หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 96-1 พี่ซิวลงมือ (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 96-1 พี่ซิวลงมือ (1)
ตอนที่ 96-1 พี่ซิวลงมือ (1)
ตกกลางคืน หิมะห่าใหญ่โปรยปรายลงมาอีกหน จวบจนฟ้าสางก็ยังมีเกล็ดหิมะดุจขนห่านลอยละล่อง ทั่วทั้งเรือนถูกหิมะปกคลุม เชิงหลังคามีน้ำแข็งแท่งแล้วแท่งเล่าห้อยย้อยใสกระจ่างวาววับดุจกระบี่น้ำแข็ง
วันนี้เด็กน้อยทั้งสามคนตลบผ้าห่มลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่ พวกเขาสวมชุดนอนตัวบางเพียงตัวเดียวกระโดดโลดเต้นกันอยู่บนเตียง
ช่วงอายุที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล ช่างดีจริงๆ
เฉียวเวยสวมเสื้อคลุมชั้นนอกแล้วเดินเข้ามา “เหตุไฉนวันนี้จึงตื่นเช้าเช่นนี้เล่า”
จิ่งอวิ๋นตื่นเช้าเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดแปลก แต่หลิวเกอร์กับวั่งซูเจ้าหนอนขี้เกียจที่จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมตื่นสองตัวนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาสองคนจะตื่นก่อนเสียอีก
“วันนี้สิ้นปีแล้วนี่เจ้าคะ!” วั่งซูกระโดดดึ๋งดั๋งตอบ
นางไม่พูดขึ้นมา เฉียวเวยก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท พอนับวันดูอย่างถี่ถ้วน วันนี้ก็เหมือนจะเป็น…วันสิ้นปีจริงๆ
นี่เป็นคืนวันสิ้นปี…หนที่สามตั้งแต่นางมาถึงโลกใบนี้แล้ว
คืนวันสิ้นปีหนแรกนางก็พักอยู่ที่นี่ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูป่วยหนัก พวกเขาตระเวนไปหาหมอทุกหนทุกแห่งแต่ไม่มีผู้ใดรับรักษา โชคยังดีตอนนั้นได้หมิงซิวที่รู้จักกันช่วยดูแล จึงได้ใช้เวลาข้ามคืนวันสิ้นปีอย่างสงบสุขที่เรือนสี่ประสาน ส่วนคืนวันสิ้นปีหนที่สองพวกนางอยู่ที่ชนเผ่าลึกลับ คิดไม่ถึงว่าจะได้ต้อนรับคืนวันสิ้นปีหนที่สามรวดเร็วถึงเพียงนี้
ยามนึกทบทวนเรื่องราวนั้นในอดีตเหล่านั้นรู้สึกเหมือนเรื่องต่างๆ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ราวกับว่าเมื่อวานนางยังอุ้มกระเตงลูกน้อยที่ตัวร้อนจี๋สองคนตระเวนไปตามถนนใหญ่ แล้วก็ราวกับว่าเมื่อวานนางยังอยู่บนเกาะกลางทะเลของชนเผ่าลึกลับ เวลาเพียงชั่วพริบตาสองปีก็ผ่านไปแล้ว
เจ้าก้อนข้าวเหนียวน้อยสองก้อนที่ตอนแรกทำได้แต่กอดต้นขานางสองคนนั้นก็เติบใหญ่จน…
“ท่านแม่!” วั่งซูวิ่งเข้ามาซุกในอ้อมแขนของเฉียวเวยพร้อมกับเหงื่อโชกเต็มศีรษะ
เฉียวเวยถูกพุ่งชนเต็มรัก นางพ่นเส้นผมกระจุกหนึ่งของลูกสาวตัวน้อยออกมาจากปาก มุมปากกระตุกอยู่เงียบๆ เติบใหญ่จนอ้วนกลมถึงเพียงนี้เชียว…
วั่งซูกอดท้องของเฉียวเวย แล้วเผยอริมฝีปากสีแดงระเรื่อ เอ่ยเสียงใสว่า “ท่านแม่วันนี้พวกเราจะกลับบ้านกันหรือไม่เจ้าคะ”
“กลับ…บ้านหรือ” เฉียวเวยงุนงง
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ บอกว่า “หลิวเกอร์บอกว่าวันนี้คืนข้ามปี พวกเราต้องกลับบ้านเจ้าค่ะ!”
