาประหลาดใจ หากเม็ดยาพิษของร่างหยินบริสุทธิ์เม็ดเดียวทำให้ความห่างระหว่างราชันอสูรกับจักรพรรดิอสูรลดลงจนเหลือระยะเพียงหนึ่งอ่างน้ำน้อย ถ้าเช่นนั้นหากกินลงไปสองเม็ดก็แทบจะรับประกันได้ว่าไม่เกิดความผิดพลาดอย่างแน่นอน
เฉียวเวยเก็บเม็ดยาพิษไว้อย่างดี รอหลังจากราชันอสูรก้าวสู่ขั้นแปดแล้วจะได้เริ่มกินเม็ดแรกได้ทันที
…
เวลาเที่ยงวันคณะเดินทางออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองชิงเฟิง จีหมิงซิวตามหาอี้เชียนอินกับจีอู๋ซวงที่อยู่ในเมืองแห่งนั้นพบแล้ว พวกเขาไปรออยู่ที่โรงเตี๊ยมได้พักใหญ่
เมื่อคืนหลังจากราชันอสูรมาเยือนเมืองชิงเฟิง นักรบมรณะกับยอดฝีมือในบริเวณร้อยลี้ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชันอสูร มู่ชิวหยางจึงถอยทัพในทันที ก่อนจะถอยทัพจีอู๋ซวงมองเห็นหน้าเขาชัดเจนแล้ว จำได้ว่าเขาก็คือซื่อจื่อแห่งจวนมู่อ๋องที่หนีไปจากมือตนเอง
หลังจากจีอู๋ซวงมารวมตัวกับจีหมิงซิว อี้เชียนอินก็ตามมาจนพบทั้งสองคน ตอนแรกอี้เชียนอินคิดว่าตนเองทำเด็กน้อยหายไปแล้ว อย่าให้พูดเลยว่าตัวเขาเสียใจมากเพียงไร ต่อมาเมื่อทราบว่าราชันอสูรเป็นคนฝ่ายตนเอง เขาก็ดีใจจนเกือบจะกระโดดโลดเต้น จากนั้นอี้เชียนอินก็บอกเรื่องที่เห็นกงซุนฉางหลีกับจีหมิงซิว
มู่ชิวหยางเป็นเขี้ยวเล็บของอวิ๋นซู่อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อคำนวนจากช่วงเวลาและสถานที่ที่ทั้งสองคนถูกตามล่า กงซุนฉางหลีก็น่าจะอยู่กับเขาด้วย ในเมื่อสองคนนี้อยู่กันพร้อมหน้า อวิ๋นซู่ก็คงอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน แต่อวิ๋นซู่หนีไวเหลือเกิน เมื่อพวกเขาไล่ตามไปถึง อวิ๋นซู่ก็ไม่อยู่ที่โรงเตี๊ยมแล้ว
“หนีเร็วจริงนะ!” อี้เชียนอินเกรี้ยวกราด
จีอู๋ซวงแค่นเสียงหยันอย่างเย็นชา “ไม่เร็วได้หรือ จะรอให้เจ้ามาจับตัวหรือไร”
ยามนี้อวิ๋นซู่กำลังยุ่งอยู่กับการใช้กำลังภายในหลอมกลืนไขเลือด หากไม่จำเป็นจริงๆ ย่อมไม่มีทางปะทะซึ่งหน้ากับพวกเขา หากอยู่ที่ต้าเหลียง ต่อให้มีปีกอวิ๋นซู่ก็ยากจะบินหนีพ้น แต่ที่นี่ดันเป็นเยี่ยหลัว เป็นถิ่นของอวิ๋นซู่!
จีหมิงซิวครุ่นคิดแต่ไม่พูดอันใด
ไม่นานพวกเฉียวเวยก็เดินทางมาถึง ในขบวนไม่มีเงาของสวินหลันแล้ว มีแต่หลิวเกอร์กระโดดลงมาจากรถม้าพร้อมกับจิ่งอวิ๋นและวั่งซู ใบหน้ามีความสุขเหมือนตัวจะลอยได้
หลิวเกอร์กอดเจ้าก้อนขนสีขาวทั้งสองวิ่งตึงตังขึ้นไปที่ชั้นบน พอพ้นจากหัวบันได เห็นจีหมิงซิวผู้มีสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายเล็กจ้อยของหลิวเกอร์ก็แข็งทื่อ!
“พี่….พี่ พี่ พี่…พี่ใหญ่”
เขาตกใจกลัวจนติดอ่างไปแล้ว
จีหมิงซิวก้าวมาอุ้มเขาอย่างช้าๆ หลิวเกอร์ตกอยู่ในอ้อมแขนของพี่ใหญ่ก็กลัวจนร่างน้อยสั่นเทา
“หนาวหรือ” จีหมิงซิวหยิบผ้าคลุมกันลมมาห่มให้เขา ความอบอุ่นห้อมล้อมตัวเขาในพริบตา ร่างของจีหมิงซิวมีกลิ่นหอมของเฉียวเวยอยู่ แล้วก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของตัวเขาเองผสมอยู่กับกลิ่นอายบุรุษเพศอันเข้มข้นด้วย
สมองของหลิวเกอร์มึนงง เขากะพริบดวงตาอันไร้เดียงสาคู่นั้น ถึงอยากมองก็ไม่กล้ามอง ได้แต่แอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่ใหญ่อยู่แบบนั้น
สุ้มเสียงเย็นชาแผ่วเบาของจีหมิงซิวมีความอบอุ่นที่แทบจะสัมผัสไม่ได้แทรกอยู่เสี้ยวหนึ่ง “ตอนเที่ยงอยากกินอะไรดี”
หลิวเกอร์งุนงง
จีหมิงซิวถามว่า “เนื้อแพะดีหรือไม่”
หลิวเกอร์พยักหน้าประหนึ่งหุ่นกลไก
“แป้งยัดไส้เล่า”
หลิวเกอร์พยักหน้าอีกหน
“นมแผ่นหรือว่าขนมกุ้ยฮวาดี”
แต่ก่อนพี่ใหญ่ไม่เคยอนุญาตให้เขากินของหวานมากขนาดนี้นี่นา…หลิวเกอร์ตัวอ่อนนุ่มนิ่มเกาะอยู่กับหัวไหล่ของพี่ใหญ่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพี่ใหญ่เหมือนจะไม่น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว