หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 91 ราชันอสูรผู้เกรียงไกร (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 91 ราชันอสูรผู้เกรียงไกร (2)
ตอนที่ 91 ราชันอสูรผู้เกรียงไกร (2)
อี้เชียนอินไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองมีชีวิตรอดไปถึงค่ายประจิมได้อย่างไร เขาใช้ชีวิตมาเกือบยี่สิบปี เพิ่งจะพบว่าตนเองเมาม้าเป็นครั้งแรก!
ม้า “…”
ข้าเองก็เมาเหมือนกันนั่นแหละ!
ถูกคนขี่หลังมาครึ่งชีวิต เพิ่งจะเคยขี่ผู้อื่นเป็นหนแรก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นประสบการณ์เช่นนี้ มิน่าเล่ามนุษย์จึงเอาแต่ขี่ม้า ที่แท้ก็เพราะหวังดีกับม้านี่เอง!
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ใดไม่ให้มนุษย์ขี่หลังมัน มันจะสู้กับคนผู้นั้น!
หลังจากบุกป่าฝ่าดงข้ามเขาข้ามดอยสุดท้ายก็มาถึงที่หมาย ราชันอสูรปล่อยหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งอาชาลงมา หนึ่งมนุษย์กับหนึ่งอาชานอนพังพาบอยู่บนพื้น แข้งขากับหน้าท้องสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือด ลมหายใจหอบหนัก ฟ้าดินเหมือนจะพลิกพลับหัวกลับหาง
ราชันอสูรหยิบถั่วเคลือบน้ำตาลมาเคี้ยวกร้วมๆ ลมหายใจไม่หอบ หน้าไม่แดงสักนิด
เมื่อราชันอสูรกินถึงเม็ดที่สามสิบเจ็ด อี้เชียนอินก็กลับมาหายใจปกติได้ในที่สุด อี้เชียนอินมองราชันอสูรผู้เส้นผมไม่ยุ่งเหยิงสักเส้น แล้วหันกลับมามองตนเองที่ถูกลมพัดจนสภาพเหมือนประชาชนผู้ประสบภัย ในพริบตานั้นเขารู้สึกชีวิตช่างโหดร้ายกับเขาจนต้องเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต
โชคยังดีที่อี้เชียนอินจำได้ว่าตนเองมาค่ายประจิมเพื่อทำสิ่งใด เขารั้งสายตากลับมาวางหน้านิ่งขรึมเดินตุปัดตุเป๋ไปทางบ้านของท่านยายเมิ่ง
จากตรงนี้ไปถึงค่ายประจิมยังต้องเดินทางอีกระยะหนึ่งและต้องผ่านหมู่บ้านน้อยแห่งหนึ่ง ระหว่างที่อี้เชียนอินเดินผ่านปากทางเข้าหมู่บ้านเขาก็พลันได้ยินเสียงปี่
เขาหันไปมองตามเสียงก็พบว่าบนทางเส้นน้อยไม่ไกลนักมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังจัดพิธีไว้ทุกข์ ภรรยากับลูกน้อยที่มาส่งคนตายร่ำไห้จนหายใจไม่ทัน ชายฉกรรจ์แข็งแรงบึกบึนหลายคนแบกโลงศพที่ภายนอกดูไม่สะดุดตาโลงหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่ชวนให้คนสงสัยก็คือ โลงศพใบนั้นใหญ่โตกว่าโลงศพที่อี้เชียนอินเคยเห็นมาอย่างเห็นได้ชัด
หรือว่าด้านในโลงศพจะเป็นโลงศพหยก
สายตาของอี้เชียนอินเลื่อนไปจับบนเท้าของชายฉกรรจ์แปดคนนั้น ดูจากฝีเท้าของพกวเขา แต่ละคนล้วนมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา แต่พอหันไปมองภรรยากับพวกลูกน้อยที่ร่ำไห้ไว้อาลัยอยู่ก็พบว่าพวกเขาแต่งตัวเหมือนชาวบ้านยากจนในหมู่บ้าน ในหมู่บ้านมีคนตายกลับมีปัญญาเรียกยอดฝีมือในยุทธภพมากมายเช่นนี้มาแบกโลงศพเช่นนั้นหรือ
เมื่อคิดเช่นนี้อี้เชียนอินก็แทบจะแน่ใจแล้วว่าในโลงศพจะต้องมีอะไรอยู่แน่นอน
อี้เชียนอินไม่พูดพร่ำใช้วิชาตัวเบาเหินเข้าไปทันที เขาตีลังกาอย่างว่องไวกลางอากาศหนึ่งหนแล้วเหยียบบนโลงศพอย่างมั่นคง ย่ำโลงศพเกิดเสียงดังตึง!
ชายฉกรรจ์ที่แบกโลงศพทั้งแปดคนไม่มีใครคิดว่าจะมีคนมาลอบจู่โจมโลงศพของพวกเขา จึงไม่ทันระวังสักนิด ทุกคนทรุดลงไปหมอบอยู่กับพื้น
“ว้าย ผู้ใดกัน เจ้าเป็นผู้ใด” ฮูหยินเฒ่าที่ร่ำไห้ไว้อาลัยอยู่กระโจนเข้ามาหาอี้เชียนอิน
อี้เชียนอินไม่เหลือบมองนางแม้แต่หนเดียว เขาชักกระบี่ยาวข้างเอวฟันเชือกบนโลงศพขาดสะบั้น หลังจากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกมาอย่างแรง ตบฝาโลงกระเด็นปลิวไป
การลงมือรุนแรงเช่นนี้ทำให้ทุกคนที่นั่นตกตะลึง
อี้เชียนอินมีสติแจ่มชัดยิ่งนัก เขาสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปจับขอบโลงศพแล้วชะโงกหน้าลงไปดู ทว่าเมื่อเขาเห็นภาพด้านในชัดเจน เขาก็ตะลึงตาค้างพูดไม่ออก!
ด้านในมีโลงศพอะไรที่ไหนเล่า มีแต่บุรุษฉกรรจ์ที่รูปร่างบึกบึนใหญ่โตกว่าคนธรรมดาคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่
ฮูหยินเฒ่ากระโจนเข้ามาพร้อมน้ำหูน้ำตา “เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงไม่ยอมให้ข้าพาลูกชายไปฝัง เจ้าคิดจะทำอะไร เจ้าไอ้คนใจบาปหยาบช้า…”
ฮูหยินเฒ่าด่าเสร็จก็ยังรู้สึกว่าไม่พอจึงถอดรองเท้า ใช้พื้นรองเท้าตบบ้องหูอี้เชียนอินเต็มแรง!
อี้เชียนอินถูกตบจนสภาพอนาถอย่างยิ่ง
…
หลังจากนั้นอี้เชียนอินก็เดินทางไปค่ายประจิม เขาเพิ่งทราบว่ามีพ่อครัวในค่ายคนหนึ่งเสียชีวิต พ่อครัวคนนี้เป็นคนในหมู่บ้าน ที่บ้านมีมารดาชรา พี่ชายคนหนึ่งกับพี่สะใภ้และหลานตัวน้อยอีกหลายคน ตัวเขาเองเป็นชายโสด แต่นิสัยดีไม่เลว หลังจากเขาล้มป่วยจากไป พลทหารในค่ายที่สนิทกันหลายคนจึงมาแบกโลงศพของเขาไปฝัง
เรื่องนี้คงปลอมกันไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับอวิ๋นซู่แม้แต่น้อย เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง!
หลังเกิดเรื่องอี้เชียนอินจึงเดินทางไปที่บ้านของท่านยายเมิ่ง ครอบครัวของท่านยายเมิ่งสามรุ่นอยู่ด้วยกันอย่างสุขสันต์ พอเห็นอี้เชียนอินจมูกเขียวหน้าบวมกก็ทำหน้างุนงง
อี้เชียนอินไม่รู้ว่าตนเองกลับมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร
เขามองราชันอสูรอย่างคับแค้น มิน่าหลังจากเดินทางไปค่ายประจิมแล้วเจ้าหมอนี่ถึงเอาแต่นั่งกินถั่วเคลือบน้ำตาลอยู่ใต้ต้นไม้ เขาคงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในโลงศพไม่มีสิ่งใดผิดปกติทั้งสิ้น…
…
อวิ๋นจูไม่ชอบพบเจอผู้คน ดังนั้นนางจึงไม่เข้าไปอาศัยในจวนสกุลจี และไม่เข้าไปอาศัยที่จวนสกุลเฉียว แต่อาศัยอยู่ที่เรือนสี่ประสานซึ่งเคยเป็นที่อาศัยของเจาหมิงสมัยยังมีชีวิตอยู่ เมื่อปีกลายเรือนสี่ประสานทำการขยับขยายเรือนไปหนึ่งหน ห้องหับจึงมีมากพอและใหญ่พอให้ทุกคนพักอาศัย ฮองเฮาเยี่ยหลัวกับองค์ชายสามก็พักอาศัยอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน
เฉียวเวยกับฟู่เสวี่ยเยียนช่วยกันจัดแจงข้าวของ หลังจากเก็บข้าวของเสร็จฟ้าก็มืดพอดี พวกนางจึงพาเด็กๆ เข้าไปพัก หอหลิงจืออยู่ไม่ไกลดังนั้นเฮ่อหลันชิงกับเฉียวเจิงก็ไม่รีบร้อนเดินกลับไปที่นั่น พวกเขาจึงอยู่ที่เรือนสี่ประสานต่ออีกพักหนึ่ง
เรือนสี่ประสานไม่เคยคึกคักเช่นนี้มาก่อน พ่อครัวหยางกับลี่ว์จูงานยุ่งจนแทบทำไม่ทัน
จังหวะที่อี้เชียนอินเดินเข้ามาในเรือนสี่ประสานในสภาพมอมแมม ลี่ว์จูกำลังจะออกไปซื้ออาหารสดใหม่จากครอบครัวชาวไร่ชาวนาอยู่พอดี
ทั้งสองคนชนกันอย่างจัง
ลี่ว์จูกวาดสายตามองเขาไวๆ หนึ่งหน จากนั้นดวงตาก็ฉายแววเวทนาจางๆ นางเปิดกระเป๋าเงินแล้วคว้ามือเขามาวางเหรียญทองแดงหลายเหรียญลงบนนั้น “ไปซื้อซาลาเปากินสักสองสามลูกเถิดนะ เย็นย่ำแล้ว รีบกลับบ้านเข้าใจหรือไม่”
อี้เชียนอิน “…”
…
สุดท้ายของสุดท้ายก็เป็นเฮ่อหลันชิงที่ออกมาพบอี้เชียนอินแล้วหิ้วคอเขาเข้ามาด้านใน
อี้เชียนอินเล่า ‘เรื่องราวที่เกิดขึ้น’ ที่ค่ายประจิมให้ทุกคนฟังโดยเว้นเรื่องที่ตนเองถีบโลงศพของผู้อื่นไป เล่าเพียงว่าอวิ๋นซู่ไม่ได้เดินทางไปใกล้ค่ายประจิมเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงสงสัยขึ้นมาว่าหากอวิ๋นซู่ไม่ได้ไปค่ายประจิม และเขาไม่ได้ใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม ถ้าเช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาจึงต้องล่อฮ่องเต้ไปที่สุสานองค์หญิงด้วยเล่า หลอกคนเล่นอย่างนั้นหรือ
เฉียวเวยครุ่นคิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ นางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อวิ๋นซู่คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ เขาคงไม่ได้ใช้เล่ห์กลหลอกฮ่องเต้เปล่าๆ หรอกกระมัง”