หลิวเกอร์มองมาตาปริบๆ เขาสบตากับเฉียวเวยจากนั้นก็ก้มหน้าขวับ มือน้อยกำชายเสื้อ
กล่าวกันตามตรง หลังจากเกิดเรื่องใหญ่เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มารดาของนางกับราชันอสูรเป็นตายยังไม่ทราบ เรื่องที่ชีวิตของอวิ๋นจูแขวนอยู่บนเส้นด้าย รวมถึงเรื่องที่จักรพรรดิอสูรหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางก็ไม่ทันคิดถึงเรื่องที่ว่าวันนี้เป็นคืนวันสิ้นปีและต้องกลับตระกูลจีเลยจริงๆ
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้กับนางและหมิงซิวมาหลายหน สถานที่ใดมีท่านพ่อท่านแม่ก็คือบ้าน แต่หลิวเกอร์ไม่เหมือนกัน เขาเติบใหญ่มาที่ตระกูลจี เขาไม่เคยไปจากที่แห่งนั้นสักเท่าไร ถึงวันสิ้นปีเขาย่อมต้องกลับบ้านแล้ว ออกมาข้างนอกนานถึงเพียงนี้ เด็กน้อยคนนี้คงจะคิดถึงบ้านเหมือนกัน
แต่ท่าทางนิ่งงันเมื่อครู่ของนางทำให้เด็กน้อยผู้มีความรู้สึกไวคนนี้ตระหนักได้แล้วว่านางไม่ได้วางแผนการไว้เช่นนั้น เขาจึงคิดว่าตนเองพูดผิดเสียแล้ว
เฉียวเวยบีบใบหน้าน้อยของหลิวเกอร์แล้วยิ้มน้อยๆ “ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่ของเจ้าสักคำ ดูซิว่าพี่ใหญ่ของเจ้ามีแผนการอย่างไร”
…
เมื่อวานจีหมิงซิวไม่ได้นอนพักที่เรือนสี่ประสาน เฉียวเวยไม่รู้ว่าเขาไปยุ่งกับเรื่องอะไร จนกระทั่งฟ้าสางเขาถึงกลับมา หลังจากลับมาก็นั่งอ่านข้อมูลอยู่ในห้องหนังสือ
เฉียเวยเข้าไปในห้องบอกเรื่องจะกลับตระกูลจีกับเขา “…ดีร้ายก็คงต้องพาเด็กๆ กลับไปส่งให้เหล่าฮูหยินได้พบหน้าสักหน่อย หากท่านไปไม่ได้ ข้าจะพาพวกเขาไป หลังจากนั้นข้าค่อยไปรวมตัวกับท่านที่สุสานองค์หญิง”
ตอนนี้ต้องขันแข่งกับเวลา เวลาที่เสียไปข้างนอกแต่ละชั่วอึดใจ หมายถึงอวิ๋นจู เฮ่อหลันชิงกับราชันอสูรต้องเสี่ยงอันตรายเพิ่มอีกหนึ่งส่วน ดังนั้นเฉียวเวยจึงไม่ขอให้จีหมิงซิวไปกับตน
ไหนเลยจะคิดว่าจีหมิงซิวฟังนางพูดจบก็นิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “ข้ามีเรื่องต้องกลับไปที่ตระกูลจีพอดี ไปด้วยกันเถิด”
เฉียวเวยเรียกฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนักไปด้วยกัน จากนั้นก็พาเด็กน้อยสามคนรวมถึงมู่เหยียนน้อยที่เพิ่งเกิดเดินทางกลับตระกูลจี
จีเหล่าฮูหยินกับจีซั่งชิงดีอกดีใจมาก คราที่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถูกลักพาตัวไป หลังจากทราบข่าวจีเหล่าฮูหยินก็เป็นลมไปทันที หลังจากนั้นแม้จะได้สติขึ้นมาแต่นางก็หดหู่เศร้าหมอง ข้าวปลาไม่กิน จนกระทั่งคนของพรรคโลหิตพิฆาตมาขอรับตัวหลิวเกอร์ถึงประตูบ้าน ตระกูลจีจึงทราบว่าตามหาเด็กน้อยทั้งสองคนพบแล้ว แต่หลิวเกอร์ก็จะถูกพาออกไปข้างนอกอีก นี่ทำให้จีเหล่าฮูหยินกับจีซั่งชิงกังวลแทบเป็นบ้า
ยังดีที่ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย!
