หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 97-1 พี่ซิวลงมือ (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 97-1 พี่ซิวลงมือ (2)
ตอนที่ 97-1 พี่ซิวลงมือ (2)
ทุกคนเติมท้องให้อิ่มอย่างเร็วที่สุด แล้วรีบกลับไปที่ประตูตะวันออก บุรุษผู้นั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เมื่อเขากลับมายังหลุมที่ขุดอยู่ มือหยาบกร้านเต็มไปด้วยรอยด้านข้างหนึ่งก็ตะปบลงมาบนหัวไหล่ของเขา
ร่างกายบึกบึนของเขาสะดุ้งเฮือก ดวงตาฉายแววระแวดระวังวูบหนึ่ง ตอนที่เขาคิดจะทุ่มอีกฝ่ายลงไปกองกับพื้นตามสัญชาตญาณนั่นเอง อีกฝ่ายก็พูดกับเขาเสียงดังกังวาน “เฮ้ย อู่จื่อ เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมา ข้าวของเจ้าเย็นหมดแล้วนะ!”
ร่างกายที่เกร็งเครียดของบุรุษผู้นั้นค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาใช้ฝ่ามือสกปรกถูดั้งจมูก ทำให้ตนเองถูกจดจำใบหน้าได้ยากกว่าเดิม หลังจากนั้นจึงจงใจเอ่ยเสียงแหบพร่าว่า “ไปห้องส้วมมาน่ะ“
“เสียงเจ้าเป็นอะไรไป” ทหารราชองครักษ์วัยกลางคนด้านหลังคนนั้นถาม
บุรุษผู้นั้นตอบเสียงเบาว่า “ไม่สบายนิดหน่อย”
ทหารราชองครักษ์วัยกลางคนตบหัวไหล่เขาแล้วคลี่ยิ้ม “เจ้านี่นะ ไม่เคยทำงานหนักเช่นนี้ล่ะสิ ได้ทำงานให้ฝ่าบาทคือบุญวาสนาแปดชาติของพวกเรา รออีกประเดี๋ยวฮ่องเต้เสด็จมาก็อย่าทำหน้าบึ้งเข้าใจหรือไม่”
บุรุษผู้นั้นค้อมกายเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว”
ทหารราชองครักษ์วัยกลางคนยิ้ม แล้วไม่ชักช้า ก้าวเท้ากลับไปที่ตำแหน่งของตนเองแล้วหยิบพลั่วเหล็กขึ้นมาขุดหลุมต่อ
บุรุษผู้นั้นสังเกตสภาพรอบด้านอย่างเงียบๆ สี่คนต่อหนึ่งหลุม…เขาพบทหารราชองครักษ์ที่รวมกลุ่มสามคนอยู่ด้านในหลุมที่ขุดขึ้นใหม่ด้านในของประตูตะวันออก เขาดึงหมวกเหล็กให้ต่ำลง จากนั้นจึงเดินเข้าไปเงียบๆ
เล่าถึงฝั่งเฉียวเวย หลังจากนางออกมาจากตระกูลจีก็นั่งรถม้าไปถึงสุสานองค์หญิง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานมาถึงที่นั่นแล้ว พวกเขานำอาหารจำนวนหนึ่งมาด้วย ไห่สือซานตระเตรียมผ้านวมผืนใหญ่มาอีกสองผืนอย่างใส่ใจ
ทุกคนเข้าไปในสุสานองค์หญิง ตรงโถงถ้ำชั้นล่างสุดของสุสาน ด้านนอกประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดิน พวกเขาเห็นเฉียวเจิงกับอี้เชียนอินสีหน้าย่ำแย่
ทั้งสองคนราวกับคนสูญเสียวิญญาณ มองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทอย่างนิ่งงัน
ในมือของอี้เชียนอินถือกระบี่ที่ปลายบิ่นแล้วเล่มหนึ่ง ส่วนในมือของเฉียวเจิงมีค้อนเหล็กอันใหญ่หนึ่งอัน ไม่รู้ว่าทั้งสองคนใช้วิธีการอะไรไปบ้างแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจทลายประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินได้ ทั้งสองคนลองมาหมดแล้วทั้งขุดอุโมงค์ ทั้งทุบเพดานถ้ำ แต่พระราชวังใต้ดินเหมือนคุกที่มิอาจทลายแห่งหนึ่ง จนตอนนี้ทั้งสองคนเหน็ดเหนื่อยจนไม่เหลือเรี่ยวแรงสักกระผีกแล้ว
