หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนพิเศษ 100-2 พร้อมหน้า ทีเดียวได้ลูกแฝด
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนพิเศษ 100-2 พร้อมหน้า ทีเดียวได้ลูกแฝด
ตอนพิเศษ 100-2 พร้อมหน้า ทีเดียวได้ลูกแฝด
หลังจากตามหามาหนึ่งร้อยปี คืนเดียวกับงานฉลองวันเกิดของยอดเซียน จอมมารก็ตามหาหนทางคลายผนึกพบในที่สุด ทุกคนรวมไปถึงยอดเซียนต่างรีบจบงานเลี้ยงวันเกิดแล้วเดินทางไปรวมตัวกัน
จอมมารถืออัญมณีที่ทอประกายหลากสีอยู่ก้อนหนึ่ง “นี่คือหินวิญญาณหยก ขอเพียงดึงแกนหยกของมันผสานเข้าไปในกระจกปี้คงก็จะทำลายผนึกของจิตมารได้”
เจ้าสำนักสวี่รีบบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นยังจะรอสิ่งใด รีบช่วยเวยเวยกับเสี่ยวซิวออกมาสิ!”
จอมมารส่งหินวิญญาณหยกให้ชิงสุ่ยเจินเหริน สมบัติชิ้นนี้ต้องใช้พลังอันบริสุทธิ์ที่สุดแห่งฟ้าดินจึงจะดึงแกนหยกที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้
“ช้าก่อน!” ในตอนที่ชิงสุ่ยเจินเหรินตั้งใจจะเร่งเร้าพลังปราณ ยอดเซียนก็จับข้อมือของเขาไว้
ยอดเซียนมองเขาสีหน้าจริงจัง “ข้าขอเตือนเจ้าไว้สักอย่าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดมีชีวิตรอดในกระจกปี้คงได้นานถึงเพียงนั้น ยามที่เจ้าได้พบพวกเขา บางทีพวกเขาอาจจะ…อาจจะไม่ใช่สภาพในตอนนั้นแล้ว”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ก้มหน้าอย่างเศร้าใจ
ชิงสุ่ยเจินเหรินกำหินวิญญาณหยกแน่น แล้วบอกว่า “ไม่ว่าเวยเวยจะกลายเป็นสภาพเช่นไร นางก็ยังเป็นลูกของข้ากับชิงหลวน”
จอมมารพยักหน้า
ยอดเซียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตบหัวไหล่ศิษย์น้องของตนเอง “ลงมือเถิด”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเค้นพลังปราณของตนเอง ทุกคนกลั้นลมหายใจ
หินวิญญาณหยกเปล่งแสงห้าสี แกนหยกอันบริสุทธิ์แหวกผ่านหินออกมา แกนหยกนี้เกิดจิตวิญญาณมานานแล้ว มันไม่ยินยอมให้ผู้ใดใช้งานมัน หลังจากหลุดออกมาจากร่างก็เลี้ยวกลับเผ่นหนีทันที!
แต่จอมมารซัดปราณมารออกไปสายหนึ่ง หุ้มตัวแกนหยกที่แอบหนีได้อย่างง่ายดาย แกนหยกดิ้นรนแต่ไร้ผล มันถูกพลังของจอมมารจับยัดเข้าไปในกระจกปี้คง
ผนึกของกระจกปี้คงถูกคลายออกจริงๆ
จอมมารเหาะเข้าไปในกระจกปี้คงเป็นคนแรก ชิงสุ่ยเจินเหรินตามหลังไปติดๆ ไม่นานยอดเซียนกับพวกหลิงจือก็ทยอยเข้าไปในกระจกด้วย ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตาโตอ้าปากค้างก็คือ ด้านในไม่มีเงาของเฉียวเวยเวยกับตราพญาเทพสักนิด!
