หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 92-1 ลงมือและประมือ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 92-1 ลงมือและประมือ
ตอนที่ 92-1 ลงมือและประมือ
อินทรีทองเพิ่งเปลี่ยนกรงเล็บกลไกมาเมื่อไม่นานมานี้ มันยังพยายามปรับตัวเข้ากับกรงเล็บกลไกอยู่ ยามร่อนลงพื้นจึงเซวูบหนึ่งร่วงตุ้บลงไปในอ่างทองแดงใบใหญ่
ด้านข้างอ่างทองแดงคือถังน้ำใบหนึ่ง ด้านข้างถังน้ำมีโถน้ำใบหนึ่ง
อ่างกระแทกถัง ถังกระแทกโถร่วงตกเสียงดังโครมคราม
แทบทุกคนสะดุ้งตื่น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแบกหัวที่ฟูเป็นรังนก พุ่งไปคว้าไม้กวาดแล้ววิ่งเท้าเปล่าออกมาจากห้อง “ผู้ใด ผู้ใดบุกเข้ามาดึกดื่นเที่ยงคืน!”
อินทรีทองกระพือปีกพรึ่บพรั่บ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองมันแล้วถอนหายใจยาว “เจ้าเองหรือ เจ้านี่นะดึกดื่นเที่ยงคืนไม่หลับไม่นอน วิ่งออกมาเล่นอะไรหืม”
จีหมิงซิวเองก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วย เขามองเฉียวเวยที่อยู่ด้านข้างเป็นอย่างแรก แล้วก็พบว่าเฉียวเวยตลบผ้าห่มลุกออกไปตั้งแต่เสียงดังจังหวะแรกแล้ว นางพุ่งไปที่เตียงอีกหลังหนึ่งแล้วกอดจิ่งอวิ๋นที่ตื่นตกใจเข้ามาในอ้อมแขน
จิ่งอวิ๋นเป็นคนนอนหลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นง่ายดายอย่างยิ่ง
จิ่งอวิ๋นตัวสั่นเทา แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นว่าตนเองถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย ดวงตาทั้งสองข้างจึงปิดลงแล้วสะลึมสะลือหลับไปอีกหน เฉียวเวยก็หลับตามไปด้วย
เฉียวเวยไม่ได้ตื่นขึ้นมาเต็มตา นางเพียงพุ่งออกไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
จีหมิงซิวอุ้มจิ่งอวิ๋นออกจากอ้อมแขนของนางแล้วยัดกลับเข้าไปในผ้าห่ม หลังจากนั้นก็อุ้มนางกลับมาบนเตียงแล้วดึงผ้านวมห่มให้นาง ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว เขาก็เดินออกจากเรือนตะวันออก ในเรือนเงียบสนิทแล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนกลับห้องไปแล้ว อวิ๋นจูก็กลับไปแล้วเช่นกัน
เมื่ออวิ๋นจูเดินจากไปแล้ว ราชันอสูรก็เดินจากไปด้วย ราชันอสูรเดินตามหลังอวิ๋นจูต้อยๆ พออวิ๋นจูดึงประตูเปิดเข้าไปในห้อง ราชันอสูรก็ทำท่าจะตามเข้าไป
อวิ๋นจูหันกลับไปมองเขา “ทำอะไร”
ราชันอสูรหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องของตนเงียบๆ อย่างหงุดหงิด
ไห่สือซาน สือชี เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับอี้เชียนอินยืนอยู่ในลานบ้าน ตรงกลางของพวกเขาคืออินทรีทองที่แหงนคอยืดอกอยู่ อินทรีทองคายขนเหยี่ยวในปากออกมาแล้วใช้จงอยปากนกเขี่ยเบาๆ
ขาที่บาดเจ็บของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหายดีแล้ว เขาจึงเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ เขานั่งยองๆ ลงมาเก็บขนนกหลายเส้นนั้นขึ้นมาดู แล้วก็เอ่ยอย่างฉงนงงงวยว่า “นี่มันขนเหยี่ยวไม่ใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงเหยี่ยว ทุกคนก็นึกถึงเหยี่ยวที่เคยโจมตีจิ่งอวิ๋นและเคยขโมยตำราฝ่ามือเก้าสุริยันตัวนั้นพร้อมกัน เจ้านั่นไม่ใช่เหยี่ยวที่ดีอะไร!
