หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 90 ราชันอสูรผู้เกรียงไกร (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 90 ราชันอสูรผู้เกรียงไกร (1)
ตอนที่ 90 ราชันอสูรผู้เกรียงไกร (1)
ฮ่องเต้นำขบวนทหารราชองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปด้านใน
ขันทีเฒ่าเห็นว่าตนเองอยู่รอดปลอดภัยก็ระริกระรี้ไปนำทางด้านหน้า แต่เดิมเขาคิดจะเรียกขันทีอายุน้อยในสังกัดมาสมทบสักหน่อย แต่เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าผู้อื่นตระเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมหมดแล้ว
ฮ่องเต้ช่างรักองค์หญิงพระองค์นี้เสียจริง ว่าแต่…ช่วงก่อนหน้านี้เขาได้ยินข่าวลือว่าความจริงองค์หญิงยังไม่สิ้นพระชนม์ แต่กลายเป็นฮองเฮาของเยี่ยหลัวไม่ใช่หรือ
เรื่องนี้ครึกโครมไปทั้งเมือง ไม่ว่าจะถนนตรอกซอกซอย โรงน้ำชาหรือเรือเริงรมย์ล้วนเล่าลือกันไปทั่ว เริ่มแรกฝ่าบาทแน่พระทัยแล้วว่าอีกฝ่ายคือองค์หญิง แต่ไม่รู้ว่าอย่างไรหลังจากทูตเยี่ยหลัวก่อเรื่องก่อราว ฝ่าบาทก็เริ่มมาเยี่ยมสุสานองค์หญิงอีกครั้ง
หรือว่าฮองเฮาพระองค์นั้นจะไม่ใช่องค์หญิงเจาหมิงตัวจริง เป็นเพียงคนที่หน้าเหมือนเล็กน้อยเท่านั้น
ขันทีเฒ่าคิดไม่ตก แต่ก็ไม่กล้าบังอาจไปคาดเดาพระทัยของฮ่องเต้ สรุปก็คือฝ่าบาทให้ทำสิ่งใด เขาทำตามพระประสงค์ก็พอแล้ว
ม่านราตรีค่อยๆ ทอดตัวลงมา โคมไฟถูกจุดสว่าง สุสานองค์หญิงถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางแสงโคมสว่างไสว ขบวนคนเดินทางมาถึงสุสานองค์หญิงอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
สุสานองค์หญิงเคยถูกยิ่นอ๋องกับเจาอ๋องบุกเข้ามาขุดเมื่อปีกลายเป็นเหตุให้ฮ่องเต้พิโรธอย่างยิ่ง ทว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นอัครมหาเสนาบดีก็เคยบุกเข้ามาเยือนสองหน แต่ฮ่องเต้กลับไม่ตรัสอันใด เห็นชัดว่าฝ่าบาททรงรักองค์หญิงเจาหมิงจนไปถึงกระดูกดำอย่างแท้จริง
ขันทีเฒ่านึกเศร้าใจ เขาหยุดยืนถือโคมอยู่หน้าสุสานแล้วโค้งคำนับให้ฮ่องเต้กราบทูลว่า “ฝ่าบาท ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะขุดดินยามนี้เลยหรือไม่”
เวลานี้จะไม่เหมาะเกินไปหรือไม่
ดีเลวก็จะทำการเปลี่ยนโลงศพให้องค์หญิงเชียวนะ ไม่ต้องรอโหรหลวงหาฤกษ์ยามหรอกหรือไร
ขันทีเฒ่ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว หลังจากฮ่องเต้ตรัสตอบในลำคอด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกคำหนึ่ง เขาก็หลีกทางให้อย่างสำเหนียกตนเอง
ขบวนทหารราชองครักษ์ถือพลั่วเหล็กก้าวไปข้างหน้าแล้วเริ่มขุดสุสานอย่างขันแข็ง
