หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 92-2 ลงมือและประมือ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 92-2 ลงมือและประมือ
ตอนที่ 92-2 ลงมือและประมือ
ชั่วพริบตาที่บานหน้าต่างตรงหน้าปิดลง หัวใจของอี้เชียนอินพลันเกิดความรู้สึกแปลกพิกลบางอย่าง เขาก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกพิลึกพิลั่นนี่ของตนเองคือสิ่งใด แต่เขารู้สึกว่าน้ำเสียงที่คนผู้นั้นเอ่ยกับกงซุนฉางหลีทำให้เขารู้สึกสยิวหูอย่างไม่รู้สาเหตุ
“อวิ๋นซู่หรือ”
นอกจากอวิ๋นซู่ เขาก็นึกถึงคนอื่นไม่ออกแล้ว อี้เชียนอินพึมพำกับตนเองพลางเหินข้ามกำแพงจวน ชั่วพริบตาที่เหยียบเท้าบนกำแพง เขาก็เหลียวหลังกลับไปมองหน้าต่างบานนั้นอย่างไม่ทันคิด
โคมไฟในห้องดับลงแล้ว
อี้เชียนอินขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าอวิ๋นซู่ก็นอนอยู่ในห้องแห่งนั้นด้วย เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ทว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
อี้เชียนอินเหม่อลอยจนไม่รู้ว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาแล้ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตบหัวไหล่เขาไปหนึ่งป้าบ เขาจึงซัดฝ่ามือกลับด้วยสัญชาตญาณ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหน้าถอดสี รีบตั้งรับฝ่ามือของเขา ทั้งสองคนถูกกำลังภายในของอีกฝ่ายซัดถอยไปหลายก้าวพร้อมกัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตั้งหลักได้ก็ถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง กดเสียงเบาเอ่ยว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร! นี่ข้าเอง!”
อี้เชียนอินได้สติกลับมาก็เงยหน้ามองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้วเอ่ยอย่างขออภัย “เจ้าเองหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะบัดแขนที่ชาหนึบนิดๆ แล้วเดินเข้าไปหาอี้เชียนอิน ถามว่า “เจ้าคิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงเผ่นมาที่นี่ ข้าบอกให้เจ้าเฝ้าจวนสองหลังนั้นเอาไว้ไม่ใช่หรือ”
อี้เชียนอินบอกว่า “อวิ๋นซู่ไม่ได้อยู่ที่นั่น เขากับกงซุนฉางหลีแล้วก็หญิงรับใช้อีกนางหนึ่ง อาศัยอยู่ที่นี่”
“อะไรนะ ที่นี่หรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองจวนหลังที่อี้เชียนอินออกมา แล้วหันไปมองฐานที่มั่นเมื่อครู่ จากนั้นเอ่ยอย่างฉงน “อยู่ไกลขนาดนี้ เจ้าหาพบได้อย่างไร”
อี้เชียนอินบอกว่า “ข้าสะกดรอยตามหญิงรับใช้คนนั้นมา”
“อวิ๋นซู่คงไม่พบตัวเจ้าเข้ากระมัง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม
อี้เชียนอินนึกทบทวนน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนน่าเหลือเชื่อของอวิ๋นซู่ แล้วรู้สึกว่าอวิ๋นซู่ในตอนนั้นคงไม่มีเวลามาสังเกตเห็นตนเองหรอก “น่าจะ…ไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นสีหน้าของอี้เชียนอินแปลกพิกลก็ถามว่า “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าเป็นอะไร”
อี้เชียนอินถอนหายใจ “ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไร ข้าเพียงแต่…” กล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองเขาอย่างแปลกใจ “เพียงแต่อะไรเล่า”
อี้เชียนอินเกาหัว ถามว่า “กงซุนฉางหลีมีความสัมพันธ์อย่างไรกับอวิ๋นซู่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยครุ่นคิด “ก็ความสัมพันธ์แบบเดียวกับพวกเรากับนายน้อยอย่างไรเล่า ทำไม เจ้าสงสัยว่าเขาจะทำร้ายนายน้อยหรือ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสงสัยแล้ว เขาไม่เคยทำร้ายนายน้อย นิสัยของตัวเขาเองก็ไม่เลวร้าย เพียงแต่น่าเสียดายที่เลือกเจ้านายผิดก็เท่านั้น”
“เป็นแค่เจ้านายจริงหรือ” ในสมองของอี้เชียนอินนึกถึงเสียงอันอ่อนโยนอย่างยิ่งนั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขารู้สึก…ไม่ค่อยสบายใจนัก อาจเป็นเพราะจีหมิงซิวเย็นชากับพวกเขาเสมอ ไม่เคยอ่อนโยนเช่นนั้นมาก่อนหรือเปล่านะ
‘เชียนอิน เปิดประตูสิ ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว ข้าเข้าไปแล้วนะ’
ในสมองของอี้เชียนอินลองจินตนาการว่าจีหมิงซิวใช้น้ำเสียงอ่อนโยนอ่อนหวานกับเขา ทันใดนั้นเขาก็ขนลุกชันไปทั้งตัว!
…
ตอนที่ทั้งสองคนกลับมาถึงเรือนสี่ประสาน ฟ้ายังไม่ทันสว่าง แต่จีหมิงซิวตื่นแล้ว ในห้องของอวิ๋นจูก็มีเสียงดังออกมาแล้วเช่นกัน
ทั้งสองคนไปที่ห้องหนังสือ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรายงานข้อมูลที่สืบมาได้ให้จีหมิงซิวฟัง “ตอนนี้ในหมู่ลูกน้องของอวิ๋นซู่มีนักรบมรณะฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งกำลังเลื่อนขั้นจึงทำให้แผนการล่าช้า พวกเขาส่งเหยี่ยวตัวหนึ่งมาหมายจะจิกเอาเลือดเนื้อของเสี่ยวเวยไปทำให้คนผู้นั้นเลื่อนขั้นเร็วขึ้น ก่อนคืนวันพรุ่งนี้พวกเขาจะยังอยู่ที่จวนหลังนี้…
…อีกเรื่องหนึ่งอวิ๋นซู่พักอยู่ที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง เชียนอินเล่าว่าในจวนของอวิ๋นซู่ไม่มีนักรบมรณะคอยเฝ้า มีเพียงฉางหลีกับหญิงรับใช้คนหนึ่ง หญิงรับใช้ไม่เป็นวรยุทธ์ ส่วนฉางหลีก็คงไม่ลงมือ หากพวกเราล้อมจับอวิ๋นซู่ น่าจะรับมือเขาคนเดียวไหว”
จีหมิงซิวใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ถามว่า “สภาพของอวิ๋นซู่เป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันไปมองอี้เชียนอิน เจ้าเด็กคนนี้ยังเหม่อลอยอยู่อีก
เขาตบกะโหลกของอี้เชียนอินหนึ่งป้าบ “ถามเจ้าอยู่! อวิ๋นซู่สภาพเป็นอย่างไรบ้าง อาการบาดเจ็บของเขาหายดีหรือยัง วรยุทธ์เป็นเช่นไร”
อี้เชียนอินลูบหลังศีรษะที่ถูกตบจนเจ็บปวด แล้วถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างคับแค้น “ข้าไม่เห็นเขาเสียหน่อย! ข้าได้ยินแต่เสียงเขาพูด! แต่ฟังจากเสียง…ก็ดูสบายดีอยู่นะ!”
