หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 89-2 ความตายของสวินหลัน (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 89-2 ความตายของสวินหลัน (2)
ตอนที่ 89-2 ความตายของสวินหลัน (2)
ตกกลางคืนจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูนอนหลับอยู่ในห้องของอวิ๋นจู หลิวเกอร์นอนอยู่ในห้องของเฉียวเวยกับจีหมิงซิว นี่เป็นครั้งแรกที่เขามานอนที่นี่คนเดียว เขาสงสัยใคร่รู้จนนอนไม่ค่อยหลับ ดวงตาเอาแต่เหลือบมองซ้ายที เหลียวมองขวาที
เฉียวเวยไม่ได้หลับตานอนมาหนึ่งคืน ตอนนี้นางจึงหลับไปแล้ว ขณะที่ดวงตากวางของหลิวเกอร์มัวแต่เบิกจนกลมดิ๊ก กลอกไปกลอกมาอยู่ใต้ผ้าห่ม
ทันใดนั้นเองฝ่ามือใหญ่หนาข้างหนึ่งก็ทาบปิดดวงตาของเขา เขากะพริบตาปริบๆ แพขนตายาวปัดป่ายกลางฝ่ามือของจีหมิงซิว แขนยาวๆ ของจีหมิงซิวช้อนตัวเขาขึ้นมาอุ้ม
ฮือออ บรรยากาศรอบตัวพี่ใหญ่น่ากลัวนักเชียว! ในใจหลิวเกอร์ร้องครวญคราง คืนนี้ข้าต้องนอนไม่หลับแน่เ!
ทว่าสามอึดใจหลังจากนั้น
“คร่อกกก คร่อกกก คร่อกกก”
เสียงกรนเบาๆ ก็ดังออกมา
…
หลังจากนั้นทุกคนก็เร่งเดินทางเร็วขึ้นอีก ม้าวิ่งไม่หยุดพักจนพ้นเขตเยี่ยหลัว เข้าสู่ทะเลทรายของซยงหนีว์ ทิวทัศน์ของทะเลทรายยามปกคลุมด้วยหิมะประหนึ่งสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์ หากไม่ใช่เพราะกำลังไล่ตามอวิ๋นซู่อยู่ ทุกคนก็อยากจะแวะพักชื่นชมทิวทัศน์สักหน่อย
ระหว่างทางอากาศนับว่าแจ่มใส ไม่พบพายุฝน บางครั้งมีหิมะตกหนักบ้างแต่ก็ตกตอนกลางคืนทั้งสิ้น ตอนกลางวันแม้แต่เกล็ดหิมะบางๆ ก็ไม่มีร่วงลงมาให้เห็น
ทว่ารีบเร่งเดินทางเร็วเกินไป สุดท้ายเด็กน้อยทั้งหลายก็เริ่มทนไม่ไหว หลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นเป็นหวัด มู่เหยียนน้อยก็ไข้ขึ้นสูงมาสามวันแล้ว สายลมหนาวหนนี้รุนแรงมาก คนที่ไม่เป็นวรยุทธ์ต่างล้มป่วยกันหมด มีเพียงเฉียวเวยกับวั่งซูที่ยังกระโดดโลดเต้นได้
ระหว่างที่ทุกคนห่มผ้าห่มตัวสั่นระริกอยู่ในห้อง วั่งซูก็สวมเสื้อนวมตัวน้อยบางจ๋อยตัวหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนพื้นหิมะ ใช้พลั่วไม้อันน้อยขุดหิมะทีละนิด
เฉียวเวยแบกท้องที่เริ่มนูนออกมานิดๆ มานั่งที่ระเบียงทางเดิน นางไม่สวมเสื้อนวม สวมแต่เสื้อแขนยาวชั้นเดียวกับกระโปรงคาดเอว กินนมแผ่นไปพลาง ตากลมเย็นไปพลาง
การเดินทางล่าช้าไปสองสามวัน เมื่อพวกเขาเข้ามาในเขตต้าเหลียงผ่านทางเมืองหยวนอัน พวกอวิ๋นซู่ก็เดินทางเข้าต้าเหลียงผ่านเมืองผูไปแล้ว
