หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 96-2 พี่ซิวลงมือ (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 96-2 พี่ซิวลงมือ (1)
ตอนที่ 96-2 พี่ซิวลงมือ (1)
ทั้งสองคนอ่านตำราอยู่ในหอตำราลับสักพัก จีหมิงซิวก็หาตำราไม้ไผ่ม้วนหนึ่งพบในหีบใบน้อยที่ไม่สะดุดตา บนตำราไม้ไผ่มีรอยผุพังไปบ้างแล้ว แต่ตัวหนังสือยังพออ่านออกอยู่จำนวนหนึ่ง
จีหมิงซิวกางตำราไม้ไผ่บนโต๊ะที่เฉียวเวยเช็ดจนสะอาดแล้วอย่างระมัดระวัง เขามองโต๊ะที่ไม่มีฝุ่นเหลืออยู่สักเม็ดแล้วก็ฉงนงงงวย หลังจากนั้นจึงหันไปกวาดสายตามองห้องลับที่ถูกเก็บกวาดจนเหมือนห้องใหม่แวบหนึ่ง เขาอดทึ่งนิดๆ ไม่ได้
เฉียวเวยยิ้มเจื่อน “ข้า…ไม่มีอะไรทำจึงเก็บกวาดไปเรื่อย”
จีหมิงซิวตอบว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
เฉียวเวยหัวเราะ จากนั้นจึงมองตำราไม้ไผ่แล้วถามว่า “ในนั้นเขียนสิ่งใดไว้หรือ มีเงื่อนงำเกี่ยวกับพระราชวังใต้ดินหรือไม่”
“มี” จีหมิงซิวพยักหน้า “ในนี้บันทึกการค้นหาพระราชวังใต้ดินของโหราจารย์รุ่นก่อนเอาไว้ เขาตามหาพระราชวังใต้ดินพบแล้วจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเคยเข้าไปด้วย”
เฉียวเวยตกตะลึง “มีเงื่อนงำจริงหรือ ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็พบเงื่อนงำชิ้นนี้จนตามหาพระราชวังใต้ดินพบอย่างนั้นสิ จะว่าไปแล้ว ท่านโหราจารย์รุ่นก่อนเข้าไปได้อย่างไรกัน เขารวบรวมกุญแจทั้งสี่มาครองได้อย่างนั้นหรือ”
จีหมิงซิวส่ายหน้า “เปล่า เขาเข้าไปด้วยทางลัด”
เฉียวเวยตกตะลึง “พระราชวังใต้ดินมีทางลัดด้วยหรือ”
จีหมิงซิวขานอืมตอบคำหนึ่งแล้วอธิบายต่อ “พระราชวังใต้ดินเป็นสิ่งที่ราชวงศ์เยี่ยหลัวสั่งให้คนสร้างขึ้นอย่างเป็นการลับ เป้าหมายก็เพื่อทิ้งความหวังในการฟื้นฟูแว่นแคว้นไว้ให้ทายาทรุ่นหลัง เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้คนในใต้หล้าล่วงรู้ไม่ได้ ดังนั้นคนที่สร้างพระราชวงใต้ดินเหล่านั้น สุดท้ายย่อมต้องฝังร่างไปพร้อมกับพระราชวังใต้ดินแห่งนี้”
เฉียวเวยสั่นสะท้าน “โหดร้ายนักเชียว”
จีหมิงซิวเล่าต่อ “ไม่ใช่ทุกคนจะยินยอมพร้อมใจตาย นายช่างบางคนที่ไม่อยากตายจึงแอบสร้างอุโมงค์หรับเอาชีวิตรอดไว้ให้ตนเองพร้อมกับที่สร้างพระราชวังใต้ดิน โหราจารย์ตามหาอุโมงค์เส้นนี้จนพบแล้วเข้าไปในพระราชวังใต้ดิน”
เฉียวเวยครุ่นคิด “ถ้าเช่นนั้น…ภายในพระราชวังใต้ดินมีสิ่งใดบ้างหรือ”
จีหมิงซิวมองตำราไม้ไผ่ครึ่งหลังที่ชำรุดอย่างยิ่ง แล้วเอ่ยอย่างเสียดายว่า “ไม่ทราบ เสียหายหมดแล้วอ่านไม่ออก”
เฉียวเวยลูบปลายคาง “แล้วจะไปอุโมงค์เส้นนั้นได้อย่างไรมีบอกไว้หรือไม่”
จีหมิงซิวชะงัก