นี่ก็เท่ากับว่าหายดีแล้ว
จีหมิงซิวเงียบงันไม่พูดจา
อี้เชียนอินกลับเป็นฝ่ายเลิกคิ้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เขาดูดซับกำลังภายในของมารโลหิตไป เขาจะ…กลายเป็นมารโลหิตคนที่สองหรือไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นเสียงขึ้นจมูก “มีกระบี่โหราจารย์อยู่ ยังต้องกลัวเขากลายเป็นมารโลหิตด้วยหรือ”
อี้เชียนอินร้องอ้อออกมาหนึ่งคำ “ลืมไปเลยว่ามีกระบี่โหราจารย์อยู่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันกลับไปมองจีหมิงซิวแล้วเอ่ยว่า “นายน้อย หากรั้งรอกลัวว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอีก ให้ข้าพาคนไปสังหารตอนนี้เลยดีหรือไม่”
“ไปที่ใด”
อวิ๋นจูเดินเข้ามา
“อวิ๋นฮูหยิน” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอารมณ์ดีอย่างยิ่งตอบว่า “ตามหาฐานที่มั่นของอวิ๋นซู่พบแล้วขอรับ”
อวิ๋นจูถามว่า “เห็นโลงศพหยกของเจาหมิงหรือไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตบกะโหลกตัวเอง เขาสนใจแต่จะสืบข่าวจึงลืมเรื่ององค์หญิงเจาหมิงไปเสียสนิท ตอนนั้นเขาน่าจะไล่หาห้องมากมายเหล่านั้นไปทีละห้องให้ครบ
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “ในเมื่ออวิ๋นซู่อยู่ที่นี่ ร่างของมารดาข้าก็น่าจะอยู่แถวนี้ด้วย”
อวิ๋นจูหรี่ตาลง “ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย”
…
หลังจากจัดการอาหารเช้าอย่างรีบเร่ง จีหมิงซิวก็นำอวิ๋นจู เยี่ยนเฟยเจวี๋ย อี้เชียนอินกับราชันอสูรเดินทางไปยังที่พักของอวิ๋นซู่กับมู่ชิวหยาง
อี้เชียนอินนำจีหมิงซิวกับอวิ๋นจูเดินทางไปที่เรือนของอวิ๋นซู่ ส่วนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพาราชันอสูรไปที่อีกฝั่งหนึ่ง ราชันอสูรบุกเข้าไปในจวนอย่างทรงพลัง พลังอันแข็งแกร่งของเขาสยบนักรบมรณะทุกคนจนมิอาจกระดิกตัวได้
มู่ชิวหยางเพิ่งจะไปเข้าห้องส้วมเสร็จ ยังไม่ทันกลับถึงห้องก็รู้สึกว่าสองเท้าของตนตอกตรึงแน่นอยู่กับพื้น เขาเงยหน้าอย่างยากเย็น แล้วก็เห็น ณ ขอบฟ้าที่ดวงตะวันกำลังฉายแสงมีร่างหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำสนิทเหินมาอย่างว่องไว เขาคำรามอย่างทรงพลังน่าครั่นคร้าม วิหคบนต้นไม้ต่างผวาบินหนี นักรบมรณะแต่ละคนล้มลงกับพื้นกระอักเลือดออกมา
แม้มู่ชิวหยางจะเตรียมใจมาก่อนแล้ว ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพลังของราชันอสูรจริงๆ เขาก็ยังคงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ไม่ใช่ว่าในมือพวกเขาไม่มีราชันอสูร ทว่าราชันอสูรที่พลังแข็งแกร่งถึงระดับนี้มีเพียงรานีอสูรคนเดียว น่าเสียดายที่รานีอสูรถูกเฮ่อหลันชิงสังหารไปแล้ว ทว่าไม่มีราชันอสูรที่เก่งกาจเช่นนี้แล้วอย่างไร ผู้ใดบอกว่าจะรับมือเขาต้องใช้ราชันอสูรเท่านั้น
มู่ชิวหยางยกมุมปากยิ้ม
เพียงพริบตาเดียวเงาร่างสีเทาอ่อนร่างหนึ่งก็เหินออกมาจากหลังคา ร่างของคนผู้นี้แผ่บรรยากาศเฉพาะตัวของราชันอสูรออกมา ทว่าหากแยกแยะให้ละเอียด เขากลับดูไม่เหมือนราชันอสูรเพียงอย่างเดียว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ทันใดนั้นลูกตาก็เกือบจะถลนออกมาจากเบ้า “ชางจิว”
ยอดฝีมือเส้นผมขาว รูปร่างสูงใหญ่และมีจิตสังหารน่าหวั่นเกรงผู้นี้ ไม่ใช่ชางจิวแล้วจะเป็นผู้ใดอีกเล่า
หลังจากเหยาจวิ้นตาย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เคยเห็นเขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเย่ว์หวาหนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาคิดว่าอีกฝ่ายตายแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขากลับถูกจับมาฝึกเป็น….
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากจะบอกว่านักรบมรณะ แต่อีกฝ่ายหว่างคิ้วดำคล้ำ ดวงตาแดงก่ำ ริมฝากเป็นสีม่วง ดูเหมือนร่างพิษร่างหนึ่งมากกว่า
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตะลึงงัน
ชั่วพริบตาที่ชางจิวปรากฏตัว เขาก็แผ่กำลังภายในออกมาขัดขวางพลังของราชันอสูร มู่ชิวหยางขยับตัวได้ก็เงยหน้าขึ้น หัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง “คิดไม่ถึงล่ะสิว่าพวกเราจะมีวิธีฝึกร่างพิษให้กลายเป็นนักรบมรณะ”
คนธรรมดาทั่วไปหลังจากกลายเป็นร่างพิษแล้วจะมีพละกำลังมากขึ้น พลังโจมตีแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนผู้ฝึกยุทธ์เมื่อกลายเป็นร่างพิษก็จะเป็นเหมือนศิษย์พี่รอง กำลังภายในเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าไปจนถึงสิบเท่า
แต่การเพิ่มพูนพลังเช่นนี้ต้องจ่ายค่าแลกเปลี่ยนเป็นชีวิต ไม่มีร่างพิษร่างใดอายุยืนยาว การจะเอาพวกเขามาฝึกเป็นนักรบมรณะไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่พวกเขาอดทนจนถึงวันที่ฝึกสำเร็จไม่ได้ต่างหาก
คิดไม่ถึงว่าชางจิวจะทนได้
แน่นอนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ชางจิวก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว แต่เขาไม่จำเป็นต้องมีชีวิตยาวนานนักหรอก แค่จัดการคนตระกูลจีหมดสิ้นได้ก็เพียงพอแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตวาดด่า “ต่ำช้า!”
มู่ชิวหยางหัวเราะหยัน “เขายินยอมพร้อมใจแก้แค้นให้ประมุขเหยาจีเอง ผู้ใดให้พวกเจ้าไปสังหารนายท่านของเขากันเล่า หากจะโทษก็โทษตัวพวกเจ้าเองเถิด”
ราชันอสูรที่ถือกำเนิดมาจากร่างพิษ พลังของมันย่อมมากมายเหลือจะจินตนาการ
ชางจิวพุ่งพรวดเข้าไปชนราชันอสูร ราชันอสูรถูกกระแทกจนลอยขึ้นจากพื้น จากนั้นชางจิวก็เงื้อกำปั้นต่อยราชันอสูรอย่างรุนแรง! ทว่าราชันอสรยกมือขึ้นรับหมัดของเขาไว้ได้
ทั้งสองคนเข้าห้ำหั่นวัดฝีมือกันเช่นนี้ กำลังภายในอันกล้าแข็งบุกเข้าจู่โจมอีกฝ่าย คมสายลมที่ตาเปล่ามองไม่เห็นเส้นแล้วเส้นเล่าพัดรอบตัวทั้งสองคน พวกมันฟาดฟันหลังคา กำแพง ต้นไม้ ก้อนหินและอื่นๆ อีกมากมายจนแหลกสลายเป็นเศษซาก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับมู่ชิวหยางถอยออกมาจากสนามรบของทั้งสองคนพร้อมกัน พวกเขาใช้กำลังภายในตั้งหลัก แม้จะเป็นเช่นนี้ทั้งสองคนก็ยังถูกลูกหลงจากกำลังภายในของราชันอสูรกับชางจิวจนเส้นลมปราณเสียหายไปไม่น้อย
ด้านนี้ราชันอสูรกับชางจิวกำลังต่อสู้โรมรัน อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวกับอวิ๋นจูกลับพลาดจากเป้าหมาย ภายในจวนว่างเปล่า ยังมีร่องรอยของอวิ๋นซู่อยู่ที่ไหนกันเล่า พวกเขาหนีหายไร้ร่องรอยกันไปนานแล้ว!
