หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 94 อวิ๋นจูกลับมาแล้ว (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 94 อวิ๋นจูกลับมาแล้ว (1)
ตอนที่ 94 อวิ๋นจูกลับมาแล้ว (1)
เฉียวเวยตื่นแต่เช้าตรู่ ทว่าจีหมิงซิวไม่อยู่แล้ว พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ทยอยกันออกไปข้างนอกเช่นกัน นางเหมือนจะได้ยินชื่ออวิ๋นซู่ระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่ จึงเดาออกว่าพวกเขาคงออกไปตามหาอวิ๋นซู่
มารดาของนางยังไม่แวะมาหา กลับป็นบิดานางที่หิ้วผลสองภพหนึ่งจานกับโสมพันปีหลายต้นเดินเหงื่อโชกเข้ามา “อาจารย์ตาฮั่วของเจ้ากลับไปถึงชนเผ่าลึกลับแล้ว ผลสองภพนี่เหอจั๋วให้คนส่งมา ส่วนโสมพันปีอาจารย์ตาฮั่วของเจ้าไปเก็บมาให้ด้วยตนเอง”
อาจารย์ตาฮั่วถูกราชันอสูรของพระสนมอานเฟยทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ก่อนเฮ่อหลันชิงเดินทางออกจากเมืองหลวง นางจึงส่งองครักษ์เกราะทมิฬพาเขาไปรักษาตัวที่ชนเผ่าถ่าน่า
เฉียวเวยรับของมาวางไว้บนโต๊ะในเรือนตะวันออก แล้วถือโอกาสถามว่า “ท่านอาจารย์ยังสบายดีหรือไม่”
เฉียวเจิงตอบว่า “สบายดี ไม่สบายจะขึ้นเขาไปขุดโสมได้หรือ แม่สาวน้อยคนนี้ ไม่ถามถึงท่านตาของเจ้าบ้างหรือไร”
เฉียวเวยเลิกคิ้วบอกว่า “ร่างกายของท่านตาไม่ใช่ว่าได้ท่านพ่อรักษาหายดีแล้วหรือ ข้าย่อมไม่ต้องเป็นห่วงเขาแล้ว”
คำพูดนี้ฟังแล้วน่าพอใจยิ่งนัก เฉียวเจิงรู้สึกพออกพอใจ แต่กระนั้นปากก็ยังเอ่ยตอบอย่างเคร่งครัด “คนอายุมากแล้วย่อมต้องเป็นห่วงให้มากหน่อย”
เฉียวเวยยิ้ม “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ รอจัดการเรื่องฝั่งนี้เสร็จแล้ว ข้าจะกลับเผ่าไปเยี่ยมท่านผู้เฒ่าสักหน่อย”
“เช่นนี้จึงจะใช้ได้” เฉียวเจิงผู้ทั้งหวาดกลัวทั้งหวาดผวาท่านพ่อตา ความจริงแล้วมีใจกตัญญูอย่างยิ่ง
เฉียวเจิงเดินตามบุตรสาวเข้าไปในเรือนตะวันอก พอเห็นบุตรสาวเดินวุ่นวายจัดแจงข้าวของ ก็ขมวดคิ้วถามว่า “เหตุใดเจ้าไม่หยุดอยู่นิ่งเสียบ้าง ในเรือนไม่มีบ่าวรับใช้แล้วหรือไร”
เฉียวเวยเปิดหีบใบน้อยออกมาใส่โสมอายุพันปีต้นหนึ่งเข้าไป โสมมีทั้งหมดสองต้น นางคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้นหนึ่งจะมอบให้จีเหล่าฮูหยิน ส่วนอีกต้นหนึ่งมอบให้อวิ๋นจู
นางเก็บโสมเสร็จก็เอ่ยตอบเฉียวเจิงว่า “กลับไปกันหมดแล้วเจ้าค่ะ เหลือแต่ลี่ว์จูกับพ่อครัวหยางไม่กี่คนเท่านั้น ทำงานวุ่นกันแทบไม่ทัน”
“นี่ๆ! คอยดูข้าๆ!”
