หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 93-1 เปิดพระราชวังใต้ดิน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 93-1 เปิดพระราชวังใต้ดิน
ตอนที่ 93-1 เปิดพระราชวังใต้ดิน
จีหมิงซิวไล่ตามไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทว่าไล่ตามไปสักพักก็คลาดสายตา เมืองหลวงมีคนมากมายถนนหลายสาย เพียงมุดเข้าไปในร้านรวงร้านไหนสักร้านก็หลบหายไปกับฝูงชนได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแต่เดิมก็ไม่แน่ใจว่าเงาที่เห็นนั่นใช่ตัวอวิ๋นซู่เองหรือไม่
ดวงตาของจีหมิงซิวฉายแววเย็นชา เขาไม่ไล่ตามต่อ แต่รั้งบังเหียนควบอาชาวิ่งทะยานไปทางสุสานองค์หญิง
อากาศที่ต้าเหลียงอุณหภูมิสูงกว่าเยี่ยหลัวไม่น้อย แม้จะเป็นฤดูหนาวแล้ว ทว่าผู้ที่เดินทางผ่านเยี่ยหลัวมาแล้ว เมื่อย่างเท้าเข้ามาในต้าเหลียง ต่อให้ถูกพายุหิมะพัดโปรยปรายใส่ก็ไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย
ทว่าวันนี้ระหว่างเดินทางไปสุสานองค์หญิง จีหมิงซิวกลับรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาเลือนราง
ระหว่างที่จีหมิงซิวควบม้าผ่านถนนฉางอันนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นในตรอกแห่งหนึ่งริมถนน
“ข้าเก็บได้ก่อน!” ตาเฒ่าคนหนึ่งตะเบ็งเสียง
“ข้าเห็นก่อน! พอข้าตะโกน เจ้าถึงเดินเข้ามา!” ชายหนุ่มอายุน้อยอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ตาเฒ่าเถียงว่า “เจ้าเห็นก่อนอะไรเล่า ข้าต่างหาก! ข้าเก็บขึ้นมาแล้ว เจ้าถึงตะโกนบอกว่าของเจ้า!”
ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ “ตาเฒ่าคนนี้ทำไมจึงไม่มีเหตุผลเช่นนี้นะ”
ตาเฒ่าแค่นเสียงดังเหอะ “คนที่ไม่มีเหตุผลมันเจ้าต่างหาก! ทุกคนให้ความเป็นธรรมด้วย ข้าหยิบของขึ้นมาก่อน พวกเจ้าก็เห็นอยู่ใช่หรือไม่ ข้าหยิบขึ้นมาก่อน แล้วเขาจึงเริ่มแหกปากตะโกนใช่หรือไม่”
ฝูงชนส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอื้ออึงในทันใด
แม้จีหมิงซิวจะสูงศักดิ์เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่เขาย่อมไม่เข้าไปคลี่คลายการทะเลาะเบาะแว้งในตรอกซอกซอยเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะควบม้าผ่านไปเฉยๆ ทว่าวันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร ราวกับมีเทพผีดลใจให้เขามองเข้าไปในฝูงชน
การมองหนนี้ทำให้เขาต้องรั้งม้าหยุด เขาลงจากหลังม้าเดินเข้าไปหาชายหนุ่มกับตาเฒ่า
คนที่สังเกตเห็นเขาก่อนคือคนที่ยืนอยู่วงนอกสุด พ่อค้าหาบเร่แผงลอยที่มาชมดูความครึกครื้นหลายคนหันมามองจีหมิงซิว ดวงหน้าหล่อเหลา ท่วงท่ากิริยาสูงสง่า ดูเหมือนองค์ชายเสด็จมาเยือน ทำให้ทุกคนหลีกทางให้จีหมิงซิวอย่างไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มกับตาเฒ่ายังคงโต้เถียงกันอย่างดุเดือด ทว่ายังไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือ เพียงแต่ยื้อยุดฉุดกระชากของสิ่งหนึ่งโดยไม่มีใครยอมใคร
ระหว่างที่ทั้งสองคนทะเลาะกันอุตลุดนั่นเอง เงาสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็ขยับเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนดมดอมกับกลิ่นอายของบุรุษลอยมาในอากาศทำให้คนสั่นเทาทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว
ทั้งสองคนหันไปมองจีหมิงซิวอย่างพร้อมเพรียง
จีหมิงซิวยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งสองคนตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมตนเองไม่ได้แล้ววางคันธนูไว้บนมือของจีหมิงซิวอย่างว่าง่าย จีหมิงซิวรับธนูจันทร์โลหิตมาแล้วถามทั้งสองคนว่า “ขอถาม พวกเจ้าเก็บคันธนูนี้ได้ที่ใด”
ทั้งสองคนล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา เมื่อเห็นจีหมิงซิวก็ทราบแล้วว่าหาเรื่องด้วยไม่ได้ พวกเขาไม่กล้าเล่นลูกไม้ จึงบอกกล่าวตามตรงในทันที
ตาเฒ่าตอบว่า “ท่านถามเขาสิ เขาเป็นคนเจอก่อน”
ชายหนุ่มพองขนโต้ทันที “อ้อ ตอนนี้ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสิว่าข้าเจอก่อน เหตุใดไม่บอกว่าเจ้าเก็บได้ก่อนแล้วเล่า”
ตาเฒ่ากระแอมแล้วหันหน้าหนี
จีหมิงซิวหันไปมองชายหนุ่มแล้วถามว่า “เจ้าเก็บได้ที่ใด”
ชายหนุ่มชี้ในตรอกแล้วบอกว่า “ตรงนั้นอย่างไรเล่า”
สายตาของจีหมิงซิวกวาดสำรวจในตรอกคับแคบแล้วถามชายหนุ่มอีกว่า “นอกจากธนูคันนี้แล้ว เจ้ายังเห็นผู้ใดอีกหรือไม่”
ชายหนุ่มส่ายหน้า พึมพำว่า “ไม่มีแล้ว ข้าเห็นว่าธนูคันนี้ทำมาจากเหล็กน่าจะขายได้เงินบ้างเล็กน้อยจึงอยากจะเก็บมันกลับไป แต่ข้ากลัวว่ามันจะเป็นของที่ผู้ใดทำตกไว้ จึงถามว่าธนูเป็นของผู้ใด คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าคนนี้จะวิ่งมาฉวยโอกาส!”
ธนูจันทร์โลหิตเป็นของที่ตกทอดกันมาในตระกูลอวิ๋น เสมือนเช่นจีหมิงซิวไม่มีวันทิ้งกระบี่โหราจารย์ของตนเอง อวิ๋นจูก็ไม่มีวันทิ้งธนูจันทร์โลหิตของตนเองอย่างแน่นอน
นอกเสียจากว่า…
จีหมิงซิวกำธนูจันทร์โลหิต แววตาเย็นเยียบขึ้นทีละน้อย
ชายหนุ่มถูกสายตาของจีหมิงซิวทำเอาหวาดผวาตัวสั่น “นี่ นี่ คันธนูคันนี้เป็นของท่านสินะ ถ้า…ถ้าเช่นนั้นก็คืนให้ท่านแล้วกัน! ข้า…ข้าไปก่อนล่ะ!”
กล่าวจบ เขาก็เผ่นแผล็วไปอย่างว่องไว ตาเฒ่าเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงจรลีอย่างเร็วรี่ด้วย ฝูงชนค่อยๆ สลายตัว แสงตะวันเอียงเฉทอดมาตกต้องธนูจันทร์โลหิตจนเป็นประกายเย็นยะเยือก
…
เล่าถึงในจวนอีกหลังหนึ่ง ราชันอสูรกับชางจิวต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ชางจิวไม่เสียทีเป็นร่างพิษระดับราชันอสูร กำลังภายในของเขาท่วมท้นดั่งคลื่นสมุทรซัดสาดมาไม่ขาดสาย แต่ละกระบวนท่าล้วนแข็งแกร่งกว่ากระบวนท่าก่อน
หากรานีอสูรยังมีชีวิตอยู่แล้วต้องประมือกับเขา เกรงว่านางก็คงมีสภาพไม่ดีนักเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าผู้ที่เขาเผชิญหน้าอยู่กับเขาไม่ใช่ราชันอสูรธรรมดาๆ กระบวนท่าของราชันอสูรไม่ใช่กระบวนท่าที่เน้นความสวยงาม แต่แทบทุกกระบวนท่าหวังจะบดขยี้ร่างกายของชางจิวจริงๆ
ยามนี้ชางจิวไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดาอีกต่อไปแล้ว เขาเป็นนนักรบมรณะระดับราชันอสูรคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นร่างพิษที่ร้ายกาจยิ่ง เขาอดทนต่อความเจ็บปวดได้มากกว่าเดิมเกือบหลายสิบเท่า แม้เขาจะได้รับบาดเจ็บก็ไม่ขลาดกลัวแม้แต่นิดเดียว ตรงข้ามกลับยิ่งโหมโจมตีราชันอสูรหนักหน่วงกว่าเดิม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขวัญผวา “สู้เช่นนี้ ไม่รักชีวิตแล้วหรืออย่างไร!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนึกถึงคนใต้บัญชาของอวิ๋นซู่ หากทุกคนล้วนสู้อย่างไม่รักชีวิตเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเขาจะยังมีโอกาสชนะอยู่อีกหรือ
