หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 99-1 ทารุณอวิ๋นซู่
ตอนที่ 99-1 ทารุณอวิ๋นซู่
สิ่งที่เฉียวเวยไม่รู้ก็คือ นี่ไม่ใช่ความฝันของนางแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ
อวิ๋นซู่ถูกจีหมิงซิวกับองครักษ์เกราะทมิฬไล่ล่าจนไม่มีที่ให้หลบหนี ทั้งที่รู้ว่าการทิ้งกุญแจทั้งสี่จะช่วยดึงความสนใจของอีกฝ่ายได้และจะทำให้สลัดหนีได้ง่ายขึ้น ทว่าอวิ๋นซู่ลำบากลำบนมาตั้งมากมายกว่าจะได้พวกมันมาไว้ในครอบครอง เขาจะยอมปล่อยให้จีหมิงซิวแย่งพวกมันกลับไปได้เช่นไรเล่า
ยิ่งไปกว่านั้นหนนี้กว่าจะแย่งมาได้ยังไม่ง่ายขนาดนี้ หากคิดจะแย่งกลับมาหนที่สอง น่ากลัวว่าคงยากเย็นเท่าเหยียบขึ้นสวรรค์ เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านสมอง อวิ๋นซู่ก็ตัดสินใจดึงดันจนถึงที่สุด เขาบังคับรถม้าแล่นไปที่สุสานองค์หญิง
นอกสุสานองค์หญิงมีทหารมากมายคุ้มกันอยู่ แต่คนเหล่านี้ทำอันใดผู้ครอบครองร่างมารโลหิตเช่นเขาไม่ได้แม้แต่น้อย เขาแผ่พลังของมารโลหิตออกมา อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ทหารราชองครักษ์ทั้งหลายกุมหน้าอก อาเจียนออกมา รอจนพวกเขาตระหนักได้ว่ามีสิ่งใดผิดปกติ รถม้าของอวิ๋นซู่ก็พุ่งเข้าไปในสุสานองค์หญิง ตรงดิ่งไปที่สุสานประหนึ่งลูกธนูพุ่งออกจากสายแล้ว
ทหารราชองครักษ์ทั้งหลายพากันไล่ตามไปด้านหลัง แต่เวลานี้เองชางจิวก็เดินทางมาถึงพอดี เมื่อนักรบมรณะและร่างพิษระดับเดียวกับราชันอสูรใช้วรยุทธ์ระดับสูงสุดที่เขามี ไม่เพียงแต่ต้านกองทหารราชองครักษ์ทั้งหมดให้ถอยไปได้ แต่ยังฟันมือทีเดียวทำให้สุสานขององค์หญิงเจาหมิงแยกออกจากกัน เปิดทางเส้นหนึ่งให้รถม้าของอวิ๋นซู่เข้าไปได้
หลังจากนั้นเขาก็ใช้กำลังภายในยกรถม้า ส่งรถม้าไปที่ก้นสุสาน
เฉียวเวยฝันว่ารถม้าเหินบนอากาศ ความจริงก็คือมันเหินบนอากาศจริงๆ
อี้เชียนอินกับเฉียวเจิงไม่ได้หลับตานอนมาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน พวกเขาจึงนั่งพิงกำแพงหินงีบหลับอยู่บนม้านั่ง ระหว่างที่มนุษย์นอนหลับประสาทรับรู้กลิ่นจะไม่ทำงาน อี้เชียนอินจึงไม่ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งนั่น ทว่าเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของทหารราชองครักษ์ ร่างกายของเขาสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาจากความฝัน
ทันทีที่เขาลืมตาก็เห็นรถม้าคันใหญ่คันหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้า ขณะที่เห็นรถม้ากำลังจะร่วงลงมาทับตนเองกับเฉียวเจิงกลายเป็นเนื้อบด เขาก็คว้าเอวของเฉียวเจิงกลิ้งหลบสุดแรง กลิ้งไปจนถึงที่ว่างอีกด้านหนึ่ง
รถม้าร่วงลงมาบนพื้น สิ่งที่ร่วงลงมาพร้อมกับรถม้าคือเงาร่างสีเทาอ่อนร่างหนึ่ง
อี้เชียนอินเพิ่งได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งนั่น รวมถึงรับรู้รัศมีพลังอันแข็งแกร่งระดับเดียวกับราชันอสูรที่แผ่ออกมาจากร่างนั้น เขามองคนที่มาเยือนอย่างหวาดระแวง ทว่าไม่ทันรอให้เขามองสิ่งใดเข้าใจ อวิ๋นซู่ก็โยนกุญแจทั้งสี่ออกมา
กุญแจทั้งสี่หล่นลงในช่องเว้าบนบานประตูใหญ่อย่างแม่นยำ ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินส่งเสียงดังครืนครางแล้วเปิดออก…
อี้เชียนอินขมวดคิ้วเข้มของตนเองแล้วปล่อยเฉียวเจิงลงบนพื้น เขาทะยานร่างออกไปคิดจะเข้าไปในพระราชวังใต้ดิน แต่กลับถูกชางจิวขวางไว้ด้านนอกประตูไม่ยอมให้ผ่านไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น อวิ๋นซู่ไม่รับรู้อีกต่อไปแล้ว อาชาร่างกำยำสองตัวตื่นตระหนก หลังจากร่วงลงมาบนพื้น พวกมันจึงวิ่งเตลิดอย่างบ้าคลั่ง
ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินถูกทิ้งไว้ไกลเบื้องหลัง
อวิ๋นซู่พยายามรั้งบังเหียนสุดชีวิต แต่กลับพบว่ารั้งไม่อยู่แต่อย่างใด กำลังภายในของเขา…เหมือนจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว!