ในลานเรือนมีเสียงตะโกนตื่นเต้นของหลิวเกอร์ดังลอยมา ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงโครม หลิวเกอร์สนุกมากจนได้เรื่อง เท้าลื่นไถลหกล้มตกลงไปในอ่างน้ำที่ลี่ว์จูกำลังซักผ้าอยู่จนเปียกโชกไปทั้งตัว
หลิวเกอร์น้ำตาคลอเดินมา เฉียวเวยดุเขาทางสายตาหนึ่งหน เสร็จแล้วก็หยิบเสื้อผ้าแห้งมาเปลี่ยนให้ “หลังจากนี้ต้องระวังเข้าใจหรือไม่”
หลิวเกอร์ตอบรับอย่างซึมๆ “ขอรับ”
หลิวเกอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็วิ่งออกไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้นต่อ ไม่นานจิ่งอวิ๋นก็เดินเข้ามาบ้าง ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกโชกเหมือนกัน
จิ่งอวิ๋น “น้องผลักข้าขอรับ”
ไม่ทันไรวั่งซูก็เดินเข้ามาด้วย บนตัวของนางก็เปียกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะตกลงไปในอ่างน้ำ แต่ตนเองวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ผลปรากฏว่าหน้าล้างไม่สะอาด แต่แขนเสื้อกับตัวเสื้อเปียกโชกแทน
วั่งซูฟ้องบ้าง “ท่านพี่วาดหน้าข้า!”
เฉียวเวยกุมหน้าผาก
ก่อนหน้านี้ที่นางคิดว่าเด็กบ้านตนว่านอนสอนง่ายนี่นางคิดไปเองเช่นนั้นหรือ
ตอนที่เห็นยิ่นอ๋องหัวแทบไหม้เพราะความซุกซนของแม่ชีน้อยทั้งสาม นางเคยนึกโชคดีอยู่หลายครั้งที่เด็กๆ บ้านตนเรียบร้อยรู้ความ ไม่เคยสร้างความวุ่นวายให้นาง
วันนี้ดูท่าแล้ว…
ความจริงย้อนกลับมาตบหน้าเร็วดุจพายุหมุน…
ยามเช้าผ่านไปด้วยการวุ่นวายกับเด็กน้อยทั้งสามคน
ในที่สุดเฉียวเวยก็จัดการทุกสิ่งเสร็จเรียบร้อย นางปาดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นหันไปมองเฉียวเจิงที่กำลังตำสมุนไพรอยู่ “จริงสิท่านพ่อ มารดาของข้าเล่า เหตุไฉนจึงไม่เห็นนางแวะมา”
เฉียวเจิงหยิบสมุนไพรที่ตำละเอียดแล้วเทใส่ชาม จากนั้นจึงใส่สมุนไพรอีกหลายชนิดลงไปแล้วตำต่อ “มารดาของเจ้าไปสุสานองค์หญิงแล้ว”
เฉียวเวยตกตะลึงเล็กน้อย “สุสานองค์หญิงเกิดเรื่องหรือ”
“อืม เหมือนจะใช่” ตอนนั้นเฉียวเจิงอยู่ในห้องครัวจึงฟังไม่ชัดนัก รู้แต่ว่าไห่สือซานเชิญเฮ่อหลันชิงให้ไปด้วยกัน
“ไปกันตั้งแต่เมื่อใด” เฉียวเวยถาม
“ฟ้าสว่างได้ไม่นานก็ไปกันแล้ว” เฉียวเจิงตอบ
“ท่านยายกับหมิงซิวก็ออกไปเวลาใกล้เคียงกัน” เฉียวเวยพูดพลางก็แหงนมองพระอาทิตย์ที่อยู่กลางหัว “ใกล้จะเที่ยงแล้ว เหตุใดจึงยังไม่กลับมาอีก”
เฉียวเจิงยิ้ม “วางใจเถิด ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”
ตลอดทางที่ผ่านมาไม่ว่าคลื่นลมใหญ่เพียงใดก็ฝ่าฟันมาได้ ไม่มีเหตุผลที่พอกลับมาเมืองหลวงแล้ว จะถูกผู้อื่นทำให้สะดุดล้มก่อนถึงประตู
เฉียวเจิงเพิ่งจะคิดเช่นนี้ เสียงของลี่ว์จูก็ดังมาจากในลานเรือน “คุณชายใหญ่ พวกท่าน…กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยวางห่อสัมภาระลงแล้วก้าวออกไปจากเรือนตะวันออก ภาพที่เห็นแตกต่างจากที่นางคิดเอาไว้เล็กน้อย นางเห็นหมิงซิว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซาน แต่ไม่เห็นราชันอสูร อี้เชียนอิน อวิ๋นจูรวมไปถึงมารดาของนาง
คนเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไปสุสานองค์หญิงหรอกหรือ เหตุไฉนจึงกลับมาเพียงครึ่งเดียว
แล้วยังทำสีหน้าเช่นนั้นอีก เกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” เฉียวเวยเดินเข้ามาหาอย่างงงงวย นางหยุดยืนตรงหน้าจีหมิงซิวแล้วชะเง้อไปด้านหลังเขา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น มารดาของข้าเล่า ท่านยายเล่า”
“ชิงหลวนไม่กลับมาด้วยหรือ” เฉียวเจิงเบิกตาโตเดินออกมา “พวกเจ้าสองสามคนนี้เป็นอันใดไป”
จีหมิงซิวมองเฉียวเวย แล้วเอ่ยอย่างข่มกลั้นอารมณ์ “ขอโทษด้วย”
“ขอ…ขอโทษเรื่องอันใดกัน” เฉียวเวยถามอย่างงุนงง
เฉียวเจิงเดินลงบันไดมาพร้อมกับสีหน้าฉงน “ชิงหลวนเล่า นางไปสุสานองค์หญิงกับพวกเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงไม่กลับมา”
ลูกกระเดือกของจีหมิงซิวขยับขึ้นลง “ท่านแม่นาง…”
เฉียวเจิงสีหน้าเย็นชาลงทันควัน “นางเป็นอันใดไป เจ้าพูดออกมาสิ!”
ไห่สือซานตอบอย่างละอายใจ “จั๋วหม่านาง…นางถูกขังอยู่ในพระราชวังใต้ดินแล้ว”
เฉียวเจิงรู้สึกราวกับถูกฟาดหัวด้วยไม้กระบอง ลมหายใจสับสนปั่นป่วนทันที เขามองทั้งสามคนแล้วตวาดอย่างไม่เกรงใจสักนิด “คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรคือชิงหลวนถูกขังอยู่ในพระราชวังใต้ดิน พวกเจ้าไปพระราชวังใต้ดินกันมาหรือ พวกเจ้าไปสุสานองค์หญิงไม่ใช่หรือไร พวกเจ้าไม่มีกุญแจด้วยซ้ำ จะ จะเข้าไปได้อย่างไรเล่า!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบอย่างละอายใจอย่างยิ่ง “ความผิดของข้าเอง…เพราะข้า…ติดกับดักของมู่ชิวหยาง เก็บโล่วารีสวรรค์กลับมา…”
หากไม่ใช่ว่าเก็บโล่วารีสวรรค์มาได้ พวกเขาก็คงเปิดประตูพระราชวังใต้ดินไม่ได้
ตอนนี้หวนย้อนคิดดู แม้แต่โล่วารีสวรรค์นี่ มู่ชิวหยางก็คงจงใจทำหล่นให้พวกเขาเก็บได้ มู่ชิวหยางเล่นละครได้สมบูรณ์แบบนัก ตอนทำโล่วารีสวรรค์ร่วงยังอุตส่าห์ผรุสวาทด่าพวกเขาหนึ่งยก เขาเดาไม่ออกจริงๆ ว่าทุกสิ่งเป็นแผนการที่อวิ๋นซู่วางไว้
เจ้าสารเลวคนนั้น เจ้าเล่ห์เหลือเกิน น่าชิงชังเหลือเกิน!
“ชิงหลวน…ชิงหลวน…” เฉียวเจิงอาการไม่ดีแล้ว ลมหายใจสับสนปั่นป่วน สมองขาวโพลน
สีหน้าของเฉียวเวยก็ค่อยๆ ซีดเผือดลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน นางกำนิ้วมือแน่น น้ำเสียงสั่นเทาถามว่า “พวกเจ้า พวกเจ้าเหตุใดจึงไปเปิดพระราชวังใต้ดิน อวิ๋นซู่เข้าไปแล้วหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบอย่างคับแค้นและเศร้าเสียใจ “พวกเราคิดว่าเขาเข้าไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเขาไม่ได้เข้าไป เขาจงใจชักนำให้พวกเราเข้าใจผิดมาตลอด…ความจริงโลงศพหยกขององค์หญิงเปิดพระราชวังใต้ดินไม่ได้ กุญแจทั้งสี่ต่างหากที่ทำได้…เขา…เขารอให้พวกเราเข้าไปในพระราชวังใต้ดิน…จากนั้นก็ขโมยกุญแจไป…จั๋วหม่าโยนพวกเราออกมา ส่วนตัวนางเอง…ติดอยู่ข้างใน…แล้วยังมีราชันอสูร…ราชันอสูรก็ถูกขังอยู่ด้านในด้วย…”
หัวใจของเฉียวเวยเจ็บปวดยิ่งนัก!
