หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 98-1 วั่งซูมาแล้ว
ตอนที่ 98-1 วั่งซูมาแล้ว
อวิ๋นซู่ฟังคำพูดอันมั่นอกมั่นใจของมู่ชิวหยางจบ ใบหน้าก็ไม่มีร่องรอยความหวั่นไหวแม้แต่น้อย
นี่เห็นชัดว่าเขาไม่เชื่อ
หัวใจของมู่ชิวหยางมีความกรุ่นโกรธผุดพรายออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนพบเจอกับอวิ๋นซู่ เขาเคยเป็นบุตรผู้เป็นที่รักของสวรรค์ ไฉนเขาจะเคยต้องคอยดูสีหน้าผู้อื่น ต่อให้ตกเป็นเชลยในมือจีหมิงซิว แต่พูดกันตามตรงยามนั้นศักดิ์ศรีของเขาก็ไม่ถูกเหยียบย่ำมากเท่าใดนัก
ความจริงที่เขาหันไปเข้ากับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เพราะไร้ทางเลือก แต่เพราะความทะเยอทะยานของตนเอง เพียงแต่ยิ่งทำงานกับอวิ๋นซู่มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าความทะเยอทะยานของตนเองกำลังถูกอวิ๋นซู่ทำลายลงไปทีละน้อย
คนผู้นี้เป็นบุรุษที่เผด็จการอย่างที่สุด เขาไม่อนุญาตให้ผู้ใดท้าทายอำนาจของเขาและไม่ยอมให้ผู้ใดตัดสินใจเรื่องใดแทนเขา
อวิ๋นซู่กล่าวว่า “เจ้าไปสืบข่าวก็พอแล้ว เรื่องจริงหรือลวง เจ้าลัทธิผู้นี้จะตัดสินเอง”
มู่ชิวหยางหลุบสายตาลงช้าๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว หากไม่มีเรื่องใดแล้ว…ข้าขอกลับห้องไปรักษาตัวก่อน”
อวิ๋นซู่โยนน้ำอมฤตขวดหนึ่งให้เขา
น้ำอมฤตเป็นยาวิเศษสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ ที่ต้าเหลียงหาวัตถุดิบสำหรับปรุงมันขึ้นมาไม่ได้ ใช้ไปหยดหนึ่งก็น้อยลงหยดหนึ่ง กล่าวได้ว่ามันล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ
ตบหนึ่งฉาดจากนั้นมอบพุทราหวานหนึ่งเม็ด วิธีการเช่นนี้เป็นสิ่งที่อวิ๋นซู่ใช้จนชินชา
มู่ชิวหยางกำขวดยาแน่น “ขอบพระคุณท่านเจ้าลัทธิ”
อวิ๋นซู่โบกมือ มู่ชิวหยางถือขวดยากลับห้องไป
หลังจากนั้นอวิ๋นซู่ก็เรียกชางจิวเข้ามา ไม่รู้ว่าเขาสั่งการอันใดกับชางจิว ชางจิวจึงใช้วิชาตัวเบาหายลับไปท่ามกลางรัตติกาลอันไร้ที่สิ้นสุดประหนึ่งเหยี่ยวเหินเวหา
ผู้ที่เติบใหญ่ในเยี่ยหลัวต่างทนต่อความหนาวเย็นได้โดยธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้อวิ๋นซู่ก็นับว่ามีร่างกายของมารโลหิตกึ่งหนึ่งแล้ว อากาศที่หนาวยะเยือกสำหรับคนธรรมดาเช่นนี้ก็เหมือนลมเย็นยามต้นฤดูใบไม้ร่วงสำหรับเขาเท่านั้น
เขานั่งอยู่ข้างกายกงซุนฉางหลีอย่างสบายอกสบายใจ ปลายนิ้วไล้มืองามประหนึ่งหยกของกงซุนฉางหลี สายตาหันไปมองท้องนภาอันกว้างใหญ่ไพศาลด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ
จนกระทั่งได้ยินเสียงไอที่กงซุนฉางหลีข่มกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ อวิ๋นซู่จึงหันกลับมามองเขาอย่างอ่อนโยน “หนาวหรือ”
กงซุนฉางหลีไม่ตอบ
ทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์คนที่กล้าสะบัดหน้าหนีอวิ๋นซู่เช่นนี้มีเพียงกงซุนฉางหลีคนเดียว
อวิ๋นซู่ไม่โกรธ เขากลับหัวเราะเบาๆ “ยังโกรธข้าอยู่หรือ”
กงซุนฉางหลีมองออกไปไกลๆ พลางตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มิกล้า”
อวิ๋นซู่กุมมืองามที่เย็นเฉียบของเขาแล้วยกมุมปากโค้งนิดๆ เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้มร่างกำยำลงมา มือข้างหนึ่งอ้อมไปตรงแผ่นหลัง มือข้างหนึ่งช้อนใต้หัวเข่าอุ้มเขาขึ้นมาทั้งตัว
ศิษย์และนักรบมรณะที่เฝ้าอยู่รอบด้านต่างจดจ้องมองจมูก ก้มหน้าคางชิดอกเสมือนหนึ่งไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
ความอัปยศอดสูเช่นนี้มิใช่ว่าประสบพบเจอบ่อยครั้งเข้าแล้วจะทำใจให้คุ้นชินได้ ทว่าสีหน้าของกงซุนฉางหลีกลับไม่ปรากฏสีหน้าผิดปกติแต่อย่างใด เสมือนว่าหัวใจของเขาตายไปแล้ว
อวิ๋นซู่พออกพอใจมาก เขาอุ้มอีกฝ่ายกลับมาวางบนเตียงอย่างอ่อนโยนจากนั้นดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้เขาจนเรียบร้อย แล้วบอกเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าจะไปฝึกวิชา จำไว้ว่าต้องกินยาด้วย” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินไปอีกห้องหนึ่ง
หญิงรับใช้ต้มยาเสร็จแล้วกำลังจะนำไปมอบให้กงซุนฉางหลี ทว่าเดินมาได้ครึ่งทางกลับพบมู่ชิวหยางที่รักษาอาการบาดเจ็บหายแล้ว
หญิงรับใช้ค้อมกายเล็กน้อย “ผู้พิทักษ์มู่”
มู่ชิวหยางยื่นมือออกมาบอกว่า “ส่งมาให้ข้าเถิด ข้าจะยกไปให้กงซุนฉางหลีเอง”
หญิงรับใช้ลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ส่งให้เขา
มู่ชิวหยางยกยาสีดำปี๋ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเคาะประตูห้อง “ข้าเอง มู่ชิวหยาง ข้าเข้าไปแล้วนะ”
แกรก! ประตูถูกผลักเปิด
ที่แห่งนี้เป็นบ้านหลังหนึ่งที่ดูเหมือนถูกทิ้งร้างไม่มีผู้ใดใช้งาน แต่อุปกรณ์เครื่องเรือนกลับครบครัน ตั้งแต่ตอนที่พระสนมอานเฟยยังมีชีวิตอยู่ นางก็สร้างฐานลับเอาไว้ไม่น้อย ที่แห่งนี้ก็คือหนึ่งในนั้น
บนพื้นปูพรมขนแกะหนา ยามเหยียบลงไปรู้สึกนุ่มนิ่มสบายตัวราวกับได้หวนกลับบ้านเกิดที่เยี่ยหลัว ก้าวเท้าของมู่ชิวหยางหยุดชะงัก แต่ไม่นานก็เดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับสีหน้าปกติ
กงซุนฉางหลีลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขาพิงหัวเตียง เส้นผมสีดำประหนึ่งผืนผ้าไหมสีหมึกมันวาวสยายลงมาประดับเรือนกายผอมบางของเขา ขับให้ใบหน้าสง่างามดั่งหยกของเขายิ่งดูงดงามประหนึ่งหยกใสแวววาวขึ้นหลายส่วน
มู่ชิวหยางไม่เคยสนใจรูปโฉมของบุรุษผู้หนึ่ง ทว่ายามนี้เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าบุรุษผู้นี้ครอบครองรูปโฉมที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายลุ่มหลงอย่างแท้จริง
มู่ชิวหยางขนเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงเงียบๆ ก่อนจะส่งถ้วยยาให้เขา แต่เดิมคิดว่าเขาจะโมโหจนไม่ดื่ม แต่คิดไม่ถึงว่ากงซุนฉางหลีรับถ้วยยาไปเสร็จก็ดื่มจนหมดอย่างไม่พูดพร่ำคำใดทั้งสิ้น
มู่ชิวหยางประหลาดใจครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็หัวเราะหยัน “ในเมื่อกลัวตายถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงต้องรนหาที่ตายด้วยเล่า”
กงซุนฉางหลีส่งถ้วยยาคืนให้เขา “ดูหมือนเจ้าจะว่างมากสินะ มีเวลามามาค่อนแคะข้าที่นี่ มิสู้ไปคิดดูว่าจะสร้างคุณงามความชอบต่อหน้าอวิ๋นซู่เช่นไร เขาไม่เลี้ยงดูตัวไร้ประโยชน์หรอกนะ”
สีหน้ามู่ชิวหยางบึ้งตึงทันควัน “เจ้าบอกว่าซื่อจื่อคนนี้เป็นตัวไร้ประโยชน์หรือ”
กงซุนฉางหลีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าท้อง แล้วเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “อยู่มานานถึงเพียงนี้ การใหญ่สักเรื่องก็ไม่เคยทำสำเร็จ มิใช่ตัวไร้ประโยชน์แล้วคือสิ่งใด”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าเล่า เจ้าทำการใหญ่เรื่องใดสำเร็จแล้วบ้าง” มู่ชิวหยางเอ่ยอย่างเย็นชาจบ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงยิ้มหยัน “ใช่สินะ ข้าจะไปเทียบเจ้าได้อย่างไรกัน ข้าไม่มีใบหน้าล่อลวงวิญญาณเช่นเจ้าเสียหน่อย เจ้าเพียงขายรอยยิ้มขายเรือนร่างก็เอาใจเจ้าลัทธิได้อยู่หมัดแล้ว”
กงซุนฉางหลีสีหน้าเย็นชา “ดื่มยาหมดแล้ว เจ้าไปได้แล้ว”
มู่ชิวหยางเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองบุ่มบ่ามแล้ว ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาค่อนแคะกงซุนฉางหลี แต่พอถูกคำพูดของกงซุนฉางหลียั่วยุ เขาก็สูญเสียสติปัญญาในยามปกติไป
เขาตั้งสมาธิแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องที่จีหมิงซิวกำลังค้นหาอุโมงค์เข้าพระราชวังใต้ดินอยู่ เจ้าคงรู้อยู่แล้วสินะ เขารายงานฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงส่งคนไปขุดบริเวณประตูตะวันออกของพระราชวัง เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงสินะ”