เฉียวเวยมองเขาตาปริบๆ “ไม่ได้บอกไว้หรือ”
จีหมิงซิวชะงักไปวูบเดียวก็เอ่ยตอบด้วยสีหน้านิ่งสนิท “บอกไว้”
“ไปอย่างไรหรือ” เฉียวเวยเบิกตาโต เหลือบไปมองตำราไม้ไผ่ผุพังเล่มนั้นซ้ำไปซ้ำมา “ไม่มีแผนที่นี่นา”
จีหมิงซิวปลดถุงน้ำแล้วหาพู่กันมาด้ามหนึ่ง เขาจุ่มพู่กันกับน้ำแล้ววาดบนพื้นหิน “ในนี้เขียนไว้ ข้าจะวาดให้เจ้าดู”
เฉียวเวยจ้องพื้นหินตาไม่กะพริบ เพียงไม่นานพู่กันของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีก็วาดแผนที่ซึ่งดูราวกับจะมีชีวิตขึ้นมาบนแผ่นหินเย็นเฉียบ จีหมิงซิวชี้แผนที่แล้วบอกว่า “นี่คือพระราชวังใต้ดิน นี่คือสุสานองค์หญิง นี่คือตระกูลจี ส่วนนี่คือวังหลวง”
“ดูจากแผนที่แล้ว ตระกูลจีอยู่ห่างจากพระราชวังไม่ไกลเลยนะ”
หากลากเส้นเป็นเส้นตรงย่อมไม่ไกล เพียงแต่เมื่อเมืองถูกสร้างขึ้น มีถนนมีบ้านเรือนประชาชนจึงต้องเลี้ยววกไปวนมา ระยะทางที่จะเดินทางไปสุสานองค์หญิงจึงเห็นชัดว่าไม่ใกล้นักแล้ว
ทว่าสุสานองค์หญิงเป็นเพียงประตูทางเข้าของพระราชวังใต้ดินเท่านั้น ตัวพระราชวังใต้ดิน ‘กว้างขวางใหญ่โต’ มันจึงกินพื้นที่ยื่นมาจนเกือบจะถึงจวนองค์หญิงที่ตระกูลจี
เฉียวเวยเบิกตาโต “จวนองค์หญิงหรือ จวนองค์หญิงก็คือทางเข้าอุโมงค์แห่งนั้นหรือ”
จีหมิงซิวส่ายหน้า “ไม่ใช่ ทางเข้าอยู่นอกประตูตะวันออกของวังหลวง ก็เพราะว่าตรงนั้นมีเส้นทางเส้นหนึ่งให้ไอมังกรของพระราชวังใต้ดินเล็ดลอดออกมา มันจึงเป็นจุดที่มีไอมังกรหนาแน่นที่สุดและกลายเป็นที่ตั้งของวังหลวง”
ปากน้อยๆ ของเฉียวเวยเบ้ออก “อีกแล้ว”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “เจ้ายังจำภูมิประเทศของเมืองอวิ๋นจงได้หรือไม่”
เฉียวเวยกลอกลูกตา “จำได้สิ”
จำได้ก็แปลกแล้ว
จีหมิงซิวมองออกแต่ไม่เปิดโปง เขาอธิบายให้นางฟังอย่างอดทน “เทือกเขาหมั่งฮวงก็เปรียบเสมือนมังกรตัวหนึ่ง เมืองเยี่ยเหลียงตั้งอยู่บนหัวมังกร แต่เดิมมันเป็นตำแหน่งที่ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยมที่สุด คิดไม่ถึงว่าเมืองอวิ๋นจงกลับตั้งอยู่ตรงตำแหน่งแก้วมังกรของเทือกเขาหมั่งฮวง ตำแหน่งแก้วมังกรอยู่เหนือกว่าหัวมังกร มันจึงข่มโชควาสนาของเมืองเยี่ยเหลียง ทำให้โชคชะตาของลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงเหนือกว่าเยี่ยหลัวเล็กน้อย”
เฉียวเวยพึมพำ “นั่นไม่ใช่เพราะลัทธิศักดิ์สิทธิ์เจ้าเล่ห์เพทุบายหรือไรกัน”
จีหมิงซิวพยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบายก็เป็นความจริง ตอนแรกที่เลือกสร้างเมืองอวิ๋นจง ณ ที่แห่งนั้น แต่เดิมก็เพราะต้องการจะข่มดวงชะตาของเยี่ยหลัว”