นั่นมารดาของนาง มารดาแท้ๆ ของนาง มารดาที่นางรอคอยมาสองชาติภพกว่าจะได้มา แต่นางกลับถูกผู้อื่นขังไว้ในพระราชวังใต้ดินอันมืดมิดไร้แสงตะวันเช่นนี้
“ท่านแม่ของข้าออกมาไม่ได้หรือ”
มารดาของนางเก่งกาจถึงเพียงนั้น แค่ประตูหินบานเดียวมีหรือจะกระแทกให้แหลกไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีราชันอสูรอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ พวกเขาสองคนร่วมมือกันจะทลายประตูบานเดียวไม่ได้หรือไร
กล่าวกันว่าบุรุษไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ ทว่ายามนี้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคุมดวงตาให้ไม่แสบร้อนไม่ได้สักนิด “ล้วนเป็นความผิดของข้า…ข้าเป็นคนยุให้นายน้อยเปิดพระราชวังใต้ดิน…”
“อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือข้า เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้” จีหมิงซิวดวงตาวาวโรจน์ กล่าวจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
“ท่านยายเล่า” เฉียวเวยไล่ถามต่อ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทรุดนั่งยองๆ ตรงมุมกำแพงพลางปาดน้ำตาเงียบๆ
ไห่สือซานตอบอย่างเศร้าเสียใจ “อวิ๋นฮูหยินนาง…”
“คุณชาย…ท่านมาหาผู้ใดเจ้าคะ” ลี่ว์จูที่อยู่นอกลานเรือนเห็นบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่ง บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์สีแดง ดวงหน้างามวิลาส บรรยากาศรอบตัวคล้ายหยกงาม นอกจากนายน้อยของบ้านตน ลี่ว์จูก็ไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดงามล่มเมืองเช่นนี้
ในอ้อมแขนของบุรุษผู้นั้นอุ้มสตรีอยู่นางหนึ่ง เมื่อสายตาของลี่ว์จูเลื่อนไปจับบนใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาก็เบิกถลนทันที “อวิ๋น…อวิ๋นฮูหยินหรือเจ้าคะ”
ทุกคนหันขวับมาทางด้านนี้ จีหมิงซิวเปิดม่านออกมาแล้วก้าวออกมาจากห้องหนังสือ
กงซุนฉางหลีอุ้มอวิ๋นจูที่ไม่ได้สติก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในลานเรือนอย่างเชื่องช้า
เฉียวเวยปรี่เข้าไปหา นางยื่นมือมาอังลมหายใจของอวิ๋นจู ยังหายใจอยู่ แต่ลมหายใจแผ่วเบายิ่งนัก
จีหมิงซิวก้าวลงบันไดเดินเข้ามาหา กงซุนฉางหลีไม่พูดสิ่งใด ส่งอวิ๋นจูใส่มือของจีหมิงซิวเสร็จก็หมุนกายเดินจากไป
“ท่านยาย ท่านยาย!” เฉียวเวยจับชีพจรของอวิ๋นจู ทันใดนั้นแววตาก็หนาวสะท้านหันไปตะโกนเรียก “ท่านพ่อ ท่านมาช่วยข้าดูหน่อย ข้าจับชีพจรของท่านยายไม่เจอ!”
เฉียวเจิงข่มกลั้นความเจ็บปวดในหัวใจเดินเข้ามาหา
จู่ๆ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็สาวเท้าพุ่งพรวดออกไปจากลานเรือนแล้วจับหัวไหล่ของกงซุนฉางหลีที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าเอาไว้ “อวิ๋นซู่อยู่ที่ใด เจ้าเป็นพวกเดียวกับเขาหรือไม่กันแน่ เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้เขาทำร้ายอวิ๋นฮูหยิน เหตุใดเจ้าไม่ขวางเขา!”
ไห่สือซานวิ่งเข้ามารั้งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไว้ “เจ้าทำอะไรของเจ้า บ้าไปแล้วหรือ!”
เยี่ยนเฟยเจี๋ยกระชากเสื้อของกงซุนฉางหลีแล้วถามว่า “เจ้าบอกข้ามาว่าอวิ๋นซู่อยู่ที่ใด เจ้าพูด! เจ้าพูดมาสิ! ตอนอวิ๋นซู่ลงมือทำเรื่องโหดเหี้ยมกับอวิ๋นจู เจ้าไปอยู่ที่ใด เหตุใดเพิ่งจะพานางกลับมาเอาตอนนี้”
จีหมิงซิวตวาดเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ด้วยน้ำเสียงดุจน้ำแข็ง “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย!”
ไห่สือซานลากเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกมาสุดกำลัง “เจ้าอย่าพาลระบายโทสะใส่คนอื่นได้หรือไม่ เกี่ยวอันใดกับกงซุนฉางหลี เขาตัดความสัมพันธ์กับนายน้อยไปนานแล้ว เขาช่วยพวกเราเพราะน้ำใจ เขาไม่ช่วยเพราะเป็นหน้าที่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้เสียหน่อย เจ้าอย่าไร้เหตุผลสิ”
คำพูดประโยคนี้กล่าวไม่ผิดและไม่ได้แฝงเจตนาร้ายแต่อย่างใด ทว่าเมื่อมันลอยเข้ามาในหูของกงซุนฉางหลี คำพูดแต่ละคำกลับเสมือนเข็มทิ่มแทงหัวใจของเขาจนเจ็บปวดยิ่งนัก