เฉียวเวยเดินเข้าไปประคองเฉียวเจิงที่ยืนโงนเงนจะล้ม แล้วมองเขาอย่างปวดใจ ก่อนจะบอกว่า “ท่านพ่อ ท่านมานั่งสักประเดี๋ยวก่อนเถิด ท่านดูสิท่านเหน็ดเหนื่อยจนเป็นเช่นนี้แล้ว”
ไห่สือซานขนม้านั่งตัวน้อยตัวหนึ่งมาอย่างว่องไว
เฉียวเวยประคองเฉียวเจิงไปนั่ง จากนั้นก็ปลดถุงน้ำตรงเอวออกมาแล้วดึงจุกถุงออก ส่งไปหน้าริมฝีปากที่แห้งผากจนปริแตกของเฉียวเจิง เสร็จแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงท่านแม่ ข้าเองก็เป็นห่วงนางเช่นกัน แต่ท่านจะฝืนจนตนเองย่ำแย่ไม่ได้ มาดื่มน้ำสักหน่อยเถิด”
เฉียวเจิงรับถุงน้ำไป แล้วร่ำไห้สะอึกสะอื้น “ข้าไม่ได้ยินเสียงของแม่เจ้าเลย…นางคงไม่…”
“ไม่มีทางอยู่แล้ว!” เฉียวเวยเอ่ยขัดคำพูดของบิดาตนอย่างไม่หยุดคิดสักนิด จากนั้นก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ว่าคลื่นลมใหญ่โตเท่าใดมารดาของข้าก็ฟันฝ่ามาได้ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้นับเป็นอันใด ไม่ใช่แค่อยู่อีกฟากหนึ่งของประตูหรอกหรือ รอพวกเราเปิดประตูได้ นางก็กลับมาได้แล้ว!”
เฉียวเจิงร้องไห้จนพูดไม่เป็นคำ “แต่เหตุใดจึงไม่มีเสียงออกมาสักนิดเลยเล่า”
เรื่องนี้ประหลาดอย่างยิ่งจริงๆ เฉียวเจิงมาช้าจะไม่ได้ยินเสียงก็พอจะมีเหตุผล แต่อี้เชียนอินเฝ้าอยู่นอกประตูใหญ่ไม่ผละออกไปไหนสักก้าวตั้งแต่ประตูปิดลง จากที่เขาเล่า เขาเองก็ไม่ได้ยินเสียงของมารดานางกับราชันอสูรเช่นกัน
ราวกับว่า…ด้านในไม่มีมนุษย์ที่มีชีวิตคนใดอยู่แล้ว
อี้เชียนอินตะโกนอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบจากมารดาของนางกับราชันอสูร
เรื่องนี้…ผิดปกติเกินไป
หัวใจของเฉียวเวยบีบรัด
“เจ้าก็รู้สึกว่าผิดปกติใช่หรือไม่” เฉียวเจิงมองบุตรสาวอย่างทุกข์ระทม
เฉียวเวยตั้งสมาธิปลอบบิดาของตนว่า “ข้าไม่คิดว่าผิดปกติ ท่านแม่กับราชันอสูรคงออกไปค้นหาเส้นทางอยู่แน่ ตอนนี้เพิ่งผ่านไปหนึ่งคืนเท่านั้น ข้าเชื่อว่าท่านแม่จะไม่เป็นอะไร”
“จริงหรือ” เฉียวเจิงถามอย่างเป็นกังวลแต่ก็แฝงความคาดหวัง
เฉียวเวพยักหน้า “จริงสิเจ้าคะ”
เฉียวเจิงสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่าไม่ทันไรเขาก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาอีก “แต่ว่า…แต่ว่าจะเปิดประตูบานนี้อย่างไรเล่า”
ที่แห่งนี้นอกจากเฉียวเจิงกับอี้เชียนอิน ก็มีองครักษ์ที่มาเฝ้าใหม่จำนวนไม่น้อย เฉียวเวยเกรงว่าจะมีสายลับคนใดแฝงตัวเข้ามา จึงกดเสียงเบาบอกว่า “พระราชวังใต้ดินยังมีอุโมงค์อีกเส้นหนึ่งที่เชื่อมไปถึงใจกลางพระราชวังใต้ดิน ทางเข้าอยู่ที่วังหลวง หมิงซิวพาคนไปขุดแล้ว”
เฉียวเจิงดวงตาเป็นประกาย “เจ้าไม่หลอกข้าใช่หรือไม่”
เฉียวเวยประคองถุงน้ำในมือเขาขึ้นมา “จะหลอกได้อย่างไรเล่า ข้าดูแล้วท่านอย่าเฝ้าอยู่ทางนี้เลยจะดีกว่า กลับไปก่อนเถิด รอได้ข่าวจากฝั่งหมิงซิวแล้ว ข้าค่อยแจ้งท่านอีกครั้ง”