เรื่องนี้เถียงอย่างไรก็คงไปไม่ถึงไหน เฉียวเวยเสตามองฟ้า แล้วทำหน้าจริงจังเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าเชื่อแต่ว่าลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน”
จีหมิงซิวพึมพำเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน…”
…
บ่ายคล้อย เฉียวเวยเดินทางไปที่สุสานองค์หญิง ส่วนจีหมิงซิวเข้าไปในวัง
การบุกจู่โจมสุสานองค์หญิงทำให้ฮ่องเต้พิโรธอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ออกคำสั่งปิดเมืองหลวงทั้งเมือง ไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นซู่ที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ไม่อนุญาตให้ออกไป
มือสังหารน่าจะยังไม่ทันหนีออกจากเมืองหลวง เพียงแต่ว่าเมืองหลวงใหญ่โตถึงเพียงนี้ อีกทั้งมือสังหารก็เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง การจะค้นหาตัวเขาพบไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
ขณะที่ฮ่องเต้ปวดเศียรเวียนเกล้า ขันทีก็มาแจ้งว่าจีหมิงซิวขอเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ตรัสอย่างร้อนพระทัย “มาพอดี รีบประกาศเร็ว!”
จีหมิงซิวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในห้องทรงพระอักษร จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเยี่ยหลัวและเมืองอวิ๋นจงให้ฮ่องเต้ฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่ตกหล่นสักเรื่องเดียว
ฮ่องเต้ฟังจบ หนังตาก็เริ่มกระตุกหงึกๆ “…เจ้าหมายความว่า…ราชาเยี่ยหลัวถูกคนหลอกใช้ ทุกสิ่งล้วนเป็นฝีมือของคนแซ่อวิ๋นคนนั้นหรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “กล่าวเช่นนั้นก็ได้”
ฮ่องเต้คิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามเสียงเข้ม “พระสนมอานเฟยก็เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบว่า “พระสนมอานเฟยเป็นคนสนิทของเหยาจวิ้น อวิ๋นซู่เป็นเจ้าลัทธิของเหยาจวิ้น สิ่งที่พวกนางสองคนลงมือทำย่อมตัดความเกี่ยวข้องจากอวิ๋นซู่ไม่ขาด”
ฮ่องเต้ลูบพระเศียรที่เหมือนจะยังมีเมฆสีเขียวลอยวนเวียนอยู่ มุมปากกระตุกอย่างแรง “เจ้าสารเลว อย่าให้ข้าจับตัวเขาได้เชียวนะ! ข้าจะถลกหนังเขาออกมาทั้งเป็น! ร่างของเจาหมิงเล่า”
จีหมิงซิวตอบตามความจริง “ร่างยังอยู่ในมืออวิ๋นซู่ เรื่องเร่งด่วนยามนี้คือเข้าไปในพระราชวังใต้ดินให้เร็วที่สุด จั๋วหม่ากับราชันอสูรคงทนได้ไม่นาน ท่านยายก็เช่นกัน”
ฮ่องเต้หลับพระเนตร สูดลมหายใจลึกแล้วตรัสว่า “เข้าใจแล้ว”
…
บ่ายวันนั้นจีหมิงซิวกับฮ่องเต้มุ่งหน้าไปที่ประตูตะวันออกของวังหลวง
“ที่นี่หรือ” ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านในประตูตะวันออกแล้วถามขึ้นมา
