หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 99-2 ทารุณอวิ๋นซู่
ตอนที่ 99-2 ทารุณอวิ๋นซู่
คนที่ทำให้เกิดเสียงนั่นมิใช่ใครอื่น เขาก็คืออวิ๋นซู่ผู้ร่วงจากที่สูงลงมาอยู่ใน ‘ทุ่งข้าวโพด’ แห่งหนึ่ง ชั่วพริบตาที่ร่วงตกลงมา ศีรษะของอวิ๋นซู่บังเอิญกระแทกอย่างแรงจนเขาสลบไปทันที รอจนเขาฟื้นขึ้นมาก็นอนอยู่บนพื้นหญ้านุ่มนิ่มแห่งหนึ่งแล้ว
ต้นพืชเหล่านี้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวโพดออกมา ดมแล้วเหมือนเคยมีคนเพาะปลูกที่นี่จริงๆ ทว่าเมื่อเขาหยิบตะบันไฟออกมาส่องอย่างละเอียดจึงพบว่าสิ่งที่ ‘ปลูก’ อยู่บนทุ่งข้าวโพดผืนนี้ล้วนเป็นข้าวโพดปลอม
อวิ๋นซู่ได้ยินเสียงหายใจของอาชาตัวใหญ่จึงเดินตามเสียงไปจนถึงเบื้องหน้ารถม้า ความสูงที่ทำให้เขาพลัดร่วงลงมาจนสลบได้ ย่อมไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ อย่างแน่นอน ทว่ารถม้ากับม้ากลับอยู่ในสภาพดีไม่เสียหาย นี่คงจะไม่ใช่รถม้าของครอบครัวธรรมดาแน่
อวิ๋นซู่หยิบตะเกียงน้ำมันบนรถออกมา แล้วใช้ตะบันไฟจุดไฟอย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นเขาจึงเดินไปหน้ารถม้าแล้วเปิดผ้าม่าน อยากจะดูว่ากงซุนฉางหลีเป็นอย่างไรบ้าง คิดไม่ถึงว่าพอเปิดผ้าม่านออกมา กลับมีหีบสี่เหลี่ยมใบน้อยสีทองอร่ามที่แผ่กลิ่นอายความมั่งคั่งตลบอบอวลใบหนึ่งร่วงตกลงมาดัง ตุ้บ!
ชั่วพริบตาที่เห็นหีบใบนั้น ขมับสองฝั่งของอวิ๋นซู่ก็ปูดนูนขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ!
หีบใบนี้ เหตุไฉนเหมือนเคยเห็นมาก่อน…
อวิ๋นซู่กดความรู้สึกประหลาดที่ผุดขึ้นมาในใจลงไปแล้วเปิดผ้าม่านอีกหน
หนนี้ก็มีของชิ้นน้อยชิ้นหนึ่งร่วงลงมาอีก แต่มันไม่ใช่หีบ มันคือเจ้าตุ้ยนุ้ยที่งามดั่งหยกแกะสลักคนหนึ่ง เจ้าตุ้ยนุ้ยร่วงตุ้บลงมาบนหีบแต่กลับไม่ตื่น นางงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาสองประโยค จากนั้นมืออ้วนป้อมก็เอื้อมมากอดหีบร้อยสมบัติไว้แล้วน้ำลายยืดออกไปท่องเที่ยวในดินแดนแห่งฝันต่อ
ความรู้สึกแปลกใจยิ่งผุดพรายขึ้นมาในหัวใจของอวิ๋นซู่ เขารู้สึกว่าตนเองไม่ใช่แค่เคยเห็นหีบใบนี้มาก่อน แต่ยังเคยเห็นเด็กน้อยคนนี้มาก่อนด้วย
‘ท่านลุง ท่านไม่สบายหรือ ท่านไม่สบายที่ตรงใด บอกข้าได้หรือไม่ ข้าเป็นหมอเทวดาน้อยที่จะมาช่วยรักษาท่าน’
‘ท่านตัวร้อนมากเลย ต้องป่วยหนักเป็นแน่ แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นหมอเทวดาน้อยที่มีประสบการณ์มาก ข้า ข้าเคยรักษาโรคให้คนมามาก ก็อย่าง อย่างท่านลุงคนเมื่อครู่ก็เป็นข้าที่รักษาเขาจนหาย เขายังดูหนุ่มขึ้นเสียด้วย เส้นผมเขายังหายขาวแล้วเลย’
‘เอาล่ะ ข้าจะเริ่มรักษาท่านแล้วนะ ข้าจะฝังเข็มให้ท่านก่อน!’