เฉียวเจิงดื่มน้ำคำหนึ่ง ลำคอไม่แสบร้อนเท่าเดิมแล้ว เขาถอนหายใจเบาๆ ตอบว่า “ไม่ดีกว่า มารดาของเจ้าอยู่ด้านในคนเดียว ข้าไม่วางใจ ข้ารออยู่ทางนี้ดีกว่า รอฝั่งเจ้ามีข่าวแล้ว ข้าค่อยเดินทางไป“
เฉียวเวยรู้ว่าตนเองกล่อมเขาไม่สำเร็จแน่จึงไม่ยืนกรานต่อ เพียงแต่ข่มขู่อย่างดุๆ “ปล่อยท่านไว้ที่นี่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ท่านต้องกินข้าวดีๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะทุบท่านให้สลบแล้วแบกกลับไป!”
เฉียวเจิงขานรับอย่างฮึดฮัด
เฉียวเวยกับไห่สือซานกลับไปที่เรือนสี่ประสานเพื่อดูแลอวิ๋นจู ส่วนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางไปที่วังหลวง
ฝั่งวังหลวงขุดหลุมลึกไปได้สิบกว่าหลุมแล้ว แต่ก็ยังไม่พบอะไรทั้งสิ้น ฮ่องเต้เสด็จไปโผล่พระพักตร์ที่งานเลี้ยงไวๆ หนหนึ่งก็เผ่นออกจากงาน ตอนที่เสด็จมาถึงฝั่งนี้ ฉลองพระองค์มังกรยังไม่ทันถอดเปลี่ยน
พระองค์ทอดพระเนตรหลุมลึกขนาดใหญ่ด้านในและด้านนอก จากนั้นถามจีหมิงซิวที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่ ทางเข้าอาจจะไม่อยู่ที่ประตูตะวันออกแต่อยู่ที่อื่นหรือเปล่า”
จีหมิงซิวตอบอย่างมั่นใจยิ่ง “อยู่แถวนี้พ่ะย่ะค่ะ ขยายขอบเขตอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
ทหารราชองครักษ์ทั้งหลายขุดจนมือพองเลือดไหลแล้ว
เพื่อการปลอมตัวบุรุษคนนั้นจึงขุดอย่างขันแข็งอย่างยิ่ง
“อู่จื่อ!” พรรคพวกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านบนของหลุมพลางเคาะพลั่วเหล็กกับพื้น แล้วบอกเขาว่า “ขึ้นมาเถอะ เปลี่ยนตำแหน่งแล้ว”
บุรุษผู้นั้นจับเชือกปีนขึ้นไปด้านบน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำลังรีบร้อนเดินเข้ามาพอดี คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีคนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากหลุม เขาตกใจจนสะดุ้งชนกับบุรุษคนนั้นอย่างจัง บุรุษคนนั้นถูกชนทำท่าจะหล่นลงไปในหลุมลึก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงเอื้อมแขนข้างหนึ่งออกไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ด้วยสัญชาตญาณ
หลังจากนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็สัมผัสได้ถึงกำลังภายในอันแข็งแกร่งสายหนึ่งที่ซัดมาจนฝ่ามือเขาชาหนึบ แต่ความรู้สึกนี้หายไปรวดเร็วเหลือเกิน เพียงชั่วพริบตาก็มลายหายไปไม่รู้สึกแล้ว
หากเป็นก่อนหน้านี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอาจเข้าใจว่าตนเองคิดไปเอง ทว่าตอนนี้น่ะหรือ หลังจากกำลังภายในเพิ่มพูน ประสาทสัมผัสที่ใช้สำรวจคู่ต่อสู้ของเขาก็เฉียบคมขึ้น เขาแทบจะยืนยันได้ว่าบุรุษคนนี้ตรงหน้าไม่ใช่ทหาราชองครักษ์ธรรมดา
หลังจากอึ้งไปครู่สั้นๆ เขาก็ดึงคนขึ้นมาโดยไม่เผยพิรุธใดๆ ทั้งสิ้น ชายหนุ่มก้มหน้าเอ่ยขอบคุณแล้วถือพลั่วเหล็กเดินจากไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองแผ่นหลังของเขาหายลับไปแล้วขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
จีหมิงซิวเดินเข้ามาหาอย่างใจเย็น “เกิดอะไรขึ้น”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกวาดสายตามองบุรุษที่หันหลังให้ทางนี้แล้วขุดหลุมอย่างขยันขันแข็ง “คนพวกนี้เป็นทหารราชองครักษ์ธรรมดาหรือว่าองครักษ์ลับในวังหลวงขอรับ”
จีหมิงซิวตอบว่า “ทหารราชองครักษ์ เหตุใดจึงถามเช่นนี้”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบุ้ยปากบอกว่า “คนผู้นั้น วรยุทธ์ของเขาสูงผิดปกติอยู่เล็กน้อย”
จีหมิงซิวมองไปตามคำบอก บังเอิญจังหวะนั้นบุรุษผู้นั้นกับสหายแลกตำแหน่งกัน เขาจึงหันหน้ามาทางจีหมิงซิวด้านนี้
ปลายหางตาของบุรุษผู้นั้นเหลือบมองมาด้านนี้ แต่ไม่กล้าสบตากับจีหมิงซิว
จีหมิงซิวเพ่งมองเขา จากนั้นจึงสั่งอย่างไม่แสดงพิรุธ “เมื่อครู่พวกเขากินข้าวกันอยู่ เจ้าไปดูจุดที่พวกเขากินข้าวกันซิ”
“ขอรับ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขานรับแล้วจากไป
จุดที่กินข้าวอยู่ไม่ไกล มันอยู่ตรงระเบียงทางเดินเส้นหนึ่งทางด้านขวาของถนนในพระราชวัง ขันทีอายุน้อยหลายคนกำลังทำความสะอาดคราบสกปรกหลังทานอาหารอยู่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินตระเวนตรงนั้นครู่หนึ่งก็ถามพวกขันทีน้อยว่าเห็นคนน่าสงสัยคนใดหรือไม่ ขันทีน้อยทั้งหลายต่างพากันส่ายศีรษะ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชะงักไปครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้วถามอีกว่า “ห้องส้วมอยู่ที่ใด”
ขันทีน้อยทั้งหลายชี้บอกทาง
ทิวทัศน์ของวังหลวงไม่ว่าตรงที่ใดล้วนงามวิจิตร ดังนั้นของอย่างห้องส้วมย่อมไม่สร้างอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ในทันที หลังจากเดินอ้อมระเบียงทางเดินก็พบภูเขาลูกน้อยที่สร้างจากฝีมือมนุษย์ลูกหนึ่ง ห้องส้วมอยู่ด้านหลังภูเขา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปดูที่ห้องส้วมก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด ทว่าในพุ่มไม้ด้านข้างกลับพบเสื้อผ้าขันทีชุดหนึ่ง เสื้อผ้าชุดนี้ใหม่อย่างยิ่ง แล้วยังมีกลิ่นสบู่ติดอยู่ ผู้ใดจะทิ้งเสื้อผ้าดีๆ เช่นนี้ไว้ในสถานที่เช่นนี้กัน
สิ่งใดผิดปกติย่อมมีลับลมคมใน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยค้นหาแถวด้านหลังภูเขาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ในที่สุดก็พบศพแข็งทื่อร่างหนึ่งอยู่ในห้องเก็บฟืนขนาดเล็กที่ถูกทิ้งร้าง ศพนั่นเป็นของบุรุษที่ฝึกยุทธ์มานานปีคนหนึ่ง กลางฝ่ามือกับตรงปลายนิ้วมีเนื้อด้านหนา แล้วยังมีตุ่มพองห้อเลือดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นอีกหลายจุด
“ตุ่มพองห้อเลือด…”