หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 93-2 เปิดพระราชวังใต้ดิน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 93-2 เปิดพระราชวังใต้ดิน
ตอนที่ 93-2 เปิดพระราชวังใต้ดิน
โลงศพโลงนี้แม้จะเป็นโลงศพหยกเหมือนกัน แต่ไม่อาจเทียบโลงศพหยกเหมันต์ของลัทธิศักดิสิทธิ์ได้ แตกไปก็ไม่มีอะไรให้น่าเสียดาย เพียงแต่บนตัวมันมีกลไกที่ใช้เปิดกำแพงหินอยู่ ยามนี้กลไกไม่อยู่แล้ว มิใช่ว่า…พวกเขาจะไม่อาจเปิดเส้นทางไปสู่พระราชวังใต้ดินได้อีก…
เปรี้ยง!
ราชันอสูรกระแทกกำแพงหินจนทะลุเป็นรู
ไห่สือซานปาดเหงื่อเย็นอย่างเงียบๆ
ทางซ้ายมือด้านหลังกำแพงหินด้านนี้คืออุโมงค์สู่ค่ายประจิม เวลานี้มันถูกกำแพงหินชั้นหนึ่งปิดไว้ ส่วนทางขวาก็คือพระราชวังใต้ดินของเยี่ยหลัว
ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินปิดสนิท ฝุ่นตรงหน้าประตูมีรอยเท้าของบุรุษจำนวนไม่น้อย ดูจากทิศทางที่รอยเท้ามุ่งไป พวกเขาเดินเข้าไปในพระราชวังใต้ดินแล้วแต่ยังไม่เดินกลับมา
“ดูท่า พวกเขาจะเข้าไปแล้ว” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบโล่วารีสวรรค์ที่เพิ่งได้มา “ไม่ต้องรวบรวมกุญแจทั้งสี่ให้ครบก็ไม่เป็นอะไรจริงๆ สินะ ร่างขององค์หญิงเจาหมิงกับโลงศพหยกเหมันต์เป็นกุญแจอีกดอกที่เปิดพระราชวังใต้ดินจริงๆ ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเล่า อวิ๋นซู่เข้าไปแล้ว อวิ๋นฮูหยินต้องถูกเขาจับเข้าไปด้วยแล้วแน่…”
จีหมิงซิวลังเลเล็กน้อย
อี้เชียนอินก้าวออกมาก้าวหนึ่งแล้วบอกว่า “นายน้อย เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ พวกเราก็เข้าไปในพระราชวังใต้ดินบ้างเถิด พวกเรารวบรวมกุญแจได้ครบแล้วพอดี!”
“ใช่แล้ว” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกโล่วารีสวรรค์ในมือขึ้นมา “อวิ๋นซู่คิดว่ามีเขาคนเดียวที่เข้าไปได้หรือไร พวกเราเองก็เข้าไปได้เหมือนกัน! หากไล่ตามไปตอนนี้ก็ยังทันเวลาอยู่!”
ในเมื่ออวิ๋นจูตกอยู่ในมือเจ้าวิปริตอวิ๋นซู่คนนั้น พวกเขาย่อมชักช้าเสียเวลาไม่ได้แม้ชั่วอึดใจ จีหมิงซิวเข้าใจเหตุผลประการนี้ แต่เขาก็ยังลังเลอยู่ “ไปยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าฝั่งท่านยายเมิ่งมีคนออกไปหรือไม่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงุนงง แล้วชี้ทางพระราชวังใต้ดิน “ท่านสงสัยว่าอวิ๋นซู่กำลังใช้อุบายหรือ ท่านดูรอยเท้าเหล่านี้สิ มันเข้าไปแล้วชัดๆ!”
