หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 1
[เล่มที่ 3 ตอนพิเศษ อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ] ตอนพิเศษ 1
ณ ตีนเขาเทียนเหลียนมีหมู่บ้านชื่อเหลียนฮวาตั้งอยู่ ในหมู่บ้านมีลำห้วยสายเล็ก ใกล้กันนั้นไม่รู้ใครสร้างกระท่อมหลังหนึ่งเอาไว้
พื้นที่ภายในกระท่อมไม่ใหญ่นัก มีเพียงสองห้องเท่านั้น หนึ่งในนั้นยังเป็นห้องครัวเสียด้วย
ช่วงใกล้ฟ้าสาง ใครคนหนึ่งที่รูปร่างเล็กผอมเดินออกมาจากห้องครัว ในมือถือถังไม้ที่เก่าจนมองสีเดิมไม่ออก กำลังเดินช้าๆ ไปตรงริมห้วย
นางใช้มือเล็กๆ ที่ขาวซีดกอบน้ำจากลำห้วยมาดื่ม จากนั้นก็ใช้ถังไม้ตักน้ำ แล้วหิ้วกลับกระท่อมไปอย่างเหนื่อยหอบ
ตรงหน้ากระท่อมมีไม้ดอกต้นเล็กที่ขึ้นตามธรรมชาติ อาจเพราะได้รับน้ำที่เพียงพอทุกวัน ดอกไม้น้อยๆ จึงดูแข็งแรงเป็นพิเศษ
พอรดน้ำต้นไม้เสร็จ นางก็เอาน้ำที่เหลือเทลงโอ่งน้ำในครัว
จากนั้นนางก็ยกเก้าอี้ตัวเล็กมา ขึ้นไปยืนบนนั้น ยกเปิดฝากระทะเพื่อมองดูหมั่นโถวหนึ่งลูกในซึ้งที่นอนนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
นางทำแก้มป่อง หยิบหมั่นโถวขาวอวบขึ้นมาแล้วหมุนตัวไปยังห้องนอน
ภายในห้องนอน แม่นางน้อยอีกนางหนึ่งก็ตื่นแล้วเช่นกัน แม่นางน้อยผู้นั้นมองดูแล้วโตกว่านางหลายปี น่าจะประมาณแปดเก้าปีเห็นจะได้ นางสวมใส่อาภรณ์ผ้าฝ้ายสะอาดสะอ้าน เนื้อผ้าดูเก่าอยู่สักหน่อย แขนเสื้อขากางเกงก็ดูจะสั้นเกินไปเช่นกัน
นางกำลังเก็บสัมภาระ พอได้ยินเสียงอีกฝ่ายเข้ามาจึงพูดพลางพับเสื้อผ้าว่า “เวยเวยเอ๋ย ข้าวของข้าเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว รีบออกเดินทางกันเถิด!”