กงซุนฉางหลีตอบเรียบๆ “ข้าจะไปรู้ได้เช่นไร”
มู่ชิวหยางโมโหจนหัวเราะแล้ว “กงซุนฉางหลี เจ้าโง่หรือว่าข้าโง่กันแน่ เจ้าพาอวิ๋นจูไปส่งคืนให้จีหมิงซิวเสร็จ จีหมิงซิวก็ไปขุดหาทางเข้าพระราชวังใต้ดินทันที เจ้ากล้าบอกหรือว่าเจ้าไม่ได้บอกอะไรกับจีหมิงซิว”
กงซุนฉางหลีมองเขานิ่งๆ “เจ้าสงสัยว่าข้าแพร่งพรายเรื่องอุโมงค์หรือ”
มู่ชิวหยางแค่นเสียงหยันดังเหอะแล้วบอกว่า “ไม่ใช่หรือไร”
กงซุนฉางหลีสีหน้าเรียบเฉยตอบว่า “พระราชวังใต้ดินมีอุโมงค์ทางเข้าอื่นหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ”
มู่ชิวหยางกำหมัดแน่น “เรื่องที่จีหมิงซิวรู้ เจ้าจะไม่รู้หรือ”
“พวกเจ้าคุยอันใดกัน” จู่ๆ อวิ๋นซู่ก็เดินเข้ามา
มู่ชิวหยางรีบลุกขึ้นยืน โค้งคำนับเล็กน้อย “เจ้าลัทธิ”
อวิ๋นซู่เหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เมื่อเห็นถ้วยยาในมือเขาก็ไม่พูดอันใด โบกมือให้เขาถอยออกไป
หลังจากมู่ชิวหยางออกไปแล้ว อวิ๋นซู่ก็เดินมาหน้าเตียง เขานั่งลงริมเตียง สายตาคมกริบมองเข้าไปในดวงตาของกงซุนฉางหลี “ที่มู่ชิวหยางพูดว่าจีหมิงซิวตามหาอุโมงค์ทางเข้าพระราชวังใต้ดินพบ เจ้าคิดว่าอย่างไร เขาหาพบแล้วจริงหรือไม่”
กงซุนฉางหลีมองเขาแล้วหลุบตาตอบว่า “น่าจะยังหาไม่พบ”
อวิ๋นซู่ยิ้มหยันจับปลายคางงามของเขาขึ้นมา “ดูท่าเจ้าก็หวังให้ข้าเชื่อว่าเขาหาพบแล้วสินะ ฉางหลี นี่เป็นหนสุดท้ายแล้ว อย่าทำให้ข้าโกรธอีกจะดีกว่า”
…
วังหลวงคืนวันสิ้นปีมีเสียงร้องรำทำเพลงรื่นเริง โคมไฟทอแสงสว่างไสว ทว่าเจ้าภาพของงานเลี้ยงกลับโผล่หน้ามาเพียงแวบเดียวก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ฮ่องเต้ยืนพระพักตร์เคร่งขรึมอยู่ด้านในประตูตะวันออก เขามองหลุมลึกสิบเจ็ด สิบแปด สิบเก้าหลุมบนพื้น แล้วขมวดพระขนงเล็กน้อย “เจ้าบอกความจริงกับข้า ที่นี่มีอุโมงค์เชื่อมไปยังพระราชวังใต้ดินจริงหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ “!”
ฮ่องเต้ขนพองแล้ว “จีหมิงซิว! นี่เจ้ามีความผิดโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงรู้หรือไม่!”
จีหมิงซิวหันไปมองฮ่องเต้ด้วยแววตาซื่อบริสุทธิ์ “เสด็จพี่…”
ฮ่องเต้ขนลุกซู่ “ไม่ต้องมาเรียกข้าเสด็จพี่! ข้าไม่ใช่เสด็จพี่ของเจ้า!”
“อุโมงค์มีอยู่จริง” จีหมิงซิวพึมพำบอก “เพียงแต่ข้าไม่ทราบว่าแท้จริงมันอยู่ที่ใด”
บันทึกเกี่ยวกับพระราชวังใต้ดินเล่มนั้น ครึ่งม้วนแรกบันทึกความลับเกี่ยวกับพระราชวังใต้ดินเอาไว้ ในนั้นเอ่ยถึงเรื่องอุโมงค์ฉุกเฉิน ส่วนครึ่งเล่มหลังจึงบอกที่ตั้งของอุโมงค์ ทว่าครึ่งหลังถูกทำลายไปแล้ว อ่านอะไรไม่ออกอย่างสิ้นเชิง