อี้เชียนอินพยักหน้า “ใช่แล้ว ดูอย่างไรเขาก็คิดจะใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมล่อพวกเราไปที่สุสานองค์หญิงเพื่อที่เขาจะได้ไปค่ายประจิมเข้าไปในพระราชวังใต้ดินชัดๆ…เขากำลังเล่นเกมอันใดกันแน่”
จีอู๋ซวงขบคิด จากนั้นก็สันนิษฐานว่า “หรือว่า…เขาจะเปลี่ยนแผนกะทันหัน”
“หมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยมองจีอู๋ซวงอย่างงุนงง
จีอู๋ซวงครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทบอกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หมิงอันตัวปลอมคนนั้นรายงานข่าวของนายน้อยให้พระองค์ฟังอยู่ตลอด หนึ่งเดือนก่อนบังเอิญตรงกับวันที่อวิ๋นซู่ออกจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์พอดี นี่บ่งชัดว่าตั้งแต่วันที่อวิ๋นซู่เดินทางออกมาวันนั้น เขาก็วางแผนก้าวนี้เอาไว้แล้ว เรื่องที่เขาคิดจะใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมคงเป็นเรื่องจริง เพียงแต่แผนการก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลง ฝั่งของเขาคงเกิดสถานการณ์อะไรเฉพาะหน้าขึ้นมา จึงทำให้เขาไม่อาจยกทัพบุกไปที่พระราชวังใต้ดินได้อย่างราบรื่น”
“จะเกิดสถานการณ์อะไรได้เล่า” เฉียวเวยถาม
จีอู๋ซวงส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามสรุปเอง บางทีเขาอาจบาดเจ็บ หรือบางทีเขาอาจเลื่อนขั้น…สรุปก็คือจะต้องเป็นสถานการณ์ที่ตัวเขาเองไม่อาจควบคุมได้บางอย่าง”
จีหมิงซิวผู้เงียบงันมาตลอดจู่ๆ ก็เปิดปากขึ้น “อวิ๋นซู่เป็นคนเจ้าแผนการ เขาไม่มีทางยอมให้ข้างกายตัวเองมีสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้”
จีอู๋ซวงกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยนัก “หากไม่เกิดสถานการณ์อะไรขึ้น เหตุไฉนเขาจึงไม่ปรากฏตัวเล่า”
คนในห้องมากกว่าครึ่งเห็นด้วยกับจีอู๋ซวง ดูจากแผนการที่อวิ๋นซู่ล่อฮ่องเต้ให้ขนโลงศพหยกไปที่สุสานองค์หญิง เขาคงตั้งใจจะใช้ฮ่องเต้ดึงสายตาของพวกเขาจริงๆ แต่เขากลับไม่ปรากฏตัว จะต้องเป็นเพราเกิดสถานการณ์ที่ตัวเขาเองไม่อาจควบคุมได้แน่ๆ
เฮ่อหลันชิงยืดขายาวๆ ของตนออกมา “พอแล้ว ไม่ต้องเดาแล้ว ไปอาบน้ำนอนไป! มาถึงเมืองหลวงกันหมดแล้วยังจะปล่อยเขาหนีไปได้อีกหรือ”
แต่ละคนจึงแยกย้ายกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่ออาบน้ำอาบท่า
ในเรือนตะวันออกลี่ว์จูเตรียมอ่างอาบน้ำควันฉุยสามอ่างไว้นานแล้ว เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามคนถอดเสื้อผ้า กระโดดจ๋อมลงไปทีละคน