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเจ้าตัวน้อยเพิ่มมาอีกคนด้วย
มู่เหยียนน้อยอายุครบหนึ่งเดือนแล้ว นางตัวใหญ่กว่าตอนแรกคลอดไม่น้อย แต่ก็ยังตัวผอมกว่าเด็กอายุเท่ากันเช่นเดิม นางนอนอยู่ในผ้าอ้อม ไม่ร้องไห้แล้วก็ไม่กรีดร้อง นางเบิกดวงตาไร้เดียงสาจนกลมโต ดวงตาคู่โตคล้ายองุ่นสีดำกลอกไปมาราวกับว่ากำลังมองสำรวจอย่างสงสัยใคร่รู้
จีเหล่าฮูหยินอุ้มนาง เมื่อเห็นท่าทางน่ารักน่าชังของนางก็ตื้นตันจนปาดน้ำตา
จีซั่งชิงเรียกใต้เท้าเจ้าสำนักไปที่ห้องหนังสือแล้วสั่งสอนเขายกหนึ่ง เนื้อความก็ประมาณว่า “หากเจ้าชอบพอผู้อื่นจริงๆ ก็ควรไปสู่ขอกับตระกูลของนาง พวกเราตระกูลจีไม่สนใจเชื้อสายวงศ์ตระกูลอะไรพรรค์นั้น ต่อให้ครอบครัวนางล่มจมไร้ญาติขาดมิตร ขอเพียงเจ้าพึงใจ ข้ายังจะปฏิเสธเจ้าหรือ เหตุไฉนเจ้าจึงทำลายความบริสุทธิ์ของหญิงสาวบ้านอื่นเช่นนี้” และอื่นๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักเสตามองฟ้า “จีหมิงซิวก็ทำเช่นนี้มิใช่หรือ ท่านมีปัญญาสั่งสอนเขาหรือไม่เล่า”
จีซั่งชิงสะอึกพูดไม่ออกทันใด
จีเหล่าฮูหยินอุ้มมู่เหยียนน้อยเสร็จก็ไปอุ้มหลานตัวน้อยทั้งสามคน นางเป็นห่วงหลิวเกอร์ที่ร่างกายอ่อนแอป่วยบ่อยเป็นที่สุด นางอุ้มเขาขึ้นมาแล้วก็ยกยิ้ม “อุ้มแล้วปวดแขนจริงเชียว มีเนื้อเพิ่มขึ้นแล้วสินะ!”
หลังจากนั้นนางก็ไปอุ้มจิ่งอวิ๋นต่อ พอรู้สึกว่าเขาหนักกว่าปีกลาย นางก็ยิ้มกว้างเต็มแก้ม “จิ่งอวิ๋นก็โตแล้ว”
วั่งซูกระโดดดึ๋งๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยเรียก “ท่านย่าทวด!”
จีเหล่าฮูหยินหันมาอุ้มนางบ้าง ทว่าอุ้มหนึ่งครั้งก็แล้วสองครั้งก็แล้วก็ยังอุ้มไม่ขึ้น นางพึมพำเสียงงึมงำ “เจ้านี่นะ…เหตุไฉนจึงไม่โตขึ้นเลยเล่า”
วั่งซูน้อยที่ตัวขยายออกด้านข้างสองชั่ง “…”
จีหว่านได้รับข่าวก็เดินทางมาเยี่ยมพร้อมกับหลินซูเยี่ยน พี่สาวคนโตเสมือนหนึ่งมารดา เมื่อองค์หญิงเจาหมิงไม่อยู่แล้ว งามสมรสของน้องชายทั้งสองไยมิใช่หน้าที่คนเป็นพี่สาวอย่างนางต้องลงมือ
ครั้นจีหว่านเห็นฟู่เสวี่ยเยียนก็ถูกอกถูกใจ ชมชอบยิ่งนัก สถานะอย่างฟู่เสวี่ยเยียน หากเป็นตระกูลใหญ่แห่งอื่นชะตาคงมีแต่ต้องเป็นอนุภรรยาเท่านั้น แต่จีหว่านเข้าใจดีว่าน้องชายซื่อบื้อคนนั้นของบ้านตนคว้าเอาภรรยาที่ทั้งงดงามทั้งชาญฉลาดเช่นนี้มาได้คนหนึ่งก็นับว่าโชคดีฟ้าประทานขนาดไหนแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ฝ่ายหญิงยังไม่รับปากเลยว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง!