จีหมิงซิวตอบกลับมาว่า “ความรอบคอบทำให้แล่นเรือได้หมื่นปี”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกล่อมอย่างเป็นห่วงเป็นใย “แต่หากท่านรอบคอบต่อไป อวิ๋นฮูหยินจะไม่เหลือชีวิตเอาน่ะสิ! นางอยู่ในมือตาเฒ่าวิปริตอวิ๋นซู่คนนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับอวิ๋นฮูหยินบ้าง!”
จีหมิงซิวเปิดกลไกของกำแพงหินแล้วสั่งอี้เชียนอิน “เชียนอิน เจ้าไปค่ายประจิม”
อี้เชียนอินขานรับ “ขอรับ” อี้เชียนอินรับคำสั่งเสร็จก็จากไป
ราชันอสูรกระโจนอย่างรวดเร็วออกไปจากสุสานองค์หญิง เขาใช้ความเร็วประหนึ่งกลับชาติมาเกิดรีบเดินทางกลับไปที่เรือนสี่ประสานแล้วเรียกเฉียวเวยให้หยิบกริชเฟิ่นเทียนกับธนูจันทร์โลหิตอีกคันหนึ่งให้ จากนั้นก็เหินเร็วรี่กลับมาถึงสุสานองค์หญิง
ตอนที่ราชันอสูรกลับมาถึงสุสานองค์หญิง อี้เชียนอินก็วกกลับมาพอดี เขาบอกจีหมิงซิวว่า “ข้าถามท่านยายเมิ่งแล้ว ไม่มีผู้ใดออกไปจากถ้ำ”
จีหมิงซิวพึมพำ “เข้าไปในพระราชวังใต้ดินแล้วจริงหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองจีหมิงซิวอย่างจริงจัง “นายน้อย เปิดพระราชวังใต้ดินเถิด!”
จีหมิงซิวมองประตูบานใหญ่ที่ปิดผนึกอยู่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ข้ารู้สึกว่า อย่าเปิดจะดีกว่า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยร้อนใจแล้ว “หากไม่เปิดอีก อวิ๋นซู่จะได้ครองพระราชวังใต้ดินจริงๆ แล้วนะ!”
เฮ่อหลันชิงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เปิดเถิด ดูเสียหน่อยก็ไม่มีผู้ใดตาย”
ระหว่างที่ฝั่งนี้พูดคุยกัน ราชันอสูรก็วางธนูจันทร์โลหิตคันหนึ่งในนั้นกับกริชเฟิ่นเทียนไว้ตรงตำแหน่งที่เข้าคู่กันบนประตูแล้ว จากนั้นเขาก็แย่งโล่วารีสวรรค์ไปจากมือของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้วใส่ลงไปบนช่องเว้า สุดท้ายก็เหลือแต่กระบี่โหราจารย์ในมือจีหมิงซิว ราชันอสูรเดินอาดๆ เข้ามา “โฮก!”
จีหมิงซิวส่งกระบี่โหราจารย์ให้เขา
ราชันอสูรวางกระบี่โหราจารย์ลงไปเสร็จ เสียงทุ้มต่ำกึกก้องก็ดังขึ้น ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินเคลื่อนออกอย่างเชื่องช้าเบื้องหน้าทุกคน กลิ่นอายของความเก่าแก่โบราณโถมมาใส่ใบหน้าเสมือนหนึ่งสัตว์ยักษ์มหึมาที่ซุ่มหมอบอยู่นานนับหมื่นปีพ่นลมหายใจอันหนักอึ้งออกมา มันเย็นเยียบ เก่าแก่และชวนให้คนตัวสั่นเทา
ราชันอสูรบุกเดี่ยวนำเข้าไปคนแรก หลังจากนั้นเฮ่อหลันชิงก็ตามเข้าไปด้วย อี้เชียนอินผู้ตามติดนางเหมือนหางเส้นน้อยไม่ยอมแพ้ ตามหลังเฮ่อหลันชิงไปติดๆ หลังจากนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานจึงกุมหน้าอกที่หัวใจเต้นระทึก ก้าวเท้าเข้าไปในพระราชวังใต้ดินที่หลับใหลมานับพันปีด้วย