นี่เป็นสุสานขององค์หญิงเชียวนะ…ขันทีเฒ่าแหงนหน้าถอนหายใจกับแผ่นฟ้า
ทหารราชองครักษ์มีกำลังคนมาก พวกเขาร่วมไม้ร่วมมือกันไม่นานก็ขุดเปิดสุสานได้ โลงศพสีดำสนิทโลงหนึ่งปรากฏให้เห็น โลงศพโลงนี้เป็นเพียงสิ่งอำพรางตาเท่านั้น ใต้โลงศพมีกลไกซ่อนอยู่ หลังจากเปิดกลไกแล้วจึงจะเห็นอุโมงค์ทอดยาวเส้นหนึ่งนำไปสู่สุสานองค์หญิงที่แท้จริง
เพียงแต่ว่าโลงศพโลงนี้กว้างพอให้คนเดินผ่านเข้าไปได้ แต่ขนโลงศพหยกใหม่เอี่ยมใบนั้นเข้าไปด้านในไม่ได้
ฮ่องเต้ออกคำสั่งอีกหน ให้คนงัดโลงศพโลงนั้นขึ้นมาทั้งใบ จากนั้นรื้ออิฐตรงทางเข้าออกให้เกลี้ยง เมื่อเป็นเช่นนี้การลงไปในสุสานย่อมราบรื่นไร้อุปสรรค คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้เพิ่งนำโลงศพหยกเดินผ่านปากทางเข้าสุสาน ด้านหลังก็มีเสียงกีบเท้าม้าวิ่งมาอย่างรีบร้อน พระวรกายของฮ่องเต้หยุดชะงักไปจังหวะหนึ่ง
ขันทีเฒ่ามองตามเสียงไป ที่แห่งนี้คือสุสานองค์หญิง ผู้ใดกล้าขี่ม้าที่นี่กัน ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ
รอจนเสียงกีบเท้าม้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขันทีเฒ่าก็เห็นคนบนหลังม้าชัด เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงขวัญกล้าเช่นนี้ ขันทีเฒ่าค้อมกายอย่างนอบน้อม “บ่าวชรา คารวะใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี”
จีหมิงซิวรั้งสายบังเหียนแล้วพลิกกายลงจากหลังม้า การเดินทางหนนี้รีบเร่งอย่างยิ่ง เสื้อผ้าและเนื้อตัวของเขาจึงมอมแมมไม่เหมาะกับการเข้าเฝ้าสักนิด เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีเวลาสนใจรายละเอียดมากมายเพียงนั้น
ฮ่องเต้หันมาทอดพระเนตรจีหมิงซิว ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารีบร้อนกลับมาถึงเพียงนี้เชียว บอกว่าต้องใช้เวลาอีกสองสามวันไม่ใช่หรือ”
จีหมิงซิวมองเขาอย่างเชื่อครึ่งคลางแคลงครึ่ง “กระหม่อม…เคยกล่าวเมื่อใดว่าอีกสองสามวันจึงจะกลับมา”
ฮ่องเต้ตรัสอย่างประหลาดใจ “เจ้าให้คนส่งข่าวมาแจ้งข้าอย่างไรเล่า ก็คนสนิทข้างกาย…อะไรคนนั่นของเจ้า นามว่า…หมิง…หมิงอะไรนะ”
“หมิงอัน” จีหมิงซิวเอ่ยต่อให้
ฮ่องเต้อุทานออกมาคำหนึ่ง “ถูกแล้ว เขานั่นแหละ!”
จีหมิงซิวมองสำรวจฮ่องเต้ตาไม่กะพริบแล้วเอ่ยว่า “แต่ข้าไม่เคยสั่งให้เขาทำอะไร”
ฮ่องเต้ตะลึงงัน
จีหมิงซิวก้าวเข้าไปหาฮ่องเต้อย่างเชื่องช้า จากนั้นเอื้อมมือไปหาใบหน้าของเขา
ฮ่องเต้ไม่หลบ
ทหารราชองครักษ์ด้านข้างกลับเป็นฝ่ายถูกการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของจีหมิงซิวกระตุ้นจนชักกระบี่คู่กายข้างเอวออกมา
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นชา “ทำอันใด ถอยไป!”