คราที่เหยาจวิ้นเดินทางออกจากต้าเหลียง นางมอบนักรบมรณะดาบยาวสี่คนให้เจ้าเมืองผู แต่อวิ๋นซู่ผ่านแดนครั้งนี้กลับมอบนักรบมรณะที่ใกล้จะกลายเป็นราชันอสูรคนหนึ่งให้เขาอย่างใจกว้าง
ว่าที่ราชันอสูรมีค่ามากกว่านักรบมรณะดาบยาวมากนัก เพียงแต่สิ่งที่เจ้าเมืองผูไม่ทราบก็คือว่าที่ราชันอสูรกับราชันอสูรแม้ชื่อต่างกันเพียงคำเดียว ทว่าหากไม่มีเม็ดยาพิษ ชั่วชีวิตนี้เขาก็อย่าคิดจะเลื่อนขั้น ยิ่งไปกว่านั้นแต่เดิมอวิ๋นซู่ก็ม่ได้ใจกว้างขนาดนั้นอยู่แล้ว
จีหมิงซิวไม่ใจดีถึงขนาดจะไปเตือนเขา หลังจากเข้าอาณาเขตผ่านเมืองหยวนอันก็ตรงไปที่เมืองฉีสุ่ยทันที
เพียงไม่นานไห่สือซานก็ส่งข่าวกลับมาแจ้ง ว่าที่ราชันอสูรที่อวิ๋นซู่ทิ้งไว้ที่เมืองผูคนนั้นพานักรบมรณะดาบยาวสี่คนหนีไป เจ้าเมืองผูโกรธแทบวางวาย อยากออกประกาศจับอวิ๋นซู่ แต่ไม่กล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงได้แต่กล้ำกลืนความแค้นนี้อยู่เงียบๆ
ต้องบอกว่าอวิ๋นซู่ร้ายกาจพอตัวทีเดียว ตอนแรกคิดว่าเข้ามาในเขตต้าเหลียงแล้วจะจับตัวเขาได้อย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่าพอเขาเดินทางผ่านเมืองฉีสุ่ยก็เหมือนระเหยหายไปจากโลก สือชีกับไห่สือซานค้นหาร่องรอยของเขาไม่พบแม้แต่นิดเดียว
“คงจะแปลงโฉมกระมัง” อี้เชียนอินเอ่ยขึ้นมา
เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่เขาขนโลงศพหยกโลงหนึ่งมาด้วย เป้าสายตาชิ้นใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีผู้ใดสงสัยบ้างเลยหรือ”
อี้เชียนอินจึงบอกว่า “ใกล้สิ้นปีแล้ว มีคนขนส่งสินค้ามากมาย เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนั้นย่อมมีหนทางหลบรอดไปได้”
จีหมิงซิวหันไปมองจีอู๋ซวง “เฝ้าทางเข้าสุสานองค์หญิงไว้แล้วใช่หรือไม่”
จีอู๋ซวงพยักหน้า “ข้าสั่งคนของพรรคโลหิตพิฆาตแล้วว่าให้คุ้มกันสุสานองค์หญิงกับค่ายประจิมไว้”
ในเมื่อจับตัวเขาระหว่างทางไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขวางเขาไม่ให้เข้าไปที่พระราชวังใต้ดิน
จีอู๋ซวงเอ่ยต่อว่า “จากข่าวที่ข้าได้รับมาตอนนี้ นอกจากฝ่าบาทที่แวะเวียนไปบางครั้งก็ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ทางเข้าพระราชวังใต้ดินอีก”
“ฝ่าบาทหรือ” นิ้วชี้ของจีหมิงซิวเคาะกับผิวโต๊ะเบาๆ สองสามหน “อีกนานเท่าไรกว่าจะถึงเมืองหลวง”
จีอู๋ซวงเปิดผ้าม่านมองท้องฟ้าที่เริ่มมืด “อย่างเร็วพลบค่ำก็คงถึง”
…
จังหวะที่ใกล้จะพลบค่ำเมืองหลวงมีหิมะตกปรอยๆ อุณหภูมิที่ต้าเหลียงสูงกว่าเยี่ยหลัวอยู่ไม่น้อย หิมะจึงอบอุ่นกว่ามาก รถม้าหรูหราโอ่อ่าคันหนึ่งแล่นมาจอดนอกสุสานองค์หญิงอย่างเชื่องช้า ด้านหน้ากับด้านหลังของรถม้ามีขบวนราชองครักษ์ติดตามมาสองขบวน