จีหมิงซิวพึมพำ “เหตุใดเขาจึงหนีเร็วเช่นนี้ หรือเขารู้ว่าพวกเราจะมา”
ตอนนั้นเองหูสองข้างของอวิ๋นจูก็กระดิก นางหันขวับไปมองทางทิศตะวันอกเฉียงใต้ “ทางนั้น!”
ทว่าจีหมิงซิวจับข้อมือของอวิ๋นจูเอาไว้เสียก่อน “ท่านกลับไปรอข้าที่เรือนสี่ประสาน ข้าจะไล่ตามไป”
อวิ๋นจูกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง ทันใดนั้นไห่สือซานก็ขี่อาชาตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาประหนึ่งลมกรด “นายน้อย! นายน้อยแย่แล้วขอรับ! มีคนบุกเข้าไปในสุสานองค์หญิง!
อวิ๋นจูพลิกมือกลับมาจับข้อมือของจีหมิงซิวแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไปดูที่สุสานองค์หญิง ข้าจะไล่ตามอวิ๋นซู่ไป เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ปล่อยให้ตนเองเป็นอันใด ต่อให้อวิ๋นซู่ฝึกวิชาจนกลายเป็นมารโลหิตแล้วก็เพิ่งจะเป็นมารโลหิตขั้นต้น เขาไม่ใช่คู่ต่อกรของข้า”
ไห่สือซานมองไปทางจีหมิงซิวอย่างร้อนใจ
จีหมิงซิวแววตาชะงักนิ่งไปวูบหนึ่ง “ข้าไล่ตามอวิ๋นซู่ไปเองดีกว่า ท่านยายไปสุสานองค์หญิงเถิด อี้เชียนอินเจ้าไปสุสานองค์หญิง ส่วนไห่สือซานเจ้าไปที่หอหลิงจือ แจ้งจั๋วหม่าว่าฝั่งสุสานองค์หญิงเกิดเรื่องแล้ว”
อวิ๋นจูถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้นี่”
หากจัดการตามนี้ยามอวิ๋นจูไปถึงสุสานองค์หญิง เฮ่อหลันชิงก็คงไปถึงแล้ว นับว่าเตรียมป้องกันเภทภัยไว้พร้อมสรรพจริงๆ อวิ๋นจูไม่อยากทำให้ความใส่ใจของเด็กคนนี้เสียเปล่าจึงควบอาชามุ่งหน้าไปยังสุสานองค์หญิง
หากนางเดินทางไปตามนี้จริงๆ ก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น ทว่าครั้งเดินทางไปถึงกลางทางปลายหางตาของอวิ๋นจูก็เหลือบเห็นเงาร่างร่างหนึ่งด้านในตรอก
หัวใจของนางกระตุกวูบ จักรพรรดิอสูรหรือ
นางรั้งบังเหียนแล้วหักเลี้ยวควบอาชาเข้าไปในตรอกทันที
ทว่าสิ่งที่รอคอยนางอยู่ในตรอกกลับไม่ใช่จักรพรรดิอสูร