ทหารราชองครักษ์ถอยออกไปอย่างลังเล
จีหมิงซิวไม่พบพิรุธใดๆ บนพระพักตร์ของฮ่องเต้ แน่นอนเขายังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายอาจจะใช้วิชาแปลงโฉมของวิชามาร แต่หากฮ่องเต้พระองค์นี้เป็นตัวปลอม ถ้าเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ควรจะไร้ความระแวงเช่นนี้
“เจ้าเป็นอันใดไป” ฮ่องเต้ถามจีหมิงซิว
จีหมิงซิวรั้งมือกลับมา เขามองฮ่องเต้อีกหนแล้วถอนหายใจเบาๆ บอกว่า “กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทเป็นคนอื่นปลอมตัวมา”
ฮ่องเต้สรวล “ผู้ใดจะกล้าปลอมตัวเป็นข้าเล่า” ทว่าเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ ฝ่าบาทก็หุบรอยยิ้ม ขมวดคิ้วตรัสว่า “เจ้าไม่ได้ให้ผู้ติดตามของเจ้าฝากคำพูดมาบอกข้าจริงหรือ”
จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ลังเล “ถ้าเช่นนั้น…”
จีหมิงซิวทราบว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ จึงส่ายหน้าบอกว่า “หมิงอันไม่มีทางทรยศ เป็นไปได้ว่าคงมีผู้อื่นปลอมเป็นเขา”
ฮ่องเต้นึกถึงผู้ติดตามที่หน้าตาเหมือนหมิงอันทุกประการ รูปลักษณ์เหมือน แม้แต่เสียงก็หาความแตกต่างไม่พบแม้แต่น้อยคนนั้น แล้วก็มองจีหมิงซิวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม “ดูท่า เจ้าคงจะไปล่วงเกินสุดยอดฝีมือคนใดในเยี่ยหลัวเข้าสินะ”
จีหมิงซิวตอบว่า “หากจะให้เล่าคงต้องเล่ายาวอย่างยิ่ง กลับไปกระหม่อมจะค่อยๆ อธิบายให้ฝ่าบาทฟัง เหตุใดฝ่าบาทจึงนำโลงศพหยกโลงหนึ่งมาที่นี่”
ฮ่องเต้บ่น “ก็ไม่ใช่…ผู้ติดตามตัวปลอมคนนั้นของเจ้านำข่าวมาบอกข้าหรือว่าเจ้าใกล้จะนำร่างของเจาหมิงกลับมาแล้ว โลงศพหยกใบเดิมชำรุดทรุดโทรมแล้ว ให้ข้าตระเตรียมใบใหม่มาใบหนึ่ง”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ “เรื่องนี้ท่านก็เชื่อด้วยหรือ”
ฮ่องเต้เงื้อพระหัตถ์ขึ้นมา “เจ้าเด็กคนนี้นี่!”
แต่สุดท้ายฝ่าพระหัตถ์ก็ไม่ได้ฟาดลงไป ดีเลวนี่ก็เป็นสุสานของเจาหมิง แม้ศพจะไม่อยู่ แต่ไม่แน่ว่าดวงวิญญาณอาจจะวนเวียนอยู่รอบๆ ก็เป็นได้ หากนางมองเห็นพระองค์ตบตีลูกชายของนาง นางคงจะเสียใจเป็นแน่
ฮ่องเต้ถลึงตาใส่จีหมิงซิวอย่างจนปัญญา “ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือไร เดินทางไปนานถึงเพียงนั้น แต่ไม่ส่งจดหมายกลับมาสักฉบับ หากไม่ได้ผู้ติดตามคนนั้นคอยส่งข่าวบอกข้าเป็นระยะ ข้าก็คิดว่าเจ้าไปตายอยู่ข้างนอกนั่นแล้ว!”
สิ่งที่เรียกกันว่าเป็นห่วงจึงว้าวุ่นก็เป็นเช่นนี้เอง
จีหมิงซิวปรับสีหน้ากลับมาวางสีหน้าดีๆ แล้วถามอย่างนอบน้อมว่า “ฝ่าบาทแก้พิษแล้วหรือ” จีหมิงซิวถามถึงพิษหยกเถาวัลย์ม่วงที่เขามอบยาแก้พิษให้ฮ่องเต้ก่อนออกเดินทาง
ฮ่องเต้ขานอืมคำหนึ่งอย่างเฉยชา แต่เดิมอยากจะจับจีหมิงซิวมาดุด่าสักยก แต่เมื่อเห็นเขาผอมลงไปมาก คำดุด่าสักคำก็ตรัสไม่ออก “เสี่ยวเวยกับหมิงเยี่ยเป็นเช่นไรบ้าง ตามหาเด็กๆ พบหรือไม่”
จีหมิงซิวพยักหน้า “กลับมากันครบทุกคนพ่ะย่ะค่ะ รายละเอียด…วันหลังกระหม่อมจะเล่าให้ฝ่าบาทฟังอย่างละเอียดอีกที”
ฮ่องเต้หน้าดำทะมึน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เพิ่งจะกลับมาก็จะไปอีกแล้วหรือ”
จีหมิงซิวค้อมกายเล็กน้อย “กระหม่อมทูลลาเสด็จพี่”
“เจ้า…” ฮ่องเต้โกรธจนเกือบวางวาย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่คือสุสานของเจาหมิงก็สูดหายใจลึกๆ ข่มความอยากจะลากตัวจีหมิงซิวมาตีให้หนักๆ ลงไป
ขันทีเฒ่าเดินเข้ามาถามอย่างกระอักกระอ่วน “ฝ่าบาท แล้วตอนนี้จะทรง…”
“ทรงอะไร” ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เขา พอหันไปเห็นสุสานที่ถูกขุดจนเละเทะไปหมด พระทัยก็หงุดหงิดสั่งว่า “ถม ถมให้หมด ถมให้หมดเดี๋ยวนี้!”