ระหว่างที่ทั้งสองคนต่อสู้กันราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายนั่นเอง จู่ๆเสียงผิวปากก็ดังออกมาจากตำแหน่งไม่ไกล หลังจากได้ยินเสียงผิวปาก ชางจิวก็รามือทันที เขาพลิกกายหลบการโจมตีของราชันอสูรแล้วสะกิดปลายเท้า เหินร่างลอยจากพื้นพร้อมกับคว้าตัวมู่ชิวหยางพาเขาหนีไปจากจวน
ราชันอสูรไหนเลยจะยอมรามือ เขาฟาดฝ่ามือใส่ทั้งสองคนอย่างรุนแรง
มู่ชิวหยางเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาสะบัดผ้าคลุมกันลมออกเผยให้เห็นโล่วารีสวรรค์ โล่วารีสวรรค์สกัดการโจมตีของราชันอสูรเอาไว้ได้ แต่เขากลับไม่อาจนำมันกลับไปด้วยได้เพราะมันหลุดมือร่วงลงมาจากท้องฟ้า แล้วถูกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยโฉบมาแย่งไปไว้ในมือ
มู่ชิวหยางผรุสวาทเป็นภาษาเยี่ยหลัว จากนั้นก็ถูกชางจิวพาตัวไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นเสียงหยันคำหนึ่ง แม้จะสังหารมู่ชิวหยางกับชางจิวไม่ได้ แต่เก็บโล่วารีสวรรค์มาได้ชิ้นหนึ่ง ก็ถือว่าทำได้ไม่เลว!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเก็บโล่วารีสวรรค์เสร็จก็มุ่งหน้าไปที่สุสานองค์หญิงพร้อมกับราชันอสูร เมื่อครู่ก่อนที่ไห่สือซานจะเดินทางไปแจ้งข่าวกับจีหมิงซิว เขาไม่รู้ว่าจีหมิงซิวอยู่จวนหลังไหนกันแน่ เขาจึงแวะมาที่นี่ก่อน ด้วยเหตุนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงทราบเรื่องการลอบจู่โจมสุสานองค์หญิงแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับราชันอสูรออกเดินทางได้ไม่นานก็พบจีหมิงซิวที่เดินออกมาจากในตรอก จีหมิงซิวถือธนูจันทร์โลหิต สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหลือบมองด้านหลังเขาอย่างแปลกใจ “อวิ๋นฮูหยินเล่าขอรับ”
ราชันอสูร “โฮก!” อวิ๋นจูเล่า
จีหมิงซิวหรี่ตาลง “หายตัวไปแล้ว”
“หายตัวไปแล้วหมายความว่าอย่าง…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วพุ่งเข้าไปค้นหาในตรอก จากนั้นก็สีหน้าคล้ำเขียวเอ่ยว่า “ต้องเป็นเจ้าสารเลวอวิ๋นซู่คนนั้นแน่! เขาจับตัวอวิ๋นฮูหยินไป! เขาจับตัวอวิ๋นฮูหยินไปที่สุสานองค์หญิงแล้วใช่หรือไม่”
เพิ่งกล่าวจบ ราชันอสูรก็หายตัวไปแล้ว
ตอนที่ราชันอสูรไปถึงสุสานองค์หญิง เฮ่อหลันชิงก็มาถึงแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ไห่สือซานได้รับข่าวจากพรรคโลหิตพิฆาต การจู่โจมก็ดำเนินไปครึ่งทางแล้ว รอจนไห่สือซานวิ่งไปแจ้งจีหมิงซิว จากนั้นไปแจ้งเฮ่อหลันชิงก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
ตอนที่เฮ่อหลันชิงมาถึงที่เกิดเหตุ ทุกสิ่งก็จบลงแล้ว สถานที่เกิดเหตุโลหิตนองเป็นสายน้ำ ซากศพและเศษชิ้นส่วนมนุษย์นอนขวางระเกะระกะ องครักษ์ที่พิทักษ์สุสานรวมไปถึงมือสังหารของพรรคโลหิตพิฆาตที่ซุ่มอยู่ในที่ลับล้วนตกตายด้วยฝีมืออำมหิตของชาวเยี่ยหลัวจนหมดทุกคน
ขันทีเฒ่าซ่อนอยู่ใต้ศพ แสร้งทำเป็นคนตายจึงหลบพ้นภัยมาได้
จากคำบอกเล่าของขันทีเฒ่า บุรุษสวมชุดดำกลุ่มหนึ่งแบกโลงศพบุกเข้ามาอย่างไม่พูดพร่ำอันใดทั้งสิ้น พวกเขาสังหารองครักษ์ของสุสานองค์หญิง แล้วก็สังหารจอมยุทธ์ที่เหินออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้กลุ่มนั้น สุดท้ายแม้แต่ข้าหลวงที่คอยดูแลที่นี่อย่างพวกเขาก็ไม่ละเว้น หลังจากนั้นคนกลุ่มนั้นก็ขุดเปิดอุโมงค์ของสุสานองค์หญิงแล้วแบกโลงศพเข้าไปในสุสาน
“โลงศพหยกเช่นนั้นหรือ” เฮ่อหลันชิงถาม
ขันทีเฒ่าผงกศีรษะดุจตำกระเทียม!