“ตรงนี้ก็มี!” หางตาของอี้เชียนอินเหลือบไปเห็นขนนกกระจุกหนึ่งใต้หน้าต่างของเรือนตะวันออก
อินทรีทองเพิ่งกลับมา มันยังไม่ทันขยับไปทางหน้าต่างด้านนั้น แต่ตรงหน้าต่างกลับมีขนเหยี่ยวพวกนี้อยู่ ไยมิใช่หมายความว่าก่อนหน้านี้เจ้าเหยี่ยวตัวนี้เคยมาตรงนี้แล้ว
ทุกคนมองไปที่หน้าต่างเรือนตะวันออกอย่างพร้อมเพรียง
เจ้าเหยี่ยวนั่นคิดจะเข้าไปที่เรือนตะวันออกหรือ
ในเรือนตะวันออกมีจีหมิงซิว เฉียวเวยกับเด็กน้อยสามคน เจ้าเหยี่ยวนั่นคิดจะทำอันใด
อี้เชียนอินมองขนเหยี่ยวในมือ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก็โพล่งออกมาว่า “อินทรีทองบินกลับมาจากด้านนอก มันน่าจะไล่ตามเหยี่ยวไป รู้หรือไม่ว่ารังของเจ้าเหยี่ยวตัวนี้อยู่ที่ไหน”
ประโยคสุดท้ายแน่นอนว่าพูดกับอินทรีทอง
อินทรีทองกระพือปีกพรึ่บพรั่บตอบรับ
หากเหยี่ยวตัวนี้คือเหยี่ยวมื่อครั้งนั้นจริง ถ้าเช่นนั้นมันจะต้องอยู่กับคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์แน่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเสนอว่า “ข้ากับสือชีจะไปดูสักหน”
อี้เชียนอินแย้ง “เจ้าขาเจ็บเพิ่งหายดี ข้าไปกับสือชีดีกว่า”
“ข้าไปเอง”
“ข้าไปเอง!”
“ข้าไปดีกว่า!”
“ก็บอกว่าข้าจะไปเองอย่างไรเล่า!”
ทั้งสองคนหันขวับไปมองสือชีแล้วถามเป็นเสียงเดียวกัน “สือชี เจ้าจะไปกับผู้ใด”
สือชีหมุนเท้าเดินกลับเข้าห้อง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “…”
อี้เชียนอิน “…”
…
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม อี้เชียนอินกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็มาโผล่ที่ตรอกน้อยแห่งหนึ่งทางใต้ของเมืองหลวง เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งสองคนจึงไม่ขี่ม้าและไม่นั่งรถม้า แต่ใช้วิชาตัวเบินเหินมาตามถนน
หากเป็นก่อนหน้านี้ใช้วิชาตัวเบานานถึงเพียงนี้ ทั้งสองคนคงเหนื่อยจนหมอบกระแตแล้ว แต่ในช่วงเกือบครึ่งปีที่ผ่านมาวรยุทธ์ของทั้งสองคนก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นเดินทางระยะทางเท่านี้จึงเพียงหอบเบาๆ เท่านั้น
อินทรีทองบินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือจวนหลังน้อย
มันเป็นวิหค คนปกติทั่วไปไม่ระวังมันนัก แต่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับอี้เชียนอินล้วนเป็นยอดฝีมือในด้านวรยุทธ์ หากกลิ่นอายเผยออกไปภายนอกแม้เพียงนิดย่อมเปิดเผยตัวตนได้ง่ายดายอย่างยิ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่งสัญญาณมือ อี้เชียนอินเข้าใจ ทั้งสองคนกดกลิ่นอายของตนเองให้เหลือน้อยที่สุด หลังจากนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ลอบเข้าไปในจวน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นจึงให้อี้เชียนอินลอบตามเข้าไปในจวนด้วย
จวนหลังนี้ดูแล้วไม่ใหญ่โตนัก แต่ใครจะรู้ว่าท้ายจวนกลับเชื่อมทะลุกับจวนด้านข้างสองหลัง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่งสัญญาณมือ มีคนอยู่มากพอตัว
อี้เชียนอินส่งสัญญาณมือตอบ มีราชันอสูรอยู่ด้วยหรือไม่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถลึงตาใส่เขาอย่างดูแคลน เจ้าคิดว่าราชันอสูรเป็นผักในตลาดหรือไร
อี้เชียนอิน แล้วมีราชันอสูรหรือไม่เล่า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมุมปากกระตุก
นักรบมรณะคนหนึ่งลาดตระเวนผ่านมา ทั้งสองคนหลบไปอยู่หลังต้นไม้ พยายามกลั้นลมหายใจสุดความสามารรถ
นักรบมรณะเดินผ่านทั้งสองคนไป
แวบแรกที่เห็นนักรบมรณะ ทั้งสองคนก็แทบจะแน่ใจแล้วว่าที่แห่งนี้คือฐานที่มั่นของอวิ๋นซู่ เพียงแต่มันเป็นฐานที่มั่นแห่งเดียวของอวิ๋นซู่หรือไม่ ยังต้องรอการยืนยันอีกครั้ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับอี้เชียนอินตัดสินใจแยกกันทำงาน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยค้นจวนหลังนี้ ขณะที่อี้เชียนอินไปค้นจวนด้านข้างฝั่งตะวันออกและตะวันตก หากเยี่ยนเฟยจวี๋ยค้นหาด้านนี้เสร็จแล้วจะตามไปสมทบ
อี้เชียนอินมุ่งหน้าไปที่จวนฝั่งตะวันออกก่อน ส่วนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขยับตัววูบเดียวก็หายเข้าไปตรงเรือนด้านหลัง
เวลานี้พ้นเที่ยงคืนมาแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนกำลังนอนหลับพักผ่อน มีเพียงห้องห้องหนึ่งที่ยังจุดโคมสว่าง ด้านในมีเสียงพูดคุยลอยออกมาเลือนราง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขยับเข้าไปใกล้ห้องแห่งนี้ เขาหลบอยู่ข้างหน้าต่าง จวนหลังนี้มีอายุพอประมาณแล้ว แม้หน้าต่างจะปิดอยู่แต่ก็ปิดไม่สนิทนัก มีช่องว่างเล็กๆ อยู่ช่องหนึ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองลอดช่องว่างเล็กจ้อยเข้าไปด้านในห้อง เขาเห็นอ่างน้ำผสมยาที่มีไอร้อนลอยอ้อยอิ่งอ่างหนึ่ง ในอ่างมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาหันหลังให้หน้าต่าง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่เส้นผมสีขาวโพลนนั่นพอจะทำให้เดาได้เลาๆ ว่าคนผู้นี้คงมีอายุแล้ว
ทว่ากล้ามเนื้อตรงหัวไหล่ของเขากลับแข็งแรงบึกบึน มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ บนร่างเขามีพลังอันน่าครั่นคร้ามแผ่ออกมาเล็กน้อย พลังนี้ดูเหมือนจะไม่ด้อยกว่าราชันอสูร
หากไม่ใช่ว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยู่กับราชันอสูรมานานพอสมควรจนคุ้นชินกับแรงกดดันอันแข็งแกร่งเช่นนี้นานแล้ว เวลานี้เขาคงถูกอีกฝ่ายทำให้หวาดกลัวจนสองขาสั่นเทา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้กลิ่นยาเลือนราง เขาอยู่ในจวนมู่อ๋องมานาน เป็นลูกมือให้เฉียวเจิงมาไม่น้อย เขาจำได้ว่าตนเคยได้กลิ่นยาชนิดนี้มาก่อน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นยาที่เอาไว้ใช้ยามราชันอสูรบาดเจ็บจากการเลื่อนขั้นพลัง
เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ ภายในห้องก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น เขาพูดด้วยภาษาเยี่ยหลัว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้ยินขาดๆ หายๆ แต่พอจะฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง
บุรุษผู้นั้นเอ่ยว่า “เหตุไฉนจึงมาเลื่อนขั้นเอาตอนนี้ได้นะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้วอย่างฉงน นี่ไม่ใช่เสียงมู่ชิวหยางหรือไร
ศิษย์คนหนึ่งตอบว่า “อาจเพราะกินยาพิษมากเกินไปจึงเลื่อนขั้นอีกหนกระมังขอรับ”