ขันทีเฒ่าผู้คอยดูแลสุสานก้าวเท้าเข้ามาหา แล้วช่วยเปิดผ้าม่านให้อีกฝ่าย เขาคุกเข่าบนพื้นกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ลงจากรถม้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึมโศกเศร้า เขาไม่หันมามองขันที แต่หันไปมองสุสานที่อยู่ท่ามกลางพายุหิมะ แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ออกไปให้หมด ข้าอยากคุยกับเจาหมิงตามลำพัง”
ขันทีเฒ่าไม่กล้าชักช้า เขาหลีกทางไปด้านข้าง “เชิญ ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทหารราชองครักษ์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็เดินผ่านหน้าขันทีเฒ่าตามไปด้วย เมื่อครู่ขันทีเฒ่าไม่ทันมองไปด้านหลังขบวนจึงไม่ทราบว่าทหารราชองครักษ์แบกสิ่งหนึ่งมาด้วย ตอนนี้เขาได้เพ่งมองจึงพบว่าพวกเขาแบกโลงศพหยกโลงหนึ่งอยู่
ขันทีเฒ่างุนงง “ฝ่าบาท…สิ่งนี้คือ…”
เพิ่งจะเอ่ยปากขันทีเฒ่าก็ตระหนักได้ว่าตนเองล้ำเส้นแล้ว ฝ่าบาทคิดจะทำสิ่งใด ใช่เรื่องที่บ่าวคนหนึ่งอย่างเขาจะถามได้หรือ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ขันทีเฒ่าประหลาดใจก็คือ ฮ่องเต้กลับยิ้มแล้วเอ่ยตอบเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “โลงศพหยกของเจาหมิงเก่าแล้ว ข้าจึงจะมาเปลี่ยนโลงใหม่ให้นาง”
ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่ตำหนิที่ตนปากมาก แต่ยังตอบตนอย่างอารี ขันทีเฒ่าตื่นตระหนกกับความเมตตาที่ได้รับ “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ฝ่าบาทช่างใส่พระทัยองค์หญิงยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ตอบว่า “นางเป็นอาเล็กของข้า ข้าย่อมสมควรดีต่อนาง”
ขันทีเฒ่ารีบค้อมกาย “ทูลเชิญฝ่าบาท”
…
ระหว่างที่รถม้าแล่นเข้ามาในเมืองหลวง จีหมิงซิวก็ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่เงียบๆ
“นายน้อย ท่านกำลังคิดสิ่งใดหรือ” จีอู๋ซวงถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้ากำลังคิดว่าในเมื่อฝ่าบาททราบแล้วว่าร่างของมารดาข้าไม่อยู่ในสุสาน เหตุใดจึงต้องแวะไปเยี่ยมนางอีก”
จีอู๋ซวงไม่ใช่คนโง่ พออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้วทันที “ท่านสงสัยว่า…”
จีหมิงซิวมุ่นคิ้วตอบว่า “ถูกต้องแล้ว ข้าสงสัยว่าคนผู้นั้นไม่ใช่ฝ่าบาท”
มือสังหารคนหนึ่งใช้วิชาตัวเบาเหินมาด้านนอกตัวรถ แล้วรายงานเสียงดัง “หัวหน้าพรรค ฝ่าบาทเสด็จไปที่สุสานองค์หญิงอีกแล้ว ทั้งยังนำโลงศพหยกโลงหนึ่งไปด้วย”
โลงศพหยกหรือ
อวิ๋นซู่!