ตอนที่จีหมิงซิวกลับมาถึงรถม้า จีอู๋ซวงก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานจากปากนักฆ่าแล้ว เขาถามอย่างคลางแคลง “คนสนิทตัวปลอมคนนั้นคงจะเป็นคนที่อวิ๋นซู่ส่งมา เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้ เหตุไฉนต้องหลอกฝ่าบาทมาที่สุสานด้วย”
บนรถม้านอกจากจีหมิงซิวกับจีอู๋ซวง ยังมีอี้เชียนอินอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน
อี้เชียนอินกะพริบตา “ไม่ใช่ว่าใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมกระมัง”
“ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมหรือ” จีอู๋ซวงหันมามอง
อี้เชียนอินเลิกคิ้วอธิบายว่า “ไหนบอกว่ามีทางเข้าพระราชวังใต้ดินสองทางไม่ใช่หรือ ทางหนึ่งคือสุสานองค์หญิง อีกทางหนึ่งคือค่ายประจิม อวิ๋นซู่จะสร้างกลลวงดึงสายตาของพวกเรามาฝั่งนี้ แต่ความจริงตัวเขามุ่งหน้าไปอีกฝั่งหรือไม่”
จีอู๋ซวงวิเคราะห์ “เท่าที่รู้ความลับของค่ายประจิมไม่เคยถูกเผยแพร่ออกไปข้างนอก แต่ความลับเรื่องพระราชวังใต้ดินก็ไม่เคยเผยแพร่ให้คนนอกรู้เช่นกัน แต่อวิ๋นซู่ก็ยังรู้จักพระราชวังใต้ดิน เขาจะรู้ความลับของค่ายประจิมก็ไม่น่าแปลกใจ”
กล่าวจบจีอู๋ซวงก็นั่งกุมมือ เล่ห์เหลี่ยมของบุรุษผู้นี้ช่างทำให้คนหวาดผวาจริงๆ
ทางเข้าตรงภูเขาด้านหลังค่ายประจิมมีท่านยายเมิ่งเฝ้าอยู่ ท่านยายเมิ่งไม่มีทางยอมให้ผู้ใดนอกจากจีหมิงซิวเข้าไป หากอีกฝ่ายจะฝืนบุกเข้าไปก็มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสังหารครอบครัวของท่านยายเมิ่งเสีย
อี้เชียนอินนึกเรื่องนี้ออกอย่างรวดเร็ว เขาอุทานออกมาเสียงดัง “พวกท่านยายเมิ่งตกอยู่ในอันตรายแล้วไม่ใช่หรือ”
จีอู๋ซวงรีบร้อนอาสาว่า “นายน้อย ข้าจะพาคนไปเดี๋ยวนี้”
อี้เชียนอินลุกขึ้นบอกว่า “ข้าไปเองดีกว่า ข้าไวกว่าเจ้า!”
อี้เชียนอินเลือกอาชาเหงื่อโลหิตตัวหนึ่งจากนั้นห้ออาชาไม่หยุดพัก มีจังหวะหนึ่งราชันอสูรเปิดผ้าม่านของรถม้าออกมาพอดี เงาดำร่างหนึ่งพุ่งผ่านหน้าเขาไปดุจพายุหมุน แล้วเฉี่ยวเอาถั่วเคลือบน้ำตาลของเขาติดไปด้วย!
ราชันอสูรเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ชั่วพริบตาต่อมาเขาก็กระโดดฟึบลงจากรถม้าวิ่งหายไปไวดุจพายุหมุนเช่นเดียวกัน
อี้เชียนอินควบม้าไปเรื่อยๆ เสียงกีบเท้าม้ากลับเงียบหายไป ทิวทัศน์รอบด้านเลื่อนลงไปอยู่ต่ำกว่าเดิม
ข้าคิดไปเอง หรือว่าอาชาตัวนี้บินได้
เขาร้องเอ๋ออกมาอย่างงุนงง แล้วจึงก้มลงไปดู แล้วก็เห็นว่าอาชาของเขาบินอยู่จริงๆ
เขาตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน!
ราชันอสูรยกม้าของเขาพุ่งทะยานไปด้านหน้าด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ
ความเร็วนั่นน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก แผงร้านค้าข้างทางทั้งหมดถูกลมพัดจนล้มคว่ำ คนเดินเท้าที่สัญจรไปมาเห็นเพียงเงาเลือนรางสายหนึ่ง
แก้มของอี้เชียนอินถูกลมหนาวพัดจนเปลี่ยนรูป เขาส่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นเขาอยากจะเหลือเกินบอกว่า….
ท่าน…ท่านแบกข้าก็พอแล้ว ท่านจะแบกม้ามาด้วยทำอะไร!