เจ้าสำนักสวี่ติดอ่าง “คน คน คนเล่า”
…
ณ ยอดเขาว่านเอ๋อ ทิวเขาทอดยาวสลับซับซ้อน ขุนเขาเขียวขจีธาราใสกระจ่าง
บนไหล่เขามีเรือนน้อยเรียบง่ายแต่งดงามตั้งอยู่สองหลัง ตรงสระน้ำน้อยของเรือนน้อยหลังหนึ่งในนั้น มีดอกบัวน้ำแข็งน้อยงามวิจิตรดอกหนึ่งแหวกสายน้ำอยู่อย่างสงบสุข มังกรอ้วนตัวน้อยแสนอหังการตัวหนึ่งว่ายไปว่ายมาอยู่ข้างดอกบัวน้ำแข็งน้อย
ว่ายไปครึ่งทาง จู่ๆ ร่างก็ดำหายลงไปใต้น้ำ หางมังกรเล็กๆ อันแสนงดงามสะบัดน้ำกระเด็นใส่หน้าของฉินหลิงเอ๋อร์
ฉินหลิงเอ๋อร์หน้าบึ้งตึงปาดหยดน้ำน้อยบนใบหน้า นางย่อตัวลงไปลูบดอกบัวน้ำแข็งน้อยตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มจางๆ “เจ้าเป็นเด็กดีกว่าจริงๆ”
มังกรน้อยอ้วนตุ้บตั้บแหวกว่ายพาร่างมังกรน้อยตุ้ยนุ้ยของตนเองกลับมาแล้วแปลงกายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอายุสองขวบผู้มีรูปโฉมงามดุจหยกสลักคนหนึ่ง
เด็กหญิงดูแล้วอายุยังไม่ถึงสองปี ใบหน้าน้อยเป็นสีชมพูระเรื่อ ดวงตากลมโต นุ่มนิ่มน่ารักจนพรรณนาไม่หมด แขนขาของนางเป็นท่อนๆ เหมือนรากบัว แต่ละท่อนอ้วนท้วน กลมดิก ขยับทีหนึ่งเนื้อน้อยๆ ที่พุงก็กระเพื่อมเป็นลายคลื่นน้ำ
เด็กหญิงตัวน้อยยู่ปากบอกว่า “ข้าก็เป็นเด็กดีมากเหมือนกันนะ!”
ฉินหลิงเอ๋อร์กอดอก เลิกคิ้วเหล่มองนาง
“ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือไม่”
“ยังไม่เสร็จ”
“ฝึกวิชาเสร็จแล้วหรือไม่”
“ยังไม่ได้ฝึก”
“กินข้าวเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
ซูน้อยตัวอ้วนท้วมดวงตาเป็นประกาย พยักหน้าราวกับตำกระเทียม “กินหมดแล้ว!”
ฉินหลิงเอ๋อร์ขนพองในพริบตา “เจ้ากินหมดอีกแล้วหรือ! นั่นเป็นอาหารของทั้งบ้านนะ! ข้าอุตส่าห์ทำอยู่ทั้งวัน!”
ฉินหลิงเอ๋อร์ถามเสียงดุ “ตอนนี้ยังคิดว่าตนเองเป็นเด็กดีอยู่หรือไม่”
ซูน้อยตัวอ้วนตอบเสียงเศร้าสลด “ไม่ใช่เด็กดี”
ฉินหลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นมายืน นางจิ๊ปากอย่างจนปัญญาแล้วพึมพำกับตัวเอง “กินเก่งกว่าแม่ของเจ้าอีก ได้ผู้ใดมากัน ต้องไปทำอาหารอีกแล้ว มันน่านักเชียว!”
ฉินหลิงเอ๋อร์เดินจากไปอย่างฉุนเฉียว เพราะรีบร้อนเกินไป นางจึงลืมหยิบผลไม้เต็มตะกร้าที่ล้างเสร็จแล้วไปด้วย
ซูน้อยตัวอ้วนมองผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงสดสวยแล้วน้ำลายสอ
“ข้า ข้า ข้า…ข้าจะกินแค่ผลเดียว”
ซูน้อยตัวอ้วนขยับไปนั่งข้างตะกร้า มือน้อยกลมป้อมฉวยผลไม้ลูกน้อยสีแดงแวววาวขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วอ้าปากน้อยๆ สีแดงระเรื่องับลงไปเต็มคำ
ตรงจุดที่ซูน้อยตัวอ้วนมองไม่เห็น ดอกบัวน้ำแข็งน้อยในสระลอยเอื่อยๆ ไปริมสระ ใบบัวน้อยหน้าตาเหมือนแก้วผลึกยื่นออกมากวาดผลไม้ครึ่งหนึ่งในตะกร้าเข้าปาก
และแล้วซูน้อยตัวอ้วนก็อดใจไม่ไหวเอื้อมไปหยิบลูกที่สอง “โอ๊ะ…เอ๋”
ผลไม้ในตะกร้าดูเหมือนจะน้อยลงนะ
ซูน้อยตัวอ้วนมองผลไม้ลูกเล็กในมือ แต่สมองคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น นางจึงเริ่มกินต่อ
ดอกบัวน้อยยื่นใบออกมาอีกครั้ง มันกวาดผลไม้อีกครึ่งที่เหลือเข้าปาก
รอจนฉินหลิงเอ๋อร์ทำอาหารเสร็จเดินกลับมา ผลไม้ในตะกร้าก็ไม่เหลืออยู่แม้แต่ลูกเดียว
ขณะที่ซูน้อยตัวอ้วนยังแทะแกนผลไม้ในมือหงุบหงับๆ ดอกบัวน้ำแข็งน้อยก็หนีกลับไปคลี่กลีบอยู่กลางสระน้ำอย่างเงียบสงบแล้ว
คืนนี้ซูน้อยตัวอ้วนจึงถูก ‘สั่งสอน’ อย่างน่าอนาถ
ในเรือนสีทองอร่ามอีกหลัง ก้อนอิฐแต่ละก้อน กระเบื้องแต่ละแผ่น ไปจนถึงโต๊ะเก้าอี้ล้วนสร้างจากทองคำบริสุทธิ์ ยามแสงอัสดงส่องลงมา มันดูเหมือนพระราชวังอันงดงามหรูหรา
ในห้องหลักที่หรูหราที่สุด หมิงซิวกับเฉียวเวยเวยเพิ่งจบการฝึกตนของวันนี้
ทั้งสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นห้อง ตรงขมับมีหยาดเหงื่อบางๆ ซึมออกมา
หมิงซิวเก็บพลังปราณเทพสายสุดท้ายกลับไป เมื่อลืมตาขึ้นก็หันไปเห็นเฉียวเวยเวยหน้าแดงระเรื่ออยู่ เขาถามเสียงอ่อนโยน “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”
เฉียวเวยเวยยืดเหยียดร่างกาย แล้วพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว”
หมิงซิวยังไม่วางใจ เขาจับข้อมือของนางขึ้นมาแล้วทาบสามนิ้วลงบนจุดชีพจรของนาง ตรวจชีพจรไปพลางก็ครางอืมอย่างพึงพอใจไปด้วย “ลมปราณสงบอย่างสมบูรณ์แล้ว หายดีแล้วจริงๆ”
หนึ่งร้อยปีก่อนพวกเขาถูกจิตมารของเสวี่ยหลันอีผนึกไว้ในกระจกปี้คง แต่เดิมพวกเขาคิดว่าคงตายแน่แล้วจึงตัดสินใจเลิกสนใจทุกสิ่ง แล้วกราบฟ้าดินแต่งงานเป็นสามีภรรยา คิดไม่ถึงว่าคืนร่วมหอ ยามร่างของเทพกับมารสอดประสานกันจะก่อให้เกิดพลังมหาศาลสายหนึ่ง
ท้องนภาแหวกออกเป็นช่องสีดำสนิทช่องหนึ่ง ทั้งสองคนไม่รู้ว่าทางเส้นนี้จะเชื่อมไปยังที่ใด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังดีกว่านั่งรอความตายอยู่ในกระจกปี้คง
ก่อนหนีออกไป ทั้งสองคนแย่งชิงกายเนื้อกับวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของฉินหลิงเอ๋อร์มาจากเงื้อมมือของจิตมารได้ หลังจากเข้าไปในทางเส้นนั้น ทั้งสามคนก็มาถึงสถานที่ซึ่งมีขุนเขาเขียวขจีธารน้ำใสกระจ่างแห่งนี้
ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในหกดินแดน หมิงซิวทดลองดูหลายหนทางจนนับไม่ถ้วน แต่ก็ทำได้เพียงย้อนกลับมาในกระจกปี้คงอย่างยากลำบากเท่านั้น แต่ภายในกระจกปี้คงไม่เหมาะจะใช้ชีวิตอยู่ หลังจากขบคิดกันหนหนึ่ง หมิงซิวจึงตัดสินใจจะอยู่ที่นี่
เวลานั้นฉินหลิงเอ๋อร์บาดเจ็บหนักมาก ทั้งสองคนใช้เวลาสิบปีเต็มๆ รักษาอาการบาดเจ็บของฉินหลิงเอ๋อร์จนหาย แต่เฉียวเวยเวยก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมหาศาล นางเสียพลังวิญญาณไปจำนวนมากเพื่อซ่อมแซมเสี้ยววิญญาณของฉินหลิงเอ๋อร์ ทำให้นางกลายร่างกลับเป็นดอกบัวน้ำแข็งไม่ได้มาตลอด ยามให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยน่ารักน่าชังทั้งสองคน สถานการณ์จึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง
โชคดีที่ทุกสิ่งผ่านพ้นไปแล้ว อาการบาดเจ็บของเฉียวเวยเวยหายดีอย่างสมบูรณ์แล้ว
หากไม่ใช่เพราะหมิงซิวห้ามเอาไว้ เฉียวเวยเวยก็อยากจะกลายร่างเป็นมังกรมารน้อยออกไปบินเล่นให้ทั่วสักรอบ
เฉียวเวยเวยกะพริบดวงตาใสแวววาว แล้วถามอย่างยินดีปรีดาอย่างที่ปิดไม่มิด “หลังจากนี้ข้าไม่ต้องฝึกตนแล้วใช่หรือไม่”
หมิงซิวจุมพิตมือน้อยของนาง “อืม ไม่ต้องแล้ว”
หางมังกรของเฉียวเวยเวยเด้งปึ๋งออกมาแล้วสะบัดไปมาด้านหลังอย่างร่าเริง
หมิงซิวจับหางมังกรของนางไว้ จากนั้นก็ลากทั้งคนทั้งหางเข้ามาในอ้อมแขน
เฉียวเวยเวยเบิกดวงตาใสกระจ่างดุจน้ำพุจนกลมโต นางกะพริบตาปริบๆ มองเขา
ท่าทางน่ารักน่าชังดั่งจะขโมยวิญญาณผู้คนนั่นพุ่งมาสะกิดเกาหัวใจของหมิงซิวจนคันยุบยิบ “หายดีแล้วก็สมควรทำน้องชายสักคนให้เด็กๆ แล้วหรือไม่”
เฉียวเวยเวยเม้มปากอย่างเขินอาย นางกดมุมปากที่ยกโค้งลงไปแล้วพยักหน้าเบาๆ
หมิงซิวยิ้มออกมาอย่างห้ามตนเองไม่อยู่ “ข้าว่าอะไรก็ทำตามหมดเลยเช่นนั้นหรือ ยอมให้ข้าทำตามใจตนเองเช่นนี้ได้อย่างไร ทำให้คนตกหลุมรักเก่งถึงเพียงนี้ ต่อให้อยากจะออมมือก็คงไม่ไหวแล้ว”
เฉียวเวยเวยตอบอย่างเขินอาย “เจ้าก็ไม่ต้องออมมือสิ”
หัวใจของหมิงซิวหลอมละลาย
ทว่าตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาหวานแววกันนั่นเอง เพดานห้องก็ถล่มลงมาดังโครม!
ชิงสุ่ยเจินเหรินกับจอมมารร่วงลงมาจากฟ้า
สองสามีภรรยาเห็นท่านพ่อท่านแม่ร่วงลงมาจากฟ้าก็ตัวแข็งเป็นหินในพริบตา
ท่านจอมมารหน้าถมึงทึง “สามี ดาบยักษ์เล่า”
ชิงสุ่ยเจินเหรินแววตาเย็นยะเยือก “ภรรยา ปืนใหญ่ทลายนภาเล่า”
หมิงซิวพุ่งตัวหายวับไปด้านนอก เมื่อกลับมาในห้องอีกหน ในมือก็มีเจ้าตัวน้อยน่ารักน่าชังที่เพิ่งอาบน้ำได้ครึ่งทางสองคนติดมาด้วย
เขายัดใส่อ้อมแขนให้คนละคน!
เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยแสนน่ารักตัวเกลี้ยงเกลาในอ้อมแขนก็ถึงตาชิงสุ่ยเจินเหรินกับจอมมารแข็งเป็นหินบ้างแล้ว!
เจ้าหนุ่มนี่ฉวยโอกาสตอนพวกเขาไม่อยู่ทำอันใด เหตุไฉนถึงมีเจ้าตัวน้อยออกมาแล้ว!
หมิงซิวฉวยโอกาสที่ทั้งสองคนไม่ทันตั้งตัวจูงมือเฉียวเวยเวยเผ่นแน่บออกไปจากประตูใหญ่
ชิงสุ่ยเจินเหรินมือหนึ่งอุ้มซูน้อยตัวอ้วนกลม มือหนึ่งชักดาบยักษ์ยาวสี่สิบเมตรออกมา ไล่ตามออกไปพร้อมกับจิตสังหารพลุ่งพล่าน “ไอ้เด็กหน้าเหม็น เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! วันนี้หากข้าเชือดเจ้าไม่ได้ ข้าจะไม่ขอชื่อชิงสุ่ย!”
…
ภายในกระท่อมฟางน้อยหลังหนึ่ง จั๋วหม่าผู้บาดเจ็บหนักสะลืมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า นางมองเห็นชายหนุ่มรูปงามเกลี้ยงเกลากำลังป้อนยาให้ตนเอง มุมปากของนางยกยิ้มถามว่า “ข้านามว่าเฮ่อหลันชิง เจ้านามว่าอันใด”
“ข้า…ข้านามว่าเฉียวเจิง” ชายหนุ่มหน้าแดง
(จบบริบูรณ์)