มู่ชิวหยางถอนหายใจ “เลื่อนขั้นย่อมเป็นเรื่องดี แต่มาไม่ถูกจังหวะอย่างยิ่ง ทำให้เสียการใหญ่กันหมด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเข้าใจแล้ว เขาเดาว่าเพราะเรื่องนี้กลุ่มของอวิ๋นซู่จึงไม่ทันเข้าไปในพระราชวังใต้ดิน ฟังจากคำพูดของทั้งสองคน ฝั่งนั้นคิดไม่ถึงว่าจะมีคนเลื่อนขั้นพลัง หรือพูดอีกอย่างก็คือมีสถานการณ์ที่อวิ๋นซู่ควบคุมไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ
“อีกนานเท่าใดเขาจึงจะเลื่อนขั้นสำเร็จ” มู่ชิวหยางถาม
ศิษย์ตอบว่า “ตามปกติแล้ว คืนวันพรุ่งนี้ก็น่าจะเลื่อนขั้นได้สำเร็จพอประมาณแล้วขอรับ”
มู่ชิวหยางกัดฟัน “ยังต้องรออีกหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเชียวหรือ”
ศิษย์ก้มหน้าลง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพึมพำเงียบๆ ที่แท้ยังต้องเสียเวลาอีกนานถึงเพียงนั้น ถ้าเช่นนั้นเขาก็มีเวลาพอกลับไปรายงานนายน้อยแล้วพาคนมารวบพวกเขาให้หมด
ศิษย์เอ่ยต่อว่า “น่าเสียดายไม่มีเลือดของจั๋วหม่าน้อย ไม่อย่างนั้น…เวลาคงจะหดสั้นลงไปมากกว่าครึ่ง”
เหยี่ยวตัวนั้นจะไปเอาเลือดของเสี่ยวเวยสินะ
เจ้าสารเลวนี่!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหน้าบึ้ง เขาผละออกมาจากตำแหน่งเดิมอย่างเชื่องช้า แล้วมุ่งหน้าไปที่จวนฝั่งตะวันออกเพื่อตามหาอี้เชียนอิน
คิดไม่ถึงว่าอี้เชียนอินจะไม่อยู่ที่จวนหลังนี้แล้ว และเขาก็ไม่ได้อยู่ที่จวนตะวันตกด้วย แต่เขาตามหญิงรับใช้คนหนึ่งเดินอ้อมตรอกเส้นหนึ่งไปที่จวนหลังน้อยอีกหลังหนึ่งฝั่งตรงข้ามถนน
จวนน้อยหลังนี้ไม่มีนักรบมรณะเฝ้าอยู่แต่อย่างใด ดูไปแล้วเหมือนบ้านเรือนของชาวบ้านธรรมดาหลังหนึ่งเท่านั้น หากไม่ใช่ว่าตามหญิงรับใช้นางนั้นมา ต่อให้อี้เชียนอินเดินผ่านหน้าจวนก็คงไม่คิดว่าที่แห่งนี้มีชาวเยี่ยหลัวอาศัยอยู่
“ซ่อนตัวเก่งจริงนะ” อี้เชียนอินแค่นเสียงหยัน จากนั้นใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปในจวน
หญิงรับใช้กลับมาถึงจวนได้ไม่นานก็หลับใหล อี้เชียนอินค้นหาด้านในจวนอย่างระมัดระวัง เขาค้นหาไปทีละห้อง ไล่ไปทีละเรือน พอค้นหามาถึงเรือนทิศใต้ก็พบว่าประตูลงกลอนอยู่
ลงกลอนอยู่ก็ถูกแล้ว นั่นบ่งบอกว่าอย่างน้อยก็มีคนอาศัยอยู่
อี้เชียนอินเดินอ้อมเรือนไปจนถึงหน้าต่าง ขณะที่กำลังจะ ‘ทุบ’ หน้าต่างเข้าไป หน้าต่างก็เปิดออกมาด้านนอกก่อนเขาหนึ่งก้าว
อี้เชียนอินไหนเลยจะคิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ แม้แต่หลบเขาก็หลบไม่ทัน ถูกอีกฝ่ายจับได้คาหนังคาเขา!
“เอ๋ เจ้าเองหรือ” อี้เชียนอินเตรียมพร้อมจะต่อสู้แล้ว แต่กลับเห็นใบหน้าของกงซุนฉางหลีเสียก่อน เขารู้ว่ากงซุนฉางหลีเป็นคนสนิทของอวิ๋นซู่ จะพบเขาที่นี่ก็ดูมีเหตุผล แน่นอนเขารู้ว่ากงซุนฉางหลีไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกเขาสักนิดเช่นกัน ดังนั้นสีหน้าจึงผ่อนคลายลง “เหตุใดเจ้าจึงอยู่…”
กล่าวยังไม่ทันจบ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากฝั่งทางเดิน ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูเบาๆ กับน้ำเสียงอ่อนโยนของบุรุษผู้หนึ่ง “ฉางหลี ข้าเอง”
อี้เชียนอินเบิกตาโต
กงซุนฉางหลีจ้องอี้เชียนอินเขม็ง
อี้เชียนอินอ้าปาก อยากถามอะไรบางอย่าง แต่บุรุษที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ยังไม่เสร็จอีกหรือ ข้าเข้าไปแล้วนะ”
กงซุนฉางหลีละสายตาออกเงียบๆ แล้วดึงบานหน้าต่างปิดลง