เฮ่อหลันชิงถามอีกว่า “เห็นชัดหรือไม่ว่ามีผู้ใดบ้าง หน้าตาเป็นอย่างไร บุรุษหรือสตรี”
ขันทีเฒ่าส่ายหน้าตัวสั่นเทา เขาตกใจกลัวแทบตายแล้ว ไหนเลยยังจะกล้ามองมากอีก รู้แต่ว่าพวกที่บุกมาเป็นพวกแรกกับพวกที่แบกโลงศพมาเป็นบุรุษสวมอาภรณ์สีดำสิบกว่าคน ส่วนด้านหลังมีคนมาสมทบอีกหรือไม่ เขาก็ไม่รู้แน่ชัดแล้ว
เฮ่อหลันชิงต้องการจะลงไปที่สุสาน แต่ถูกไห่สือซานห้ามไว้ก่อน
ไห่สือซานบอกอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ในสุสานมีกลไกอยู่”
เฮ่อหลันชิงตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าคนนี้ยังต้องกลัวกลไกด้วยหรือ”
ไห่สือซานกระแอมเบาๆ แล้วบอกว่า “ไม่ใช่กลัวท่านถูกกลไกทำร้าย แต่กลัวว่าท่าน…ทำพลาดไปแล้วสุสานทั้งหมดจะถล่มลงมา”
เฮ่อหลันชิง “…”
ทว่าไห่สือซานขวางเฮ่อหลันชิงได้ แต่ขวางราชันอสูรไม่ได้ จังหวะที่เขาเกลี้ยกล่อมเฮ่อหลันชิงไม่ให้บุกเข้าไปในสุสานองค์หญิง อีกฝั่งหนึ่งราชันอสูรก็พุ่งพรวดเข้าไปแล้ว!
“ท่านลองคิดดู พวกเรารอนายน้อยมาถึงก่อนค่อยเข้าไปเป็นเช่นไร…” ไห่สือซานเพียรพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ยังไม่ทันเกลี้ยกล่อมเสร็จ ในสุสานก็มีเสียงดังกัมปนาทปานอสนีบาตดังออกมา
ไห่สือซานขนพองทันใด “ผู้ใด ผู้ใดกัน นี่คือสุสานองค์หญิงนะ! เจ้าคิดจะรื้อสุสานหรือไร!”
โชคยังดีก่อนราชันอสูรจะรื้อสุสานองค์หญิงจนกลายเป็นซาก จีหมิงซิวกับไห่สือซานก็มาถึงทันเวลาพอดี ขันทีเฒ่าเล่าสิ่งที่บอกเฮ่อหลันชิงไปแล้วให้จีหมิงซิวฟังอีกรอบ จีหมิงซิวพยักหน้านิ่งๆ “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับวังไปกราบทูลฝ่าบาทก่อน ข้าจะลงไปดูด้านล่าง”
“ขอรับ!” ขันทีเฒ่าขานรับอย่างนอบน้อม
จีหมิงซิวกับเฮ่อหลันชิงเดินเข้าไปในสุสาน อี้เชียนอิน ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยต่างตามลงไปอย่างเงียบๆ เมื่อมีจีหมิงซิวอยู่ พวกเขาจึงหลบกลไกของสุสานได้อย่างง่ายดาย พวกเขาตามหาราชันอสูรผู้โกรธจัดพบเป็นคนแรก จากนั้นจึงแกะร่องรอยที่แขกผู้ไม่รับเชิญทิ้งไว้ไปจนถึงชั้นล่างสุดของสุสาน
ที่แห่งนี้เป็นโถงถ้ำหินกว้างขวาง รอบด้านล้วนเป็นกำแพงหิน ดูไปแล้วเหมือนมิติลับแห่งหนึ่ง ทว่าทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้ว่า ด้านหลังของกำแพงหินสักด้านซ่อนพระราชวังใต้ดินของเยี่ยหลัวที่ถูกปิดผนึกมานมนานเอาไว้
“โอ๊ะ โลงศพเหตุไฉนจึงแตกเสียแล้ว! ผู้ใดทำมันแตกกัน” ไห่สือซานมองจุดที่เคยมีโลงศพตั้งอยู่แล้วก็พบว่าโลงศพที่เดิมเคยวางอยู่ตรงนี้ในสภาพดีๆ แตกกระจายกลายเป็นเศษหยกกองหนึ่งแล้ว “เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้เล่า”