จิ่งอวิ๋นกระโดดลงไปเสร็จก็คิดในใจ น้ำกำลังพอดีเชียว
หลิวเกอร์กระโดดลงไปเสร็จก็คิดในใจบ้าง น้ำกำลังพอดีเชียว
พอถึงตาวั่งซูกระโดดลงไปบ้าง น้ำ…น้ำหายไปไหนหมดแล้วเล่า
ข้างอ่างอาบน้ำทั้งสามมีกระป๋องใบน้อยสามใบวางอยู่ด้วย พวกมันคือสิ่งของที่เจ้าตัวน้อยทั้งสามตัวเคยใช้อาบน้ำ
เสี่ยวไป๋กระโดดลงไปเสร็จก็คิดในใจว่า น้ำกำลังพอดีเลยเชียว
จูเอ๋อร์กระโดดลงไปเสร็จก็คิดในใจเหมือนกันว่า น้ำกำลังพอดีเลยเชียว
พอถึงตาต้าไป๋กระโดดลงไปบ้าง…เอ๋ ไฉนยัดตัวลงไปไม่ได้แล้วเล่า…
…
หลังจากยุ่งวุ่นวายกันอยู่สองชั่วยาม เฉียวเจิงกับเฮ่อหลันชิงก็กลับหอหลิงจือ คนที่เหลือต่างห่มผ้านวมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสุขสันต์
ลมหนาวพัดโคมไฟแปดเหลี่ยมตรงชานเรือนเงียบงัน เงาโคมแกว่งไกว เงาใบไม้พลิ้วไหว ทันใดนั้นเหยี่ยวตัวหนึ่งก็กางปีกอันใหญ่โตบินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันร่อนลงมาเกาะบนยอดหลังคาก่อน จากนั้นหยุดครู่หนึ่งก็ร่อนลงมาเกาะตรงขอบหน้าต่างของเรือนตะวันออก
ภายในเรือนตะวันออกมีเตียงอยู่สองหลัง หลังหนึ่งเป็นของจีหมิงซิวกับเฉียวเวย อีกหลังหนึ่งเป็นของเด็กน้อยสามคน การรีบเร่งเดินทางติดกันหลายวันทำให้ทุกคนเหน็ดเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว แม้แต่เสี่ยวไป๋กับต้าไป๋ก็นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดทั้งสิ้น
เหยี่ยวตวัดสายตาอันคมกริบกวาดมอง จากนั้นจึงใช้จงอยปากนกเปิดหน้าต่างอย่างแผ่วเบา การเคลื่อนไหวของมันแผ่วเบาอย่างยิ่ง ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย มันกระพือปีกพรึ่บพรั่บเตรียมจะบินเข้าไป ทว่าในพริบตานั้นเองมันก็มองเห็นนกตัวใหญ่ที่ขนาดตัวมโหฬารกว่ามันหลายสิบเท่าตัวหนึ่ง!
นกใหญ่มองมันด้วยจิตสังหารข้นคลั่ก
เหยี่ยวตกใจจนขนนกพองฟู! ปีกน้อยๆ กระพือพรึ่บพรั่บหวิดจะร่วงตกไปจากขอบหน้าต่าง! อินทรีทองไม่รอช้าอ้าปากสีแดงสดพุ่งเข้าไปจิกมัน! เหยี่ยวถูกจิกจนขนหลุดไปกระจุกใหญ่ มันกระโดดโหยงเหยงกระพือปีกพาร่างกายที่เจ็บไปทั่วทั้งตัวบินหนี แล้วบินหายลับเข้าไปในราตรี
ทว่าอินทรีทองไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย มันบินฟิ้วไล่ตามออกไป!
เจ้าเหยี่ยวขุดเอาเรี่ยวแรงที่สั่งสมมาจากการกินเนื้อบินหายเข้าไปในจวนขนาดเล็กแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของเมืองอย่างไม่คิดชีวิต อินทรีทองบินวนรอบท้องฟ้าเหนือจวนหลังนั้นรอบหนึ่ง สายตาวิหคฉายแววหวาดกลัววูบหนึ่งจากนั้นจึงบินกลับไปยังเรือนสี่ประสาน