เฉียวเวยเวยถือหมั่นโถวที่เหลือเพียงลูกเดียว เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ไม่เหลืออะไรให้กินแล้ว หลิงจือ”
แม่นางน้อยที่ถูกเรียกว่าหลิงจือเอาห่อผ้าสะพายขึ้นไหล่ เดินเข้ามาลูบศีรษะน้อยๆ นั้น ยิ้มพลางเอ่ยอย่างใจดี “เช่นนั้นเจ้าก็กินเถิด”
เฉียวเวยเวยยื่นมือที่ถือหมั่นโถวออกไป “กินด้วยกัน”
หลิงจือเอ่ยยิ้มๆ “เจ้ายังเด็ก ถ้าไม่กินจะหิวท้องกิ่วได้ ข้าอดซักมื้อไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวผ่านวันนี้ไปพวกเราก็จะมีอาหารมากมายให้กินแล้ว”
เฉียวเวยเวยไม่ยอมกิน
หลิงจือปลอบนาง เอาหมั่นโถวที่เหลืออยู่เพียงลูกเดียวกินลงไป
หลิงจือกับเฉียวเวยเวยพักอยู่ในบ้านเดียวกัน แต่กลับไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ทั้งสองเป็นเด็กที่ท่านยายเก็บมาเลี้ยง หลังจากท่านยายเสีย จึงเหลือกันเพียงสองคน
ตอนเฉียวเวยเวยมาอยู่ที่นี่ก็ตัวประมาณนี้ ผ่านไปหนึ่งปีก็ยังตัวเท่าเดิม หลิงจือนึกสงสัยว่าเป็นเพราะสารอาหารนางไม่เพียงพอถึงได้ไม่โตขึ้นเสียที แต่หลิงจือก็ทำอะไรไม่ได้ ตัวนางเองก็ยังเด็กอยู่เช่นกัน ถึงแม้จะอายุสิบเอ็ดปีแล้ว แต่เพราะต้องอดข้าวอยู่บ่อยๆ ทำให้ดูเด็กกว่าอายุจริงอยู่เล็กน้อย ท่าทางเหมือนเด็กแปดเก้าขวบเท่านั้น
เด็กตัวเท่านี้จะทำอะไรได้ แค่ทำให้ตัวเองกับเฉียวเวยเวยไม่ต้องหิวตายก็เก่งมากแล้ว
หลิงจืออุ้มเฉียวเวยเวยไปไว้บนเตียง ถอดเสื้อผ้าบนตัวนางที่เปียกชุ่มออกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงติติงว่า “ไปตักน้ำอีกแล้วหรือ”
“อื้ม” เฉียวเวยเวยไม่มองหน้าคนถาม
หลิงจือเปิดห่อผ้า หยิบเสื้อแห้งสะอาดชุดใหม่ออกมา “บอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปที่ลำห้วยคนเดียว เกิดตกลงไปจะทำอย่างไร”
เฉียวเวยเวยเตะขาเล็กสั้นของตน “น้ำตื้นออก”
“ถ้าหากเกิดน้ำหลากขึ้นมาเล่า”
“ข้าว่ายน้ำเป็น”
หลิงจือมองค้อนนางทีหนึ่งแล้วเอาเสื้อผ้าให้นางใส่
เฉียวเวยเวยเบือนหน้านี้ “ชุ่ยฮวาเคยใส่มาก่อน ไม่เอาหรอก”
หลิงจือถลึงตาใส่นาง “แค่เสื้อผ้าที่ผู้อื่นเคยใส่มาแล้วนี่ข้ายังต้องลำบากแทบแย่กว่าจะขอยืมมาได้เลยนะ!”
เฉียวเวยเวยไม่ยอมใส่
พูดไปก็น่าหมั่นไส้ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงขอทานตัวเล็กๆ แต่กลับไม่เคยรับของเก่าจากใคร ยอมใส่เสื้อผ้าผุๆ ขาดๆ ที่มีรอยปะเป็นสิบรอยยังดีกว่าให้ใส่เสื้อผ้าของผู้อื่น
หลิงจือทั้งฉิวทั้งขัน สุดท้ายก็ยังตัดสินใจปลอบนางด้วยความอดทน “เด็กดี วันนี้ต้องไปคัดเลือกศิษย์ จะใส่เสื้อผ้าปะผุเช่นนี้ไม่ได้ คนเขาจะนึกรังเกียจได้ ไว้ข้ามีเงินแล้วจะซื้อตัวใหม่ให้เจ้านะ ซื้อให้หลายๆ ตัว ให้เดือนหนึ่งใส่ไม่ซ้ำแบบกันเลย ดีหรือไม่”
เฉียวเวยเวยทำหน้าคิดหนัก ไตร่ตรองอย่างตั้งใจแล้วถึงได้ยื่นแขนเล็กๆ ออกไปอย่างว่าง่าย
หลิงจือเปลี่ยนอาภรณ์ที่หยิบยืมมาให้เฉียวเวยเวย พอเสร็จมือหนึ่งจูงเสี่ยวเวยเวย อีกมือหนึ่งหิ้วห่อผ้าออกจากบ้านที่ใช้ชีวิตมาหลายปีไป
จุดหมายของพวกนางคือเมืองที่อยู่ห่างไปยี่สิบลี้ เฉียวเวยเวยเดินไกลเพียงนั้นไม่ไหว แค่ไปถึงปากหมู่บ้านก็เอาแต่จ้องรถวัวลากคันหนึ่งไม่วางตาแล้ว
ลุงเฒ่าที่เป็นสารถีจำเด็กสองคนนี้ได้ และรู้ว่าพวกนางจะไปทำอะไรที่ในเมือง พอดีว่าเด็กในหมู่บ้านอีกหลายคนก็จะไปเช่นกัน จึงให้เด็กทั้งสองติดรถไปด้วย
เด็กบนรถคนอื่นๆ นึกรังเกียจเฉียวเวยเวยกับหลิงจือ ผอมแห้งราวกับลิงกังเช่นนี้ยังคิดจะไปคัดเลือกเป็นศิษย์สำนักเชียนหลันอีกหรือ ล้มเลิกความคิดเสียเถิด!
ไม่เท่าไรรถลากก็ไปถึงในเมือง
พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามทาง แค่เพียงมุ่งหน้าไปยังจุดที่คนมากก็พอแล้ว
พวกเขาทุกคนกินผงยาของสำนักเชียนหลันลงไป และได้รับป้ายร่วมคัดเลือกของสำนัก หลังจากนำป้ายนั้นให้ลูกศิษย์แล้ว ลูกศิษย์ก็จะพาตัวพวกเขาไปต่อแถวยังจุดทดสอบ
ที่นั่นเป็นพื้นที่โล่งกว้าง รอบพื้นที่แห่งนั้นมีลูกศิษย์สำนักเชียนหลันล้อมอยู่ ลูกศิษย์แต่ละคนล้วนผึ่งผายน่าเกรงขามทั้งสิ้น ตรงกลางลานมีโต๊ะตัวสูงตั้งอยู่ ด้านบนโต๊ะนั้นวางหินศักดิ์สิทธิ์ขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้
เด็กๆ ที่เข้าร่วมการคัดเลือกมีตั้งแต่อายุห้าปีถึงสิบห้าปี พอถึงตาพวกเขาก็จะเอามือวางลงบนหินศักดิ์สิทธิ์ หากจับแล้วหินส่องประกายก็แสดงว่าในตัวเด็กผู้นั้นมีรากแห่งปราณอยู่
หากมีปราณก็หมายความว่าสามารถฝึกฝนได้ หากฝึกฝนได้ก็หมายความว่ามีโอกาสกลายเป็นเซียน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนที่มีรากแห่งปราณจะได้คัดเลือกเป็นลูกศิษย์สำนักเชียนหลันทุกคน ยังต้องดูที่คุณสมบัติด้วย
“น้ำ” เฉียวเวยเวยพูดขึ้น
หลิงจือ “เจ้าดื่มมาตลอดทางแล้วนะ เหตุใดถึงกระหายเพียงนี้”
“หิว” เฉียวเวยเวยบอก
หลิงจือลอบถอนหายใจ ลูบท้องที่แฟบแบนแล้วหยิบถุงน้ำในห่อผ้าออกมา ถึงได้รู้ว่าเฉียวเวยเวยดื่มไปหมดแล้ว จึงรีบหยิบถุงน้ำอีกอันออกมา “เอ้า”
เฉียวเวยเวยดื่มอักๆ ลงไปกว่าครึ่ง
นางน่าจะเป็นเด็กที่ตัวเล็กที่สุดในที่นี้แล้ว จึงมีสายตาประหลาดจากโดยรอบมองมาเป็นระยะๆ เครื่องหน้าทั้งห้าของเฉียวเวยเวยงดงามอย่างยิ่ง แต่ก็จนใจที่ใบหน้าออกเหลืองตอบ ซ้ำยังมักทำคอตก ท่าทางเหมือนนอนไม่เต็มอิ่มอย่างไรอย่างนั้น ผู้คนโดยรอบมองดูแล้วไม่เห็นมีอะไรพิเศษ จึงค่อยๆ หมดความสนใจไป
คนข้างหน้าลดจำนวนลงเรื่อยๆ
คนต่อไปก็จะถึงตาหลิงจือแล้ว แต่อยู่ๆ กลุ่มคนทางด้านหลังกับเริ่มมีความเคลื่อนไหวรบกวน
ศิษย์พี่คนหนึ่งที่กำลังสังเกตการณ์การทดสอบหันไปมองกลุ่มคนทางด้านหลัง จากนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยน สั่งหยุดการทดสอบทางด้านนี้ จัดระเบียบอาภรณ์แล้วแทรกตัวออกจากกลุ่มคนตรงนั้นไปทันที
ทุกคนหันมองตามทางที่เขาเดินไป ก็เห็นว่าบนถนนเส้นใหญ่ที่ผู้คนขวักไขว่ ไม่รู้ถูกคนเปิดทางตั้งแต่เมื่อไร บนถนนที่เก่าแก่และกว้างขวางนั้น ลูกศิษย์สำนักเชียนหลันแปดคนแบกเสลี่ยงที่ทั้งงดงามและหรูหราเดินเข้ามา
ผ้าม่านของเสลี่ยงปิดมิดชิด ไม่มีใครเห็นชัดว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร แต่ที่นี่เป็นสถานที่ทดสอบ หรือว่าอีกฝ่ายก็จะมาทดสอบเช่นกัน?
“นางไม่ได้มาทดสอบด้วยหรอก”
ข้างๆ เฉียวเวยเวยมีคุณชายอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนท้วนกำลังกัดถังหูลู่เข้าปากพลางเอ่ยว่า “นางคือบุตรีของชิงสุ่ยเจินเหริน[1] เมื่อหลายปีก่อนนางพลัดหลงหายตัวไป เพิ่งตามหาจนเจอเมื่อไม่นานมานี้ เป็นสำนักเชียนหลันที่หาตัวนางพบ”
เฉียวเวยเวยมองคุณชายตัวอวบอ้วนผู้นั้นตาแป๋ว
คุณชายตัวอ้วนรู้สึกได้ว่ามีสายตามองตนอยู่ พอหันไปเห็นสายตาของเฉียวเวยเวยจึงโอ้อวดต่อว่า “ไม่รู้สินะว่าชิงสุ่ยเจินเหรินเป็นใคร เขาไม่ใช่นักบวชทั่วไปหรอกนะ เขาเป็นเซียน!”
เฉียวเวยเวยจ้องถังหูลู่ในมืออีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำลายไหลไม่หยุด
“ด้วยเหตุนี้บุตรีของเขาจึงไม่จำเป็นต้องทดสอบ สามารถเข้าสำนักเชียนหลันได้เลย” คุณชายตัวอ้วนพูดทั้งแก้มตุ่ยๆ
“ทดสอบหน่อยก็แล้วกัน”
ด้านนอกเสลี่ยงมีลูกศิษย์สำนักเชียนหลันล้อมอยู่เต็มไปหมด ศิษย์พี่ของสำนักเชียนหลันไม่รู้เอ่ยอันใดต่อเด็กสาวในเกี้ยว เด็กสาวในเกี้ยวถึงได้ตอบเสียงนุ่มมาเช่นนี้
น้ำเสียงนั้นไพเราะเสนาะหูอย่างอธิบายไม่ถูก คล้ายลมเย็นที่ที่พัดผ่านซอกเขา พัดพาให้ความร้อนรุ่มในใจคนพลันมลายหาย
น้ำเสียงยังน่าฟังเพียงนี้ ไม่รู้ว่ารูปลักษณ์จะโดดเด่นเพียงใดหนอ
ทุกคนพากันหันไปมองทางเสลี่ยง มีเพียงเฉียวเวยเวยที่เอาแต่จ้องถังหูลู่ของคุณชายผู้นั้นไม่วางตา
ศิษย์พี่ของสำนักเชียนหลันมาถือหินศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยตัวเอง แล้วยื่นไปทางเสลี่ยงด้วยท่าทีนอบน้อม
ด้านในเสลี่ยงมีมือข้างหนึ่งของเด็กสาวอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปียื่นออกมา ผิวพรรณดูเปล่งประกาย เนียนนุ่มราวไร้กระดูก งดงามจนพาให้หยุดหายใจ
มือข้างนั้นวางเบาๆ ลงบนหินศักดิ์สิทธิ์
หินศักดิ์สิทธิ์พลันเปล่งแสงสีทองด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ในฝูงชนมีคนร้องขึ้นด้วยความตกใจ “รากปราณสวรรค์! สวรรค์ทรงโปรด! นางถึงขั้นมีรากปราณสวรรค์เชียวหรือ!”
รากปราณสามารถแบ่งได้หลายประเภทจากคุณสมบัติของมัน อาทิเช่น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน เป็นต้น แต่หากแบ่งจากจุดกำเนิดแล้วสามารถแบ่งได้เพียงสองประเภท ประเภทแรกคือบ่มเพาะได้จากการกินยา โบราณเรียกว่าได้มาหลังกำเนิด ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือมีมาโดยกำเนิด
รากปราณสวรรค์ก็คือสิ่งที่มีมาโดยกำเนิด ร้อยปีพันดียากจะพบเจอ
“ไม่เสียแรงที่เป็นสายเลือดของท่านเซียน…”
“ใช่น่ะสิ ล้ำเลิศจริงเชียว…”
ในหมู่ฝูงชนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทันที จนกระทั่งเด็กสาวนางนั้นจากไปแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังไม่เบาลงสักนิด
เหล่าลูกศิษย์สำนักเชียนหลันที่ห่อเหี่ยวเพราะทดสอบมาตลอดเช้ายังเจอรากปราณชั้นดีเพียงไม่กี่คน พลันกลับมาทดสอบต่อด้วยสีหน้าที่สดชื่นเปล่งปลั่ง
หลังจากนั้นคนต่อไปก็คือหลิงจือ
หลิงจือทดสอบออกมาได้ว่าเป็นรากปราณน้ำ
นี่แทบจะเปรียบได้กับรากปราณสวรรค์เลยทีเดียว ในใต้หล้าก็นับว่าพบหาได้ยากยิ่ง สำนักเชียนหลันจึงยินดีกันแทบเสียสติ
หลังจากนั้นก็เป็นเฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยตัวเอง ตัวเหลือผอมแห้ง เดิมทีสำนักเชียนหลันไม่หลังอะไรกับนางนัก แต่นางมาด้วยกันกับรากปราณน้ำอันล้ำค่า จึงช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะคาดหวังกับนางมากขึ้นหลายส่วน
แต่กระนั้นเมื่อเฉียวเวยเวยเอามือวางลงไป หินศักดิ์สิทธิ์กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
ชั่วขณะนั้นใจของหลิงจือเย็นวาบไปแล้วครึ่งดวง “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ศิษย์พี่ของสำนักเชียนหลันเอ่ยว่า “น่าเสียดายยิ่งนัก แต่น้องสาวของเจ้าไม่มีรากปราณ”
หลิงจือไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ “นางมาด้วยกันกับข้า เหตุใดข้ามีแล้วนางถึงไม่มีเล่า”
ศิษย์พี่ถอนหายใจบอกว่า “การฝึกตนเดิมทีก็เป็นวาสนาของแต่ละคนอยู่แล้ว วาสนาของเจ้าไม่เลว มาอยู่ที่สำนักเชียนหลันเถิด”
[1]เจินเหริน คำเรียกนักบวชที่บรรลุมรรคผลแล้ว