จีหมิงซิววัดระยะห่างด้านในประตูกับด้านนอกประตูด้วยสายตา จากนั้นเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนักว่า “คงจะต้องลองขุดทั้งสองฝั่งดูสักหน่อย”
หลังจากนั้นเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้ข่าวเล็ดลอดออกไปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ หากปล่อยให้อวิ๋นซู่รู้ว่าพวกเราตามหาทางเข้าพระราชวังใต้ดินพบแล้ว เขาจะต้องคิดหาหนทางทำลายมันเป็นแน่ อาการบาดเจ็บของท่านยายชักช้าอีกไม่ได้แล้ว”
“ข้าเข้าใจ” ฮ่องเต้เรียกทหารราชองครักษ์กลุ่มหนึ่งมาแล้วออกคำสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบ ผู้ใดกล้าแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป มีโทษประหารไม่ละเว้น
นอกเหนือจากนี้ฮ่องเต้ยังออกคำสั่งประกาศว่าประตูตะวันออกต้องซ่อมบำรุง ให้ทุกคนอ้อมประตูตะวันออกไปใช้สามประตูที่เหลือ ส่วนด้านนอกประตูตะวันออกก็ให้ส่งทหารจำนวนมากไปเฝ้าไว้ไม่ให้ผู้ใดได้เข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว
ทหารราชองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มีเพียงคนยี่สิบคนที่ถูกทิ้งไว้ขุดที่แห่งนี้ พวกเขาได้ยินว่าฮ่องเต้เชื่อคำพูดของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจึงต้องการค้นหาชีพจรมังกรที่อยู่ใต้ดิน
พวกเขาแบ่งกันขุดสี่คนหนึ่งหลุม ด้านนอกประตูตะวันออกสองหลุม ด้านในประตูตะวันออกสามหลุม เหล่าทหารราชองครักษ์ขุดดินท่ามกลางแสดงตะวันแผดเผา จวบจนกระทั่งตกเย็น ขุดหลุมลึกได้แปดเก้าหลุมก็ยังไม่พบสิ่งที่ทำให้ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีพอใจ
ทหารราชองครักษ์นายหนึ่งยืนอยู่ที่ก้นหลุมลึกเกือบหนึ่งจั้ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าเปื้อนดินมอมแมมถามว่า “ใต้เท้า ต้องขุดอีกหรือ”
จีหมิงซิวนั่งยองๆ ลงมาขยี้ดินดูแล้วบอกว่า “พวกเจ้าไปกินข้าวก่อน กินเสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนตำแหน่งแล้วขุดต่อ!”
ห้องเครื่องเตรียมอาหารไว้ก่อนแล้ว พวกเขาส่งกล่องอาหารมาให้ทุกคน
“ข้าจะไปเข้าส้วมหน่อย!” ทหารราชองครักษ์ที่ขุดหลุมคนเมื่อครู่วางตะเกียบลงแล้ววิ่งฉิวไปห้องส้วมที่อยุ่ด้านหลังภูเขา
ขันทีผู้มาส่งอาหารคนหนึ่งแววตาทอประกายแล้วติดตามไปอย่างเงียบเชียบ
ครึ่งเค่อหลังจากนั้น ทหารราชองครักษ์นายหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังของภูเขา เขายกมุมปากยิ้มอย่างเย็นชาแล้วนั่งยองๆ ลงไปหยิบดินกำหนึ่งมาป้ายบนใบหน้าหล่อเหลาของตนเอง หลังจากนั้นเขาก็ใช้หิมะสีขาวล้างคราบเลือดบนหมวกเกราะจนสะอาดเกลี้ยง ก่อนจะสวมบนศีรษะของตนเอง