เรือนลั่วเหมยมีแต่เสียงหัวเราะสุขสันต์ นอกเรือนมีหิมะโปรยปราย
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยเดินทางไปเขตต้องห้ามของตระกูลจี หนนี้ทั้งสองคนเดินผ่านประตูด้านบนไปอย่างสง่าผ่าเผย เฉียวเวยแสดงเครื่องหมายที่จีซั่งชิงมอบให้ องครักษ์ที่เฝ้าเขตต้องห้ามจึงปล่อยพวกเขาผ่านไป ทั้งสองคนเข้าไปในห้องศิลา อ้อมผ่านคลังอาวุธจนมาถึง ‘หอตำราลับ’ ที่เก็บตำราสารพัดชนิดเอาไว้
เฉียวเวยสุ่มหยิบตำราออกมาเล่มหนึ่ง “เหตุใดท่านจึงนึกถึงที่แห่งนี้ขึ้นมา”
จีหมิงซิวตอบว่า “ข้ากำลังคิดว่าตอนแรกเหตุไฉนมารดาของข้าจึงค้นพบพระราชวังใต้ดินได้ นางค้นพบด้วยตนเอง หรือว่าบรรพบุรุษเป็นผู้ค้นพบ แล้วพวกเขาทิ้งเงื่อนงำอันใดไว้ให้มารดาของข้าเจอ”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว “จริงด้วยสิ พระราชวังใต้ดินถูกฝังมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าอยากจะหาพบก็จะหาพบสักหน่อย…ท่านสงสัยว่าเงื่อนงำที่ว่าอยู่ในเขตต้องห้ามของตระกูลจีหรือ”
บรรพบุรุษตระกูลจีคือโหราจารย์รุ่นสุดท้ายเมื่อพันปีก่อน สมัยนั้นเขาทำนายไว้ว่าราชวงศ์เทียนฉี่จะล่มสลาย หลังจากคำทำนายของเขาเชื้อพระวงศ์เยี่ยหลัวจึงสร้างพระราชวังใต้ดินขึ้นมา เขาสามารถทำนายเห็นความล่มสลายของราชวงศ์ได้ จะทำนายถึงพระราชวังใต้ดินที่เยี่ยหลัวแอบสร้างไว้ไม่ได้เชียวหรือ
ความจริงไม่จำเป็นต้องทำนาย อาศัยสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับราชวงศ์เยี่ยหลัวก็คงเพียงพอจะคาดเดาได้แล้ว บางทีเขาอาจหาที่ตั้งของพระราชวังใต้ดินพบตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงสร้างจวนตระกูลจีเอาไว้ใกล้กับพระราชวังใต้ดิน
จีหมิงซิวมองตำราเต็มห้องแล้วเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ไอมังกรของพระราชวังใต้ดินหล่อเลี้ยงเมืองแห่งนี้อยู่ ทำให้มันกลายเป็นเมืองหลวงของต้าเหลียง มันไม่เพียงปกปักษ์เมืองแต่ยังปกปักษ์ต้าเหลียงทั้งหมดด้วย”
เฉียวเวยไม่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ย นางเบ้ปากบอกว่า “งมงาย”
จีหมิงซิวดีดหน้าผากของนางเบาๆ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนางต่อ เขาหมุนตัวไปค้นตำราตั้งโตอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยามนี้เฉียวเวยพอจะฟังภาษาเยี่ยหลัวเข้าใจบ้างแล้ว แต่ตัวอักษรเยี่ยหลัวนางยังเรียนมาไม่มากพอ จึงได้แต่เป็นลูกมือช่วยเขาหยิบจับเท่านั้น