ชั่วพริบตาที่ก้าวข้ามธรณีประตูมาเหยียบบนแผ่นหินเขียว ความหนาวเย็นสายหนึ่งก็แผ่ทะลุใต้พื้นรองเท้าทะลวงไปถึงกลางฝ่าเท้าในพริบตา หลังจากนั้นทั่วทั้งร่างของพวกเขาก็ถูกความรู้สึกเย็นเฉียบและความหนาวยะเยือกห้อมล้อม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินไปสองสามก้าวก็ยิ้มอย่างเคร่งเครียด “นี่มันช่าง…” เขายังเอ่ยไม่ทันจบ ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินก็ขยับส่งเสียงครืนคราง เวลานี้นอกจากจีหมิงซิวที่เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูมา คนที่เหลือต่างเดินเข้าไปหลายสิบก้าวแล้ว ราชันอสูรยิ่งหายลับไปไม่เห็นแม้แต่เงา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันหน้ากลับมามองแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดประตูจึงจะปิดเล่า ผู้ใดปิดกัน”
จีหมิงซิวคิ้วกระตุก เขาหมุนตัวพุ่งผ่านประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินออกไป
ประตูใหญ่เลื่อนปิดลงมาเรื่อยๆ สามฉื่อ สองฉื่อครึ่ง…
เฮ่อหลันชิงตระหนักถึงอะไรบางอย่าง นางตวาดเสียงดัง “ทุกคนออกไปเร็ว!”
แต่ไม่ทันกาลแล้ว ประตูใหญ่ปิดลงมาจนเหลื่อสองฉื่อแล้ว สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือวิชาตัวเบาของพวกเขาดันใช้การไม่ได้ เฮ่อหลันชิงคว้าตัวอี้เชียนอินแล้วโยนเขาออกไปอย่างแรง หลังจากนั้นนางก็ฟาดฝ่ามืออีกสองหน ส่งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานออกไปด้วย หลังจากไห่สือซานออกไปพ้น ประตูใหญ่ก็ปิดสนิท
จีหมิงซิวเดินไปหากุญแจบนบานประตูแต่กลับพบว่ากุญแจทั้งหมดไม่อยู่ในช่องหินแล้ว!
มิน่าประตูใหญ่จึงปิดลงมา!
“หึ!” เสียงเย็นยะเยือกแฝงแววเสียดสีเยาะหยันดังขึ้นตรงบันไดหินไม่ไกลนัก
จีหมิงซิวมองตามเสียงไปก็พบบุรุษสวมผ้าคลุมสีดำทั้งร่างคนหนึ่งถือกุญแจพระราชวังใต้ดินทั้งสี่ยืนอยู่ในเงามืดอย่างหยิ่งยโสประหนึ่งเทพเซียน
“อวิ๋นซู่หรือ” ต่อให้ไม่เคยพบเขามาก่อน จีหมิงซิวก็ยังมองออกตั้งแต่แวบแรก
อวิ๋นซู่ยกมุมปากยิ้มอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ท่านโหราจารย์ ยินดีที่ได้พบ”
อี้เชียนอินทุบประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินอย่างบ้าคลั่งพลางตะเบ็งเสียงคำราม “พี่เฮ่อหลัน! พี่เฮ่อหลัน!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานหันไปมองอวิ๋นซู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตาโตอ้าปากค้าง “เจ้าไม่ได้…เจ้าได้อย่างไร…”