ยิ่งเข้าไปลึกด้านใน อากาศก็ยิ่งหนาวจนทรมาน ในหูได้ยินเสียงกีบเท้าม้ากับเสียงล้อรถบนพื้นดังก้องไปมา ฟังดูห่างไกลและน่าขนลุกทำให้หัวใจของผู้คนบิดเป็นเกลียว
เบื้องหน้าคือความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ในตอนที่อวิ๋นซู่ตัดสินใจจะล้วงตะบันไฟออกมาส่องทางด้านหน้านั่นเอง จู่ๆ รถม้าก็หล่นวูบลงไปเบื้องล่าง…
…
สายลมหนาวพัดหวีดหวิวบนถนนพาความหนาวยะเยือกมาเยือน แต่ภายในหอหลิงจือมีผู้คนเต็มแน่นเบียดเสียด เมื่อสารถีแจกจ่ายของขวัญที่เฉียวเวยเตรียมมาให้หมอกับลูกจ้างทั้งหลายเสร็จและรับอั่งเปาถุงโตมาจากผู้ดูแลแล้ว เขาก็ฮัมเพลงเดินออกไปด้านนอกอย่างมีความสุข
ทว่าเมื่อเขามาถึงตรอกด้านข้างก็ตกตะลึงเมื่อพบว่ารถม้าที่แต่เดิมจอดอยู่ตรงนี้หายไปแล้ว!
สารถีเกาศีรษะ “เอ๋ ข้าจำผิดที่หรือ”
สารถีรีบวิ่งไปหาที่ตรอกอื่น พร้อมกับสีหน้าสับสนมึนงง
…
อีกฝั่งหนึ่งหลังจากจีหมิงซิวไล่ตีมู่ชิวหยางจนหนีเตลิดไปแล้ว เขาก็ตามมาที่พระราชวังใต้ดิน
ชางจิวกับอี้เชียนอินเข้าไปด้านในแล้วทั้งคู่ มีเพียงเฉียวเจิงที่กอดกุญแจทั้งสี่รอคอยอยู่ในมุมหนึ่ง แต่เดิมเขาก็อยากจะเข้าไปด้วย แต่เพราะกังวลว่าจะเกิดเรื่องร้ายอย่างการที่กุญแจถูกใครขโมยไปอีก เขาจึงตัดสินใจเอากุญแจมาถือไว้แล้วซ่อนตัวอยู่หลังกล่องบรรจุสิ่งของของคนตายใบหนึ่ง จนกระทั่งจีหมิงซิวปรากฏตัว เขาถึงหอบกุญแจออกมา
จีหมิงซิวเห็นสภาพเละเทะมอมแมมของเขาก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเจิงเช็ดฝุ่นดินบนหน้าผากออกแล้วส่งกุญแจให้จีหมิงซิว พลางบอกว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เมื่อครู่มีคนบุกเข้าไปแล้ว อี้เชียนอินก็ตามเข้าไปด้วย!”
จีหมิงซิวถามว่า “มีผู้ใดเข้าไปบ้าง ท่านพ่อมองเห็นหน้าตาของพวกเขาชัดหรือไม่”
เฉียวเจิงย้อนคิด แล้วบอกว่า “เรื่องเกิดรวดเร็วเหลือเกิน ข้ามองเห็นหน้าตาของพวกเขาไม่ชัด เพียงแต่ว่า…มีคนหนึ่งในนั้นขับรถม้าคันหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่ง…อีกคนหนึ่งวรยุทธ์สูงส่งอย่างยิ่ง อี้เชียนอินเหมือนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่เขารีบร้อนจะเข้าไปด้านในจึงไม่ทำให้อี้เชียนอินลำบากนัก หลังจากเขาเข้าไปแล้วอี้เชียนอินก็ตามเข้าไปด้วย ข้าก็อยากจะเข้าไป แต่ข้ากลัวว่าประตูจะปิดแล้วกุญแจจะหายไปอีก”
สิ่งที่เฉียวเจิงทำนับว่าถูกต้องแล้ว ต่อให้อวิ๋นซู่กับชางจิวล้วนเข้าไปในพระราชวังใต้ดินแล้ว ส่วนมู่ชิวหยางก็หนีไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแน่ใจไม่ได้ว่าอวิ๋นซู่ไม่มีไพ่ใบอื่นเหลืออยู่
จีหมิงซิวมองเฉียวเจิงด้วยแววตาขอบคุณ “ท่านพ่อ ท่านกลับไปก่อนเถิด ที่นี่มอบให้ข้าจัดการเอง”
เฉียวเจิงปฏิเสธ “ไม่ ข้าจะเข้าไปกับเจ้าด้วย! ชิงหลวนอยู่ด้านใน ข้าจำเป็นต้องไปตามหานาง!”
จีหมิงซิวเข้าใจความรู้สึกของเขาจึงไม่ออกปากห้ามปรามเขาอีก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานได้ข่าวแล้ว ต่างคนต่างรีบเร่งเดินทางมาอย่างไม่หยุดพัก
“นายน้อย” ทั้งสองคนก้มหัวคำนับ
จีหมิงซิวบอกว่า “อวิ๋นซู่เข้าไปด้านในแล้ว พวกเราก็ต้องรีบเข้าไปโดยเร็ว ข้าแจ้งสือชีแล้ว รอเขาพาท่านยายมาก็เข้าไปได้”
กล่าวจบไม่นาน สือชีก็แบกอวิ๋นจูไว้บนหลังเหินฟ้ามาถึง ลมหายใจของอวิ๋นจูแผ่วเบาอย่างยิ่ง หากไม่สังเกตให้ดีก็แทบจะจับชีพจรของนางไม่ได้ เฉียวเจิงจับชีพจรของอวิ๋นจูแล้วขมวดคิ้ว “อาการแย่กว่าที่ข้าคิดไว้ รีบเข้าไปเถิด!”
แม้ไม่รู้ว่าด้านในพระราชวังใต้ดินมีวิธีการอันใดที่รักษาอวิ๋นจูได้ แต่เข้าไปแล้วย่อมหมายความว่าอยู่ห่างจากการรักษาใกล้ขึ้นอีกก้าวหนึ่ง
จีหมิงซิววางกุญแจลงไป ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินเปิดออก ประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินบานนี้ขอเพียงมีกุญแจวางอยู่บนนั้นสักชิ้นหนึ่งก็จะไม่ปิดลงมาอย่างสมบูรณ์ จีหมิงซิวจึงหยิบกระบี่โหราจารย์ออกมา แล้วให้องครักษ์เกราะทมิฬเฝ้าทางเข้าพระราชวังใต้ดินไว้ ในมือเขายังถือธนูจันทร์โลหิตติดมาอีกคันหนึ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานแบกเปลหามที่มีอวิ๋นจูนอนนิ่งอยู่บนนั้น ส่วนสือชีแบกน้ำกับเสบียงถุงใหญ่ไว้บนหลัง ฝ่ายเฉียวเจิงก็สะพายล่วมยา จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในพระราชวังใต้ดินพร้อมกับจีหมิงซิว
เวลานี้แทบจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเฉียวเวยกับเด็กน้อยทั้งสามคนได้เข้ามาในพระราชวังใต้ดินด้วย ทุกคนต่างคิดว่าคนที่นอนอยู่ด้านในรถม้าคือกงซุนฉางหลี ไม่รู้เลยสักนิดว่ากงซุนฉางหลีตัวจริงนั่งรถม้าเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่งแล้ว
คณะของจีหมิงซิวเป็น ‘กลุ่มคน’ ที่เตรียมตัวมาพร้อมที่สุดในหมู่คนที่เข้ามาในพระราชวังใต้ดิน พวกเขาไม่เพียงเตรียมเสบียงกับน้ำมาด้วย แต่ยังนำ ‘อุปกรณ์’ ส่องสว่างอย่างคบไฟและมุกราตรีมาด้วย
สือชีถือคบไฟนำทางอยู่ด้านหน้า อาศัยแสงสว่างจากคบไฟ จีหมิงซิวจึงมองเห็นสถานที่ด้านหน้าอย่างชัดเจน แม้ว่าการที่แสงสว่างมีจำกัดทำให้เขามองไม่เห็นครบทุกสิ่ง แต่ก็รู้ได้ว่าใต้ฝ่าเท้าคือทางเดินของพระราชวังที่สร้างจากหยกเนื้องาม
ทางเดินกว้างราวสิบฉื่อ สองฟากฝั่งฝังแก้วนิลกาฬใสแวววาวเอาไว้ แต่ละก้อนล้วนเป็นแก้วนิลกาฬชั้นเลิศที่ทอประกายสีรุ้ง แสงไฟส่องจับบนแก้วนิลกาฬ สะท้อนสีสันเพริศแพร้วพรรณราย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทึ่งอย่างยิ่ง “โอ้โห ไม่ใช่กระมัง หินนิลกาฬชนิดนี้ในตลาดไม่มีขาย แต่ที่นี่กลับมีอยู่เต็มไปหมด!”
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ขอเพียงแค่ขุดหินนิลกาฬตลอดทางเส้นนี้กลับออกไปก็ซื้อแคว้นต้าเหลียงได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
ที่ผ่านมาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เคยละโมบทรัพย์สินนอกกายเหล่านี้ ทว่าอัญมณีเหล่านี้สวยงามจนเหมือนไม่ใช่สิ่งของบนโลกเกินไปแล้วจริงๆ ชั่วขณะหนึ่งเขาจึงคันมือ อยากจะฉกมาเล่นสักก้อน คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเอื้อมมือออกไปก็พบว่ากำลังภายในของตนเองใช้การไม่ได้สักนิด
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แล้วรีดเค้นพลังจากจุดตันเถียนอีกครั้ง ทว่าจุดตันเถียนกลับเหมือนเหือดแห้ง โคจรกำลังภายในไม่ได้แม้แต่กระผีกเดียว
“เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้” เขาถามอย่างหวาดผวา
ไห่สือซานอยู่ด้านหลังเขา พอได้ยินเสียงของเขาก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบอย่างขวัญผวา “ข้าไม่มีกำลังภายในแล้ว”
ไห่สือซานถามอย่างขบขัน “ล้อเล่นอันใดกัน”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงว่า “เจ้าลองดูสิ!”
ไห่สือซานส่ายหน้า จากนั้นจึงซัดฝ่ามือหนึ่งออกมา ทว่าเขากลับต้องตกตะลึง เพราะเขาพบว่ากำลังภายในของเขาหายไปแล้ว…
หลังจากนั้นจีหมิงซิวกับสือชีก็ลองดูบ้าง ผลปรากฏว่าทั้งสองคนก็โคจรกำลังภายในไม่ได้แม้แต่น้อยเช่นเดียวกัน จีหมิงซิวใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “อย่าเพิ่งตระหนก น่าจะเป็นความลี้ลับอะไรบางอย่างในพระราชวังใต้ดินที่สะกดกำลังภายในไว้ชั่วคราว”
กำลังภายในถูกสะกดไปชั่วคราวไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พวกเขายังเคลื่อนไหวได้เหมือนคนธรรมดา หากพบอวิ๋นซู่กับชางจิวย่อมไม่กลัว เพราะในเมื่อพวกเขาถูกกดพลังไว้ อวิ๋นซู่ก็ย่อมอยู่ในสภาพเดียวกัน เขาเองก็คงกลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งด้วย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเข้าใจแล้ว “มิน่าจั๋วหม่ากับราชันอสูรถึงเปิดประตูใหญ่ของพระราชวังใต้ดินไม่ได้ จะว่าไปแล้ว พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันเล่า”
“อย่าขยับ” จีหมิงซิวยกมือขวาขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด ทุกคนเงียบลงโดยพลัน เขาเพ่งสมาธิเงี่ยหูฟัง “มีเสียงบางอย่าง”
…