นี่มันเจ้าเด็กโง่คนนั้น!
อวิ๋นซู่ตัวอ่อนยวบไปทั้งตัว ความทรงจำที่เคยถูกทรมานสลักลึกอยู่ในกระดูกของเขา แทบจะในพริบตาที่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด เขาก็เซวูบเกือบจะล้มลงกับพื้น!
เจอใครไม่จอ เหตุไฉนต้องมาเจอเจ้าเด็กโง่คนนี้ด้วย
เหตุใดนางจึงมาอยู่บนรถม้าของตน
หรือว่า…นี่เป็นรถม้าของบ้านนาง
อวิ๋นซู่ตัดสินใจกระชากผ้าม่านออกมาทั้งยวง!
เขาชูตะเกียงน้ำมันส่องในรถม้า ทว่าบนรถม้าไม่มีเงาของกงซุนฉางหลี มีเพียงสตรีนางหนึ่งกับเด็กน้อยที่นอนหลับสนิทอีกสองคน ทุกคนรวมถึงเจ้าเด็กโง่คนนั้นต่างนอนกรนคร่อกอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นนี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาสลบไป แต่หลับไปอย่างนั้นหรือ!
หนังตาของอวิ๋นซู่กระตุก ไม่นานสายตาของเขาก็จับบนใบหน้าของเฉียวเวย
หากเขาจำภาพวาดไม่ผิด นี่น่าจะเป็นภรรยาของจีหมิงซิว จั๋วหม่าน้อยแห่งชนเผ่าลึกลับ นางเป็นคนที่แย่งเม็ดโลหิตของมารโลหิตไปครอบครองเป็นของตนเอง
ไม่ต้องพูดถึงว่าแต่เดิมอวิ๋นซู่ต้องการโลหิตมนุษย์เป็นๆ มารักษากำลังภายในอยู่แล้ว ต่อให้เขาไม่ต้องการ หากตัวเขาที่ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการสร้างเม็ดโลหิตได้ปราณโลหิตของเฉียวเวยมา เขาก็จะกลายเป็นมารโลหิตอย่างสมบูรณ์…และกลายเป็นมารโลหิตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคนผู้นั้น
ดวงตาของอวิ๋นซู่วาววับดุจหมาป่าตะกละ เขาเลียริมฝีปากอย่างมีเลศนัยแล้วก้าวขึ้นไปบนรถม้าอย่างแผ่วเบา เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งออกมาเทยาสลบลงไป จากนั้นโปะลงบนจมูกของเฉียวเวย
เมื่อแน่ใจว่าเฉียวเวยสูดยาทั้งหมดเข้าไปแล้ว อวิ๋นซู่จึงนั่งลงข้างเฉียวเวยแล้วหยิบมีดสั้นที่พกไว้ป้องกันตัวออกมากรีดบนฝ่ามือตนเอง หลังจากนั้นจึงกรีดฝ่ามือของเฉียวเวยต่อ เขาวางฝ่ามือของตนเองประกบกับของเฉียวเวยแล้วฉีกยิ้มเย็นชา กำลังจะเริ่มสูบปราณโลหิตของเฉียวเวย
แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่เขาจะออกแรง กลางฝ่ามือของเฉียวเวยกลับมีแรงดูดมหาศาลสายหนึ่งดูดฝ่ามือของเขาเข้าไปหา ปราณโลหิตของเขาไหลทะลักดั่งสายน้ำอันเกรี้ยวกราดโถมเข้าไปในร่างของเฉียวเวย
ดวงตาของอวิ๋นซู่เบิกโตในพริบตา
เขาสัมผัสได้ว่าปราณโลหิตในร่างกำลังไหลไปหาอีกฝ่ายอย่างควบคุมไม่ได้ เขามองเฉียวเวยอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็หันมามองฝ่ามือของทั้งสองคนที่ประกบกันอยู่ ปราณโลหิตของเขาไหลหายไปรวดเร็วยิ่งนัก ร่างกายค่อยๆ รู้สึกเหมือนถูกคว้านออกไปจนว่างเปล่า
เขารีบรีดเค้นกำลังภายใน แต่กลับต้องสิ้นหวังเมื่อพบว่าเขาโคจรกำลังภายในจากจุดตันเถียนไม่ได้สักนิดเดียว!
เกิดอะไรขึ้น
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
อวิ๋นซู่พยายามดึงมือกลับมา แต่ดึงอยู่นานก็ดึงไม่ออก!
ปราณโลหิตยังคงไหลหายไปอย่างไม่ขาดสาย สีเลือดเริ่มหดหายไปจากใบหน้าของอวิ๋นซู่ ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น อวิ๋นซู่เห็นมีดสั้นอยู่ด้านข้าง เขาจึงคว้ามันขึ้นมาแล้วฟันไปที่ข้อมือของเฉียวเวยอย่างแรง!
เคร้ง!
อวิ๋นซู่ยกมีดสั้นขึ้นมาดู คมมีดบิ่นแล้ว…บิ่นแล้ว…บิ่นแล้ว…
อวิ๋นซู่ใกล้จะเสียสติแล้ว เขาใช้มืออีกข้างหนึ่งจับตัวรถไว้แน่นแล้วพยายามจะยื้อตนเองออกมาสุดแรง
เป๊าะ! แต่กลายเป็นว่ากระดูกแขนเคลื่อนหลุดออกมาจากตำแหน่ง…
ในที่สุดเฉียวเวยผู้ท่องอยู่ในแดนฝันก็ตื่นขึ้นมา นางไม่ได้ตื่นเพราะเสียงการเคลื่อนไหวของอวิ๋นซู่ แต่ถูกปลุกขึ้นมาเพราะท้องรู้สึกหิว
เฉียวเวยลืมตาขึ้นมาก็เห็นอวิ๋นซู่ที่ทำสีหน้าทุกข์ทรมานอยู่ทันที ดวงตาของนางฉายแววระแวดระวังเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ทว่าความระแวดระวังนี้เลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางเห็นฝ่ามือที่ประกบกันอยู่ของทั้งสองคน
เฉียวเวยสัมผัสได้ว่าพลังขุมหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นางไม่รู้ว่ามันคือปราณโลหิต นางคิดว่ามันเป็นกำลังภายใน
คนที่ถ่ายทอดกำลังภายในให้นางย่อมไม่ใช่คนเลวร้าย
แต่ว่านางไม่รู้จักอีกฝ่ายเสียหน่อย หรือว่า…เขาจะเป็นคนที่มารดาของนางส่งมาคุ้มกันข้างกายนางอย่างลับๆ
เฉียวเวยเปิดผ้าม่านมองสถานที่มืดสนิทน่าขนลุกแล้วเอ่ยว่า “ข้าฝันว่าพวกเราเข้ามาในสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นความจริงหรอกหรือนี่…เจ้าช่วยข้าไว้ใช่หรือไม่”
อวิ๋นซู่เหลือบมองผ้าเช็ดหน้าบนพื้นอย่างไม่เผยพิรุธ ยาสลบปริมาณสิบเท่าเป็นของปลอมหรืออย่างไร เหตุใดนางจึงตื่นขึ้นมาเร็วเช่นนี้เล่า!
เฉียวเวยมองมือของเขา “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไม่ต้องถ่ายทอดกำลังภายในให้ข้าต่อแล้ว”
เจ้าคิดว่าข้าอยากทำหรือ
เฉียวเวยยืนยันว่า “ไม่ต้องแล้วจริงๆ”
ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เอามือออกไปสิ!
เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “ความจริงข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อครู่แค่หลับไปเท่านั้น เจ้าไม่ต้องถ่ายทอดกำลังภายในให้ข้าแล้ว”
เจ้าอย่าเอาแต่พูดไม่ลงมือทำ! เอามือออกไปเสียที!
ในตอนที่เขาแทบจะถูกเฉียวเวยสูบพลังไปจนเกลี้ยงแล้วนั่นเอง เฉียวเวยก็ดึงมือออก เฉียวเวยรู้สึกแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า สีหน้าแดงระเรื่อมีเลือดฝาดอย่างยิ่ง ทว่าหันกลับไปมองอวิ๋นซู ใบหน้าของเขาซีดขาวจนเหมือนกับศพ
เฉียวเวยอุ้มเจ้าตุ้ยนุ้ยที่นอนหลับคร่อกๆ กลับมาบนรถม้า อวิ๋นซู่ฉวยโอกาสต่อระดูกแขนกลับไปที่เดิม เขาเจ็บจนเกือบจะสลบ
หลังจากพลังของมารโลหิตถูกสะกดเอาไว้ ความทนทานต่อความเจ็บปวดก็ลดน้อยลงอย่างมาก คนธรรมดาเจ็บเพียงหนึ่งส่วน เขากลับเจ็บถึงสามส่วน
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสามคนเพียงหลับไปเท่านั้น เฉียวเวยก็วางใจ
เฉียวเวยมองทุ่งข้าวโพดปลอมรอบด้าน แล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ที่นี่คือที่ใดหรือ“
บาดแผลกลางฝ่ามือของเฉียวเวยสมานหายดีแล้ว แต่อวิ๋นซู่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขานั่งอยู่ข้างเฉียวเวย รู้สึกว่าปราณโลหิตที่เหลืออยู่ไม่มากในร่างกำลังปั่นป่วนอยู่ไม่สุข
นี่ก็คือพลังของเม็ดโลหิต มันชักนำให้ไขเลือดกับปราณโลหิตของมารโลหิตเคลื่อนไหว ใจของอวิ๋นซู่รู้ดีว่าเขาจะอยู่ข้างกายเฉียวเวยต่อไม่ได้ หากอยู่ตรงนี้ต่อไป ปราณโลหิตของเขาต้องถูกสูบไปจนเกลี้ยงอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
เขาบอกกับเฉียวเวยว่า “ข้าจะไปสำรวจทาง”
เฉียวเวยตอบว่า “ไม่ต้องๆ เจ้าเพิ่งจะถ่ายทอดกำลังภายในมากมายขนาดนั้นให้ข้า เจ้าดูสิเจ้าหน้าซีดหมดแล้ว เจ้าพักอยู่ตรงนี้เถิด ข้าไปเอง!”
“ให้ข้าไปดีกว่า”
“ข้าไปเอง!”
“ข้าไป” เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน ไม่อยากจะเสียเวลาพร่ำพูดกับเฉียวเวยอีก
แต่เฉียวเวยกลับดึงเขาไว้ นางอยากให้เขาพักอยู่บนรถม้าจากใจจริง ทว่าดึงผิดตำแหน่งไปหน่อย กางเกงของเขาจึงถูกกระชากลงมา…
“ขอ ขอ ขอ…ขออภัย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เฉียวเวยกล่าวอย่างรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
อวิ๋นซู่รีบดึงกางเกงที่ถูกดึงลงไปกองข้างล่างขึ้นมา สิ่งที่ขาดคือกางเกงนวมชั้นนอก ด้านในยังมีชุดอยู่อีกชั้น ทว่าถึงจะไม่เปลือยล่อนจ้อนก็ทำให้คนกระอักกระอ่วนอยู่ดี
เฉียวเวยเอ่ยขออภัย “ขออภัยด้วย ข้าผิดเอง ข้าจะดูซิว่าบนรถม้ามีอาภรณ์สำรองของสามีข้าอยู่หรือไม่”
เฉียวเวยหาอยู่นานก็หาไม่พบ จึงเอ่ยอย่างลำบากใจ “ขออภัยด้วยจริงๆ ไม่มีแล้ว เอาเช่นนี้ …เจ้าไปข้างนอก แล้วถอดกางเกงออกมา ข้าจะปะให้เจ้า ข้ามีกระเป๋าเข็มด้ายอยู่กับตัว”
อวิ๋นซู่มองกางเกงที่ถูกกระชากจนแทบจะขาดเป็นสองส่วนแล้วกำหมัดอย่างโกรธเกรี้ยว สุดท้ายก็ยอมลงจากรถถอดกางเกงส่งให้เฉียวเวยปะให้
เฉียวเวยปะได้สวยงามพอตัว หลังจากปะเสร็จก็ส่งออกไปทางหน้าต่างทันที
เฉียวเวยรู้สึกเหมือนตนเองลืมอะไรบางอย่างไป ทว่าตอนนี้นางนึกไม่ออก
อวิ๋นซู่เปลี่ยนกางเกงเสร็จก็ถูกเฉียวเวยลากกลับขึ้นไปบนรถม้า
“เจ้าพักเถิด ข้าจะไปสำรวจลู่ทาง”
เฉียวเวยทิ้งอวิ๋นซู่ไว้ จากนั้นก็หยิบตะเกียงน้ำมันอีกดวงหนึ่งเดินไปสำรวจลู่ทางในทุ่งข้าวโพด
นางเดินไปได้สองสามก้าว เสียงกรีดร้องแทบขาดใจของอวิ๋นซู่ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
นางเบิกตาโพลง “โอ๊ะ! ข้าลืมเข็มไว้นี่นา!”