ดวงตาวาวโรจน์ดุจคบเพลิงของจีหมิงซิวจับจ้องเขา “โลงศพหยกของมารดาข้าไม่ใช่กุญแจที่ใช้เปิดพระราชวังใต้ดินสินะ”
อวิ๋นซู่หัวเราะเบาๆ “ถูกต้องแล้ว ธนูจันทร์โลหิต กริชเฟิ่นเทียน กระบี่โหราจารย์กับโล่วารีสวรรค์ต่างหาก”
จีหมิงซิวกล่าวอีกว่า “เจ้าทำเรื่องมากมายเหล่านี้ก็เพื่อให้พวกเราเชื่อว่าเจ้าเข้าไปในพระราชวังใต้ดินแล้วอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นซู่หัวเราะแต่ไม่ตอบอันใด
หากตอนนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็โง่เง่าเกินไปแล้ว
เจ้าคนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอวิ๋นซู่ใช้โลงศพหยกเปิดพระราชวังใต้ดินไม่ได้แท้ๆ แต่กลับแบกโลงศพหยกเดินทางมาด้วย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ถามไถ่ถึงกุญแจทั้งสี่อีก ไม่ว่าผู้ใดก็คงคิดว่าโลงศพหยกคือกุญแจเปิดพระราชวังอีกชิ้นหนึ่ง
นายน้อยกล่าวไม่ผิด อวิ๋นซู่เป็นคนรอบคอบอย่างยิ่ง เขาไม่มีวันยอมให้ข้างกายตนเองเกิดสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ เรื่องที่เขาพลาดกลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมเป็นเพียงกลลวงเท่านั้น ตั้งแต่เริ่มต้นเขาก็ไม่คิดจะใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมอยู่แล้ว เขาอยากให้พวกเขาคิดว่าเขาใช้ก็เท่านั้นเอง
ความจริงที่เขาส่งเหยี่ยวออกมาไม่ใช่เพื่อชิงเลือดเนื้อของเฉียวเวย แต่เพราะต้องการล่อพวกเขาไปที่จวน ให้ได้ยินบทสนทนาที่มู่ชิวหยางกับศิษย์ตั้งใจพูดให้ได้ยิน ให้พวกเขาเชื่อว่าเพราะชางจิวเลื่อนขั้นอย่างกะทันหันจึงทำให้พลาดจังหวะ
จนกระทั่งถึงยามนี้พวกเขาไม่เคยสงสัยเลยว่าโลงศพหยกขององค์หญิงเจาหมิงเปิดประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินไม่ได้ หลังจากเขาลักพาตัวอวิ๋นจูไปก็จงใจทิ้งธนูจันทร์โลหิตไว้ จงใจให้คนคิดว่าเขาไม่สนใจกุญแจพระราชวังใต้ดิน
กลยุทธ์ถอยเพื่อรุกหนนี้ ใช้ได้เยี่ยมจริงๆ!
เหตุใดเขาจึง…เหตุใดจึงใจเย็นได้ถึงเพียงนี้กันนะ!
หลังจากนั้นเขาก็ลอบจู่โจมที่แห่งนี้ แบกโลงศพหยกเข้าไปต่อหน้าสายตาของทุกคน เพื่อจะให้แน่ใจว่าข่าวนี้ถูกส่งไปถึง เขาจึงเหลือผู้รอดชีวิตไว้คนหนึ่ง นั่นก็คือขันทีเฒ่าคนนั้น
ขันทีเฒ่าเห็นแต่พวกเขาเข้าไป แต่ไม่เห็นพวกเขาออกมา จึงกัดฟันบอกว่าพวกเขายังอยู่ในสุสาน ทว่าความจริงพวกเขาออกมาตั้งนานแล้ว แต่ซ่อนตัวจากสายตาของขันทีเฒ่าก็เท่านั้น ขันทีเฒ่าอาจจะสลบไปก่อนแล้วหรืออาจจะถูกคนวางยา สรุปก็คือความจริงของช่วงเวลานั้นได้มลายหายไป
รอยเท้าบนพื้นเป็นสิ่งที่อวิ๋นซู่จงใจทำให้พวกเขาเห็น อวิ๋นซู่เดินเข้าไปจากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาเหินกลับมา ไม่ใช่เรื่องยากอันใดสักนิด
เมื่อพวกเขาเข้าไป อวิ๋นซู่ที่ซุ่มรออยู่ในเงามืดก็ลอบหยิบกุญแจบนประตูออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่ได้กุญแจไปครอง แต่ยังขังเฮ่อหลันชิงกับราชันอสูรไว้ด้านในได้ด้วย
“พี่เฮ่อหลัน! พี่เฮ่อหลัน!” อี้เชียนอินตะเบ็งจนคอแทบจะหมดเสียง
พระราชวังใต้ดินผ่านกาลเวลามาได้นานนับพันปี แล้วยังสามารถกดกำลังภายในของผู้คนได้อีก มันไม่ใช่สิ่งที่กำลังมนุษย์จะต่อต้านได้เลย
มันเป็นของเจ้านายของมันเท่านั้น
หากจะเป็นเจ้านายของมัน ต้องเปิดประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินให้ได้เสียก่อน
อวิ๋นซู่มองกุญแจทั้งสี่ในมือแล้วยกมุมปากยิ้ม “โหราจารย์ ขอบใจมากนะ”
“คิดหนีหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดฟัน ส่งอาวุธลับระลอกหนึ่งออกไปทันใด
อวิ๋นซู่ไม่กะพริบตาสักนิดก็สลายอาวุธลับตรงหน้าเขากลายเป็นผุยผง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเบิกตาค้างลิ้นพันกัน “ได้อย่างไรกัน…”
ไห่สือซานถอนหายใจ “เขากลายเป็นมารโลหิตแล้ว”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนิ่งงัน อวิ๋นซู่…อวิ๋นซู่กลายเป็น…กลายเป็นมารโลหิตคนที่สองแล้วจริงๆ หรือ แต่ยังมีกระบี่โหราจารย์อยู่ไม่ใช่หรือ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำลังจะเอ่ยปาก แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากก็นึกขึ้นได้ว่ากระบี่โหราจารย์ตกอยู่ในมืออวิ๋นซู่แล้ว
ไม่มีกระบี่โหราจารย์ มารโลหิตก็คือตัวตนที่ฆ่าไม่ตาย
มือของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำหมัดแน่น เวลานี้เขานึกเสียใจกับเรื่องเมื่อครู่จริงๆ หากรู้ก่อนเขาคงไม่ยุให้นายน้อยเปิดพระราชวังใต้ดิน! ทั้งที่มีโอกาส…ทั้งที่มีโอกาสทำให้ราชันอสูรกับจั๋วหม่าไม่ถูกขังอยู่ด้านในได้…ทั้งที่มีโอกาสใช้กระบี่โหราจารย์สังหารเจ้าหมอนี่ได้แท้ๆ!
จีหมิงซิวมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าทำอันใดกับท่านยายของข้า”
อวิ๋นซู่ยกมุมปากโค้งเป็นรอยยิ้ม แล้วตอบอย่างเฉยชา “ก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงให้นางถ่ายทอดกำลังภายในจำนวนหนึ่งให้ข้าก็เท่านั้น บิดาของนางสูบกำลังภายในทั้งหมดของข้าไป หนี้ของบิดาบุตรชดใช้ นางก็สมควรคืนให้ข้าใช่หรือไม่เล่า”
ไห่สือซานตกตะลึงอย่างยิ่ง “เจ้าคิดจะสูบกำลังภายในของอวิ๋นฮูหยินหรือ”
อวิ๋นซู่ใช้ผ้าคลุมกันลมห่อกุญแจทั้งสี่เอาไว้เสร็จก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเช็ดฝุ่นบนมือเบาๆ หลังเช็ดเสร็จก็โยนผ้าเช็ดหน้าขาวทิ้ง ริมฝีปากบางเผยอน้อยๆ “ไม่ใช่คิดจะ